ตำนานเหมืองแร่ที่สาบสูญ




เหมืองแร่ที่หายไปเป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ของสมบัติที่สูญหาย ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า หากมีคนค้นพบจะทำให้ร่ำรวยขึ้น  ซึ่งเรื่องราวการล่าขุมทรัพย์ในอดีตยังคงสร้างความตื่นเต้นและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนตลอดมาเสมอ

ประวัติศาสตร์การขุดแร่ใน Wild West เกิดขึ้นที่ California Gold Rush ในปี 1849  โดย Gold Rush คือการค้นหาทองคำและโลหะมีค่าอื่น ๆ โดยคนงานเหมืองที่ต้องการทำให้ตัวเองร่ำรวย แต่ผู้คนที่ออกจากบ้านในภารกิจนี้ บางคนไม่เคยกลับมา

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า การขุดไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยคนคนเดียว มันไม่ปลอดภัยเนื่องจากกระบวนการที่เกี่ยวข้อง โดยก่อนอื่นทีมงานเหมืองจะต้องทำการตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีอัญมณีมีค่าจริงหรือไม่ จากนั้นจะต้องมีการระเบิดสถานที่และอื่นๆ ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากสำหรับคน ๆ เดียว

แต่ Gold Rush ก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากออกจากตะวันตกไปขุดค้นสิ่งมีค่าเพื่อความร่ำรวย ความฝันนี้ทำให้เกิดเหมืองหลายแห่งในตะวันตก ซึ่งส่งผลให้มีงานจำนวนมาก แต่มาพร้อมกับความยากลำบากรวมถึงความอดอยากหิวโหยและความตาย

ตำนานเหมืองที่หายไปอาจไม่มีอยู่จริง แต่เรื่องราวได้รับการบอกเล่ามาหลายชั่วอายุคนด้วยข้อมูลที่ต่างกันไป  โดยเหมืองที่สูญหายที่มีชื่อเสียงที่สุดมีสามแห่ง ได้แก่ เหมืองทองคำของชาวดัตช์ที่หายไป (the Lost Dutchman’s Gold Mine)
                       เหมืองปูนซีเมนต์ที่สูญหาย (The Lost Cement Mine) 
                       และเหมืองเตาอบดัตช์ที่สูญหาย (The Lost Dutch Oven Mine)


the Lost Dutchman’s Gold Mine


หนึ่งในขุมทรัพย์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกาตะวันตกคือเหมือง Lost Dutchman ถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับ เหมืองไม่เพียงแต่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยด้วยทองคำ แต่ยังกล่าวกันว่ามีคำสาปที่นำไปสู่การเสียชีวิตแปลก ๆ จำนวนมากเช่นเดียวกับผู้คนที่ "หายไป" อย่างลึกลับเมื่อพยายามค้นหาเหมือง 

เริ่มต้นตามตำนาน มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อ Jacob Waltz หรือรู้จักในชื่อ " Dutchman " ยศ มาถึงอเมริกาในยุคตื่นทองเพื่อแสวงหาโชคลาภในปี 1860
ก่อนหน้านี้ Waltz ทำงานเป็นคนงานเหมืองในเหมืองหลายแห่ง และอยากเสี่ยงโชคเพื่อร่ำรวยขึ้น  ซึ่ง Waltz ประสบความสำเร็จเล็กน้อยในการพบแร่ทองคำคุณภาพสูงจำนวนมากจากภูเขาและนำกลับไปที่เมือง โดย Waltz เริ่มบอกใบ้ว่าเขารู้ถึงเส้นทางของทองที่ซ่อนอยู่ในภูเขา

ต่อมา Waltz เสียชีวิตในปี 1891 ด้วยโรคปอดบวม ก่อนจะตายเขาได้ให้เบาะแสสุดท้ายเกี่ยวกับที่ตั้งของเหมืองและเขียนแผนที่หยาบๆให้ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเบาะแสและแผนที่ แต่ก็ไม่มีใครสามารถพบเหมืองของ Waltz ได้  เหมืองทองคำจึงถูกตั้งชื่อว่า Lost Dutchman

เป็นเวลากว่า 120 ปีที่ตำนานของ Lost Dutchman Mine ได้รับการบอกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายคนอ้างว่ามันไม่ใช่เพียงตำนาน แต่มันเป็นจริงอย่างยิ่งซึ่งซ่อนอยู่ในยอดเขาที่ต้องห้ามของเทือกเขา Superstition ที่ลือว่าเป็นเหมืองที่อุดมไปด้วยทองคำ ในปัจจุบันยังคงดึงดูดผู้มุ่งหวังไปยังเทือกเขาแห่งนี้

เทือกเขาอยู่ทางตะวันออกของฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "Superstitions" ยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าของพื้นที่ขรุขระ ที่สูง 3,000 ฟุต
ก่อนที่ทองคำจะถูกพบในหน้าผาพื้นที่นี้ถูกปกปิดด้วยความลึกลับ ก่อนที่ชาวสเปนเข้ามาในปี 1540 พื้นที่นี้เป็นที่อาศัยของชาวอินเดียนอาปาเช่ ซึ่งถือว่าที่นี่เป็น " ภูเขาไสยศาสตร์ " เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเป็นที่ตั้งของเทพเจ้าสายฟ้าของพวกเขา โดยเรียกภูเขาไสยศาสตร์ว่า "Devil's Playground"

แต่ชาวสเปนมีความมุ่งมั่นและเริ่มสำรวจ ต่อมาผู้ชายก็เริ่มหายตัวไปอย่างลึกลับทีละคนเป็นจำนวนมาก เมื่อพบศพในเวลาต่อมาร่างกายของพวกเขาขาดวิ่นและถูกตัดศีรษะ  ด้วยความกลัวในที่สุดชาวสเปนก็หนีไปโดยไม่ยอมกลับไปที่ภูเขาอีก และตำนานได้เริ่มขึ้น  หนึ่งศตวรรษครึ่งต่อมาก็มีเรื่องการพบทองมากมายใน Superstitions ซึ่งเป็นที่ปรารถนาและเพิ่มความเชื่อให้กับตำนานทองคำ ทำให้มีผู้คนเข้าไปสำรวจในพื้นที่มากขึ้น





The Lost Dutch Oven Mine


เป็นอีกหนึ่งในเหมืองแร่สูญหายที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคลิฟอร์เนีย และน่าจะมีชื่อเสียงที่สุดในซานเบอร์นาดิโนเคาน์ตี้ เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องราวที่หลากหลายซึ่งมีหลายรูปแบบเช่นเดียวกับที่มักเกิดขึ้นกับตำนานของเหมืองที่หายไป รายละเอียดบางอย่างสามารถตรวจสอบได้และดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้มากว่า เหมืองมีอยู่จริงและรอการค้นพบ

ในปี1894 Tom Schofield คนงานที่สถานีรดน้ำ Danby  งานของเขาคือการบำรุงรักษาเครื่องมือที่ใช้จ่ายน้ำสำหรับเครื่องจักรไอน้ำที่กลิ้งลงมาตามราง
น้ำของสถานี  สถานีรดน้ำ Danby มาจากสิ่งที่เรียกว่า Bonanza Spring ที่ตั้งอยู่ในเทือกเขา Clipper 

ระหว่างการพักของ Schofield ในเทือกเขา Clipper เขาพบเส้นทางที่ถูกละเลยมาเป็นเวลานานซึ่งนำไปสู่ด้านข้างของภูเขานี้ เขาตั้งใจที่จะเดินตามทาง
ไปจนมาถึงค่ายของคนงานเหมืองที่เพิ่งถูกทิ้งร้าง  จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนตลิ่งที่สูงชันก่อนที่จะมาถึงปล่องเหมืองที่มีความลึก เขารู้สึกได้ว่ามีแร่อยู่ในบริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์มาก

ต่อมา เขาตัดสินใจค้างคืนที่แคมป์คนงานเหมืองเล็ก ๆ ด้านล่าง ในตอนเช้าเขาบังเอิญเตะฝาเตาอบดัตช์เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับหลุมไฟ และพบทองคำในหม้อเก่านั้นที่ตกลงบนพื้น  ซึ่งเขารวบรวมมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และมุ่งหน้าลงภูเขากลับไปที่ Danby และยังมีเรื่องราวอีกหลายเวอร์ชั่นรุ่นหนึ่งคือในการเดินทางไปพบทองของเขา

สรุปคือ Tom Schofield ได้นำทองมาทดสอบ พบว่าเป็นทองคำที่มีค่าสูงมากและทำให้เขาร่ำรวยขึ้น  แต่ในเวลาเพียงสองปีเขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพนัน เหล้าและผู้หญิงจากความมั่งคั่งนี้

สองปีต่อมาเขากลับไปที่เทือกเขา Clipper อีกครั้งเพื่อหาทองแต่เขาไม่เคยพบมัน  Schofield ใช้ชีวิตที่เหลือในการหาแร่ที่คาดว่าจะอยู่ในสถานที่อื่น ๆ 
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และในช่วงทศวรรษที่ 1940 เขายังคงเดินทางไปทั่ว Danby และเทือกเขา Clipper เพื่อค้นหาเหมืองเตาอบของชาวดัตช์ที่หายไป  และในปี 1936 ในขณะที่เขาอาศัยอยู่ในร้านร้างนอกเมือง Danby  เขาได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหมืองที่หายไปนี้ต่อ Walter H. Miller และ George Haight  จากนั้นก็ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับ Dutch Oven Mine ที่เคยพบอีกเลย 





 
The Lost Cement Mine


เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน โครงสร้างทางธรณีวิทยาในเทือกเขาแคลิฟอร์เนียพบว่ามีทองคำที่มีมูลค่าอยู่เป็นจำนวนมาก ทองคำนี้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ 170 ปีก่อน ซึ่งต่อมาทำให้เกิดความโชคดีของผู้คนหลายพันคน 

ในยุคแรก ๆทองคำมีอยู่มากมายในพื้นที่ของแคลิฟอร์เนีย แค่คนงานเพียงแค่ร่อนดินในแม่น้ำและลำธาร ก็จะได้แร่ทองคำที่ถูกชะล้างลงมาจากภูเขา
ต่อมา คนงานเหมืองเริ่มผันน้ำจากแม่น้ำทั้งสายให้ผ่านทางที่พวกเขาอยู่เพื่อจะได้ร่อนทองคำในก้นแม่น้ำที่เพิ่งเปิดใหม่

เมื่อทองคำกลายเป็นของหายาก การขุดก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งมีเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการขุดและการระเบิดหินที่เรียกว่า  “hard-rock mining”
ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวในปัจจุบันที่ให้ทองคำในปริมาณที่ทำกำไรได้ แต่ถ้าจะให้เชื่อในตำนานเก่า ๆ ก็ยังมีทองคำมากมายในเซียร์ราเนวาดา ที่รอการค้นพบอีกครั้ง

จากเรื่องราวที่เล่าขานกันในปี 1857 ผู้อพยพชาวเยอรมันสองคนกำลังเดินเท้าผ่านเซียร์ราเนวาดา เมื่อพวกเขาหยุดพักใกล้แม่น้ำโอเวนส์ บนชายฝั่งที่พวกเขาพักอยู่นั้น  พวกเขาสังเกตเห็นหินสีแดงแปลกตาที่มีก้อนโลหะสีเหลืองติดอยู่ ด้วยความเชื่อว่าก้อนนั้นเป็นทองคำ ชายเหล่านั้นจึงทุบหินออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อปกปิดร่องรอยของเส้นทางแร่ทองคำ  และวาดแผนที่คร่าวๆของท้องที่

จากนั้นก็เดินทางไปทางทิศตะวันตกไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด ความโชคร้ายเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มและขาหัก  อีกคนจำเป็นต้องปล่อยให้เขาไว้
ในถิ่นทุรกันดารนี้  แต่เมื่อผู้รอดชีวิตมาถึงค่ายเหมืองแร่มิลเลอร์ตันก็เกิดป่วยจากความเหนื่อยล้า ซึ่งในระหว่างการเดินทางเขาได้โยนหินทั้งหมดออกไปเรื่อยๆจนเหลือแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเขานำออกมาให้หมอ Randal ที่รักษาเขาดู 



ก่อนหน้านี้ ความเป็นไปได้ของเหมืองทองคำที่ยังไม่ถูกค้นพบ ทำให้ทุกคนตื่นเต้นและมีผู้สำรวจจำนวนมากมาตั้งค่ายในภูมิภาคเซียร์ราตะวันออก
เพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่า “cement mine” ซึ่งแม้แต่ Mark Twain ก็ยังเข้าร่วมในการค้นหาด้วย เขาทิ้งเรื่องราวสั้น ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในฐานะนักล่าทองคำในหนังสือ Roughing It ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1872

เป็นเวลาสิบสามปีแล้วที่ Mark Twain ร่วมกับ Mr. Whiteman ผู้ช่วยของหมอ Randal ทำการค้นหาแร่ และการค้นหาเหมืองที่สูญหายยังดำเนินต่อไปตลอดปี 1860-1870 และแม้ว่าจะไม่พบ "สายแร่ซีเมนต์" แต่นักสำรวจหลายคนก็พบทองคำที่อยู่ในค่ายขุดของ Dogtown, Mammoth City, Lundy Canyon, Bodie และอีกหลายที่ 
นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่าเหมืองปูนซีเมนต์อาจถูกค้นพบไปแล้วในช่วง 150 ปีที่ผ่านมาโดยที่ผู้ไม่ทราบชื่อ จากนั้น ในปี1980  มีการสร้างแผ่นโลหะสำหรับเหมืองปูนซีเมนต์ที่หายไปใกล้กับถนน Owens River ใน Crestwood 




The Lost Mine (2019)


“ The Lost Mine” สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับชีวิตของ Jacob Waltz เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1860 ในรัฐแอริโซนา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ "The Dutch Man" คนงานเหมืองเก่าและผู้หาแร่เพียงคนเดียวที่ก่ออาชญากรรมมากมาย เพื่อรักษาความลับของเขาให้ปลอดภัยรวมถึงการฆาตกรรม
กำกับโดย Mauriel Morejon




(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่