"นิด้าโพล" เผยปี 66 "ประชาชน" เชื่อการเมืองวุ่นวาย-มีแนวโน้มซื้อเสียงเลือกตั้ง-โควิดไม่น่ากลัว
https://siamrath.co.th/n/413239
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การเมือง เศรษฐกิจ และโควิด 19 ในปี 2566” ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 3-6 มกราคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษาและอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และโควิด 19 ในปี 2566 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไปในปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 45.27 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 36.11 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 10.07 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายน้อยลง ร้อยละ 7.86 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะไม่วุ่นวายเลย และร้อยละ 0.69 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 62.60 ระบุว่า มีแนวโน้ม ว่าจะมีการซื้อเสียงเลือกตั้ง รองลงมา ร้อยละ 36.56 ระบุว่า มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้อิทธิพล และ/หรือ อำนาจรัฐในการหาเสียง ร้อยละ 33.74 ระบุว่า จะมีการโกงการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถเอาผิดผู้บงการได้ ร้อยละ 29.39 ระบุว่า จะมีการใช้เงินในการหาเสียงมากกว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด และจะมีแค่การทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งในเรื่องเล็ก ๆ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 20.23 ระบุว่า จะไม่มีการซื้อเสียงเลือกตั้ง ร้อยละ 16.95 ระบุว่า จะไม่มีการใช้อิทธิพล และ/หรือ อำนาจรัฐในการหาเสียง ร้อยละ 12.82 ระบุว่า จะมีการใช้เงิน ในการหาเสียงตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด ร้อยละ 11.30 ระบุว่า จะไม่มีการทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง ร้อยละ 4.05 ระบุว่า จะมีการโกงการเลือกตั้ง และสามารถเอาผิดผู้บงการได้ และร้อยละ 0.53 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.25 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น รองลงมา ร้อยละ 34.51 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะเหมือนเดิม ร้อยละ 28.09 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่ลง และร้อยละ 0.15 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในประเทศไทย ปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 35.57 ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป รองลงมา ร้อยละ 32.06 ระบุว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะลดน้อยลง ร้อยละ 19.70 ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะเหมือนเดิม และร้อยละ 12.67 ระบุว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะรุนแรงขึ้น
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.74 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.71 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 มีอายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 มีอายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.93 มีอายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 มีอายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.74 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.73 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.05 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 1.22 นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ
ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 สถานภาพโสด ร้อยละ 65.88 สมรส และร้อยละ 1.98 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 25.72 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 35.04 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 7.86 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 28.17 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 3.21 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 15.80 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 22.52ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.37 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 16.03 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.69 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.04 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ตัวอย่าง ร้อยละ 21.37 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 21.91 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 28.93 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.35 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.51 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 7.40 ไม่ระบุรายได้
พท.รุมกินโต๊ะ บิ๊กตู่ เสพติดอำนาจไร้ความสุข ดักคอเป็นนายกฯอีก ปท.จะไม่สงบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3761095
พท.รุมกินโต๊ะ บิ๊กตู่ เสพติดอำนาจไร้ความสุข ดักคอเป็นนายกฯอีก ปท.จะไม่สงบ
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเปิดตัวสมัครสมาชิกเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในวันที่ 9 มกราคม ว่าขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีความชัดเจนทางการเมืองทำให้ระบบการเมืองเป็นที่ยอมรับ แม้จะมาจากการยึดอำนาจก็ตาม ถือว่าเป็นผลบวกกับพรรค พท. ในการใช้เป็นประเด็นหาเสียงเลือกตั้ง
ทั้งนี้ พรรค พท.ประกาศแลนด์สไลด์ให้ได้ ส.ส. 250 เสียงขึ้นไป เพื่อออกจากระบอบประยุทธ์ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศชัดเจนว่าจะต่อสู้จะเป็นทางเลือกให้ประชาชนได้พิจารณา ถ้าเขาต้องการออกจากระบอบประยุทธ์ มีปัญหา มีวิกฤต และขาดโอกาส ก็ย่อมแสวงหาโอกาสจากพรรค พท. ที่มีนโยบาย และแนวทางต่างๆ ที่จะดูแลประชาชนให้พ้นจากวิกฤต
“
ที่สำคัญเป็นคู่แข่งขันที่ชัดเจนแบ่งฟากเลย ถ้าไม่แลนด์สไลด์ชนะระบอบประยุทธ์ไม่ได้ ได้ ส.ส. 230 เสียง ก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ จึงมองว่าเป็นมุมที่น่าจะเป็นผลบวกกับการรณรงค์แลนด์สไลด์ของพรรค พท.” นพ.
ชลน่านกล่าว
นาย
สุทิน คลังแสง รองหัวหน้า พท. กล่าวว่า มองในแง่ดีเป็นการแสดงความชัดเจนทางการเมือง แต่อย่างไรเสียแม้ พล.อ.
ประยุทธ์จะยังไม่เปิดตัว ก็เป็นนักการเมืองมาตั้งแต่ปี 2557 แล้ว หากจะเปิดตัวแค่เพียงทำให้รู้ว่าจะไปสังกัดพรรคไหนเท่านั้น เป็นความชัดเจนว่า พล.อ.
ประยุทธ์ไม่ยอมหยุดแม้จะเหลือเวลาอีกแค่ 2 ปี
“
จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง และเป็นเรื่องเพี้ยนๆ ที่วาระรัฐบาลมีถึง 4 ปี แต่คนจะขอเป็นนายกฯเพียงแค่ 2 ปี เวลาที่เหลือจากนั้น ทั้งประชาชน คนลงทุน และต่างชาติ จะต้องคิดต่อว่าประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างไรหลังจาก 2 ปีแรกของรัฐบาลต่อไป ความเชื่อมั่นต่อประเทศจะเป็นอย่างไรซึ่งคนไทยเผชิญกับปัญหานี้เอาเอง”
ขณะที่ นาย
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรค พท. มองการกล่าวของ พล.อ.
ประยุทธ์ ว่าการที่รัฐประหารมาก็หนักหนาสาหัสแล้ว เมื่อประชาชนยอม ก็บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่นี่ 8 ปีแล้ว เมื่อครบวาระยังหาทางอยู่ต่ออีก หาก พล.อ.
ประยุทธ์ยังเสพติดอำนาจ ชีวิตข้างหน้าจะไม่มีความสุข หากมีพรรคชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง แต่ พล.อ.
ประยุทธ์ใช้อำนาจพิเศษเพื่อกลับมาเป็นนายกฯอีก ประเทศคงไม่สงบ ยกตัวอย่างหากพรรค พท.ได้ ส.ส.เกิน 200 ที่นั่ง และรวมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านจนเกิน 300 ที่นั่ง ความชอบธรรมจึงน่าจะอยู่กับพรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง
“
ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ต้องมี ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 25 คน มีข่าวว่าจะมาตกปลาในอ่างคือการช้อป ส.ส.ที่สอบได้มาโหวตให้ตัวเองเป็นนายกฯ ด้วยราคาแพงๆ หากอยากจะทำแบบนี้ก็ทำไป ต่อให้ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ประเทศไทยก็อยู่ได้ ไม่ต้องคิดว่าประเทศไทยขาดท่านแล้วประเทศจะพังทลายไปต่อหน้าต่อตา วันนี้ถ้าไม่มีท่านอาจจะดีขึ้นก็ได้ ปล่อยให้คนไทยตัดสินอนาคตกันเองพักได้แล้ว” นาย
พิเชษฐ์กล่าว
อยู่รพ.ไม่วางปากกา ‘เสรีพิศุทธ์’ เซ็นหนังสือด่วนปราบโกง ลั่นคิดว่าจะได้พักในวันที่ป่วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3760787
อยู่รพ.ไม่วางปากกา ‘เสรีพิศุทธ์’ เซ็นหนังสือด่วนปราบโกง ลั่นคิดว่าจะได้พักในวันที่ป่วย
ภายหลัง พล.ต.อ.
เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เข้ารพ.ด่วน ด้วยมีอาการป่วย ออกซิเจนในเลือดต่ำ เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้ประกาศหยุดปราบโกงชั่วคราว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก
“พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ได้โพสต์ภาพ พล.ต.อ.
เสรีพิศุทธ์ ขณะนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล กำลังเซ็นเอกสาร พร้อมระบุว่า
“4 ปี ปราบโกงไม่เคยหยุด ‘หนังสือด่วนปราบโกง’ รอไม่ได้ ! ส.ส.ใกล้หมดวาระแต่เรื่องปราบโกงไม่หมด 4 ปีไม่ได้พัก คิดว่าจะได้พักวันที่ป่วย”
โดยมีผู้เข้าไปส่งกำลังใจให้ พล.ต.อ.
เสรีพิศุทธ์ หายป่วยไวๆ อย่างต่อเนื่อง
JJNY : ปี 66 "ประชาชน"เชื่อการเมืองวุ่นวาย│พท.รุมกินโต๊ะตู่ เสพติดอำนาจ│อยู่รพ.ไม่วางปากกา│“สนั่น”ชี้ศก.ไทยปี66ยังท้าทาย
https://siamrath.co.th/n/413239
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การเมือง เศรษฐกิจ และโควิด 19 ในปี 2566” ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 3-6 มกราคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษาและอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และโควิด 19 ในปี 2566 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไปในปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 45.27 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 36.11 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 10.07 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายน้อยลง ร้อยละ 7.86 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะไม่วุ่นวายเลย และร้อยละ 0.69 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 62.60 ระบุว่า มีแนวโน้ม ว่าจะมีการซื้อเสียงเลือกตั้ง รองลงมา ร้อยละ 36.56 ระบุว่า มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้อิทธิพล และ/หรือ อำนาจรัฐในการหาเสียง ร้อยละ 33.74 ระบุว่า จะมีการโกงการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถเอาผิดผู้บงการได้ ร้อยละ 29.39 ระบุว่า จะมีการใช้เงินในการหาเสียงมากกว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด และจะมีแค่การทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งในเรื่องเล็ก ๆ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 20.23 ระบุว่า จะไม่มีการซื้อเสียงเลือกตั้ง ร้อยละ 16.95 ระบุว่า จะไม่มีการใช้อิทธิพล และ/หรือ อำนาจรัฐในการหาเสียง ร้อยละ 12.82 ระบุว่า จะมีการใช้เงิน ในการหาเสียงตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด ร้อยละ 11.30 ระบุว่า จะไม่มีการทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง ร้อยละ 4.05 ระบุว่า จะมีการโกงการเลือกตั้ง และสามารถเอาผิดผู้บงการได้ และร้อยละ 0.53 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.25 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น รองลงมา ร้อยละ 34.51 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะเหมือนเดิม ร้อยละ 28.09 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่ลง และร้อยละ 0.15 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในประเทศไทย ปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 35.57 ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป รองลงมา ร้อยละ 32.06 ระบุว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะลดน้อยลง ร้อยละ 19.70 ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะเหมือนเดิม และร้อยละ 12.67 ระบุว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จะรุนแรงขึ้น
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.74 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.71 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 มีอายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 มีอายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.93 มีอายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 มีอายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.74 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.73 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.05 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 1.22 นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ
ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 สถานภาพโสด ร้อยละ 65.88 สมรส และร้อยละ 1.98 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 25.72 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 35.04 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 7.86 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 28.17 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 3.21 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 15.80 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 22.52ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.37 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 16.03 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.69 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.04 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ตัวอย่าง ร้อยละ 21.37 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 21.91 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 28.93 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.35 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.51 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 7.40 ไม่ระบุรายได้
พท.รุมกินโต๊ะ บิ๊กตู่ เสพติดอำนาจไร้ความสุข ดักคอเป็นนายกฯอีก ปท.จะไม่สงบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3761095
พท.รุมกินโต๊ะ บิ๊กตู่ เสพติดอำนาจไร้ความสุข ดักคอเป็นนายกฯอีก ปท.จะไม่สงบ
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเปิดตัวสมัครสมาชิกเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในวันที่ 9 มกราคม ว่าขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีความชัดเจนทางการเมืองทำให้ระบบการเมืองเป็นที่ยอมรับ แม้จะมาจากการยึดอำนาจก็ตาม ถือว่าเป็นผลบวกกับพรรค พท. ในการใช้เป็นประเด็นหาเสียงเลือกตั้ง
ทั้งนี้ พรรค พท.ประกาศแลนด์สไลด์ให้ได้ ส.ส. 250 เสียงขึ้นไป เพื่อออกจากระบอบประยุทธ์ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศชัดเจนว่าจะต่อสู้จะเป็นทางเลือกให้ประชาชนได้พิจารณา ถ้าเขาต้องการออกจากระบอบประยุทธ์ มีปัญหา มีวิกฤต และขาดโอกาส ก็ย่อมแสวงหาโอกาสจากพรรค พท. ที่มีนโยบาย และแนวทางต่างๆ ที่จะดูแลประชาชนให้พ้นจากวิกฤต
“ที่สำคัญเป็นคู่แข่งขันที่ชัดเจนแบ่งฟากเลย ถ้าไม่แลนด์สไลด์ชนะระบอบประยุทธ์ไม่ได้ ได้ ส.ส. 230 เสียง ก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ จึงมองว่าเป็นมุมที่น่าจะเป็นผลบวกกับการรณรงค์แลนด์สไลด์ของพรรค พท.” นพ.ชลน่านกล่าว
นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้า พท. กล่าวว่า มองในแง่ดีเป็นการแสดงความชัดเจนทางการเมือง แต่อย่างไรเสียแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยังไม่เปิดตัว ก็เป็นนักการเมืองมาตั้งแต่ปี 2557 แล้ว หากจะเปิดตัวแค่เพียงทำให้รู้ว่าจะไปสังกัดพรรคไหนเท่านั้น เป็นความชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมหยุดแม้จะเหลือเวลาอีกแค่ 2 ปี
“จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง และเป็นเรื่องเพี้ยนๆ ที่วาระรัฐบาลมีถึง 4 ปี แต่คนจะขอเป็นนายกฯเพียงแค่ 2 ปี เวลาที่เหลือจากนั้น ทั้งประชาชน คนลงทุน และต่างชาติ จะต้องคิดต่อว่าประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างไรหลังจาก 2 ปีแรกของรัฐบาลต่อไป ความเชื่อมั่นต่อประเทศจะเป็นอย่างไรซึ่งคนไทยเผชิญกับปัญหานี้เอาเอง”
ขณะที่ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรค พท. มองการกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าการที่รัฐประหารมาก็หนักหนาสาหัสแล้ว เมื่อประชาชนยอม ก็บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่นี่ 8 ปีแล้ว เมื่อครบวาระยังหาทางอยู่ต่ออีก หาก พล.อ.ประยุทธ์ยังเสพติดอำนาจ ชีวิตข้างหน้าจะไม่มีความสุข หากมีพรรคชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจพิเศษเพื่อกลับมาเป็นนายกฯอีก ประเทศคงไม่สงบ ยกตัวอย่างหากพรรค พท.ได้ ส.ส.เกิน 200 ที่นั่ง และรวมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านจนเกิน 300 ที่นั่ง ความชอบธรรมจึงน่าจะอยู่กับพรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง
“ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ต้องมี ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 25 คน มีข่าวว่าจะมาตกปลาในอ่างคือการช้อป ส.ส.ที่สอบได้มาโหวตให้ตัวเองเป็นนายกฯ ด้วยราคาแพงๆ หากอยากจะทำแบบนี้ก็ทำไป ต่อให้ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ประเทศไทยก็อยู่ได้ ไม่ต้องคิดว่าประเทศไทยขาดท่านแล้วประเทศจะพังทลายไปต่อหน้าต่อตา วันนี้ถ้าไม่มีท่านอาจจะดีขึ้นก็ได้ ปล่อยให้คนไทยตัดสินอนาคตกันเองพักได้แล้ว” นายพิเชษฐ์กล่าว
อยู่รพ.ไม่วางปากกา ‘เสรีพิศุทธ์’ เซ็นหนังสือด่วนปราบโกง ลั่นคิดว่าจะได้พักในวันที่ป่วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3760787
อยู่รพ.ไม่วางปากกา ‘เสรีพิศุทธ์’ เซ็นหนังสือด่วนปราบโกง ลั่นคิดว่าจะได้พักในวันที่ป่วย
ภายหลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เข้ารพ.ด่วน ด้วยมีอาการป่วย ออกซิเจนในเลือดต่ำ เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้ประกาศหยุดปราบโกงชั่วคราว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก “พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ได้โพสต์ภาพ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขณะนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล กำลังเซ็นเอกสาร พร้อมระบุว่า
“4 ปี ปราบโกงไม่เคยหยุด ‘หนังสือด่วนปราบโกง’ รอไม่ได้ ! ส.ส.ใกล้หมดวาระแต่เรื่องปราบโกงไม่หมด 4 ปีไม่ได้พัก คิดว่าจะได้พักวันที่ป่วย”
โดยมีผู้เข้าไปส่งกำลังใจให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หายป่วยไวๆ อย่างต่อเนื่อง