สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป คราวนี้ผมมีเรื่องราวการเดินทางด้วยจักรยาน กับสองแขนที่เข็นสองขาที่ดัน มาฝากเพื่อนๆ กันอีกครั้งนะครับ หลังจากทริปน่านเหนือในหน้าฝนจบไป มาคราวนี้ลมหนาวคืบคลานเข้ามา พวกเราก็โหยหา การเดินทางบนเขาบนดอยอีกครั้ง
ทริปนี้ ผมกับพี่บุญมีได้ชวนกันไว้แล้ว แต่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกคน คือพี่อุ้ย ซึ่งก็เป็นเพื่อนในกลุ่มกับพี่บุญมีที่ปั่นกันเป็นประจำ ไปด้วยอีกหนึ่งคน ผมเองกับพี่บุญมีเคยออกทริปด้วยกันอยู่ แต่กลับพี่อุ้ย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะไปปั่นด้วยกัน จากการพูกคุยกัน พี่อุ้ยแกอยากได้เส้นทางดิบๆ นอนดิบๆ สัมผัสใกล้ชิดธรรมชาติ ซึ่งตรงกับความต้องการของผมพอดี ผมจึงหาข้อมูลเพื่อหาเส้นทาง จนมาสรุปลงตัวกันที่ เชียงใหม่-สถานีวิจัยเกษตรที่สูง สันป่าเกี๊ยะ – เมืองคอง – ห้วยน้ำดัง- เชียงใหม่
ผู้ร่วมชะตากรรมในทริปนี้ครับ
โดยเส้นทางที่เราเดินทางไป ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด เพราะวันที่ 3 เราไปไม่ถึงจุดหมาย แผนการเดินทางจึงถูกปรับเปลี่ยน จาก
สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ ไปไม่ถึงเมืองคอง ต้องมานอนกลางทางที่บ้านป่าไม้แดงแทน พอผิดแผน การเดินทางก็เลยถูกปรับใหม่ เปลี่ยนไปบ้านสบก๋าย วนกลับไป อช.ศรีลานนา – เชียงใหม่แทน และนี่คือการเดินทางของเรา 3 คน กับเส้นทางที่ไม่มีในแผนที่
13 พ.ย.63 เวลา 16.00 น. ณ อู่สมบัติทัวร์ ถ.สุคนธสวัสดิ์ เขตตลาดพร้าว
พวกเรามาพร้อมกันเพื่อรอขึ้นรถทัวร์ V.I.P. กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ราคาค่าโดยสารคนละ 823 บาท ค่าระวางจักรยานคันละ 100 บาท
14 พ.ย.63 06.00 น. ณ สถานีขนส่งเชียงใหม่ 3 (อาเขต)
วันแรกของการเดินทาง เชียงใหม่ – แก่งปันเต้า- บ้านปางห้วยตาด ( 70 กม.)
หลังจากนำรถจักรยานออกมาจากที่เก็บสัมภาระใต้ท้องรถทัวร์แล้ว พวกเราก็แพ็คกระเป๋า เพื่อออกเดินทางกันทันที
เราออกจากสถานีขนส่งฯ ก็เลี้ยวซ้ายไปตามถนนซุบเปอร์ไฮเวย์ ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าเส้นแม่ริม-เชียงดาว
เช้านี้ทุกคนดูกระชุ่มกระชวยยิ่งนัก ยิ่งมีลมเย็นพัดอ่อนๆ มากระทบผิวกายด้วย สร้างความครึกครื้นให้พวกเรา
พวกเราแวะกินข้าวมันไก่ที่บริเวณหน้าค่ายพระปิ่นเกล้า และนี่คือมือที่ดีที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นอีกอีก 11 มื้อของเรา จะเป็นประเภท ไข่ มาม่า ปลากระป๋อง ข้าวต้ม ข้าวไหม้ ข้าวดิบ และก็ขอชาวบ้านเขากินบ้าง อะไรประมาณนี้ครับ
เราปั่นผ่าน อ.แม่ริม ช่วงนี้อากาศไม่ร้อนมากนัก ถนนหนทางถือว่าดีทีเดียว ไหล่ทางกว้างปั่นสบายๆ
ไม่นานเราก็มาถึงตลาด แยกแม่มาลัย
พวกเราแวะซื้อ เสบียง ไว้ในการเดินทาง กระเป๋าคู่หน้าของพี่บุญมีที่ถอยมาใหม่ ถูกบรรจุด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง และก็ผลไม้ติดไปเล็กๆ น้อยครับ
ออกจากตลาดแม่มาลัย พี่บุญมีแวะซื้อข้าวหลาม เพิ่มเข้าไปอีก อากาศเริ่มร้อนขึ้นมาบ้าง เพราะว่าใกล้เที่ยง
ก่อนถึงแยกไปปางช้างแม่ตะมาน พวกเราก็เจอเนินชันเนินแรก สองข้างทางเริ่มเจอความเขียวขจีของป่าไม้
ก่อนถึง อ.เชียงดาว ขึ้นเขาน้อยๆ เนินซึมๆ กันอีกหนึ่งลูก เวลาไหลลงก็ไหลลงยาวสุดมันส์เลยครับ
ไม่นานก็ปั่นมาถึงจุดตรวจบ้านแก่งปันเต้าในเวลาเที่ยงกว่าๆ
เราแวะหาซื้อน้ำดื่ม ป้าเจ้าของร้านใจดี ช่วยมัดน้ำดื่มที่เราซื้อมาเป็นแพ็คขึ้นตะแกรงหน้าจักรยานพี่อุ้ย จะหาซื้อขวดใหญ่ 1.5 ลิตร
ก็ไม่มีขายซักร้าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านขายผลหมากไม้ครับ นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาก็นิยมจอดแวะซื้อกันตลอด
สำหรับเส้นทางที่จะขึ้นไปยังสถานีวิจัยเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ ก็จะขึ้นได้สองทาง ทางที่นิยมกันมากก็จะขึ้นทางบ้านแม่นะ ซึ่งเลยจากตรงนี้ไปไม่ไกลนักเส้นทางนั้นหน้าแล้ง รถกระบะขับ 2 ก็ขึ้นได้ครับ และอีกทางก็คือขึ้นทางบ้านแก่งปันเต้า เส้นทางนี้ก็โหดกว่า ชันกว่า เรียกว่าลำบากกว่านั่นแหละครับ ซึ่งพวกเราก็จะใช้เส้นทางนี้กันครับ
ตอนนี้บ่ายโมงแล้ว พวกเรากะกันว่าจะไปหาที่พักแถวบ้านปางมะโอ จากปากทางบ้านแก่งปันเต้า ระยะทางแค่ 11 กม. คิดว่าน่าจะเอาอยู่
พวกเราออกปั่นทันที พลันที่เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางขึ้นบ้านปางมะโอ ก็เจอเนินทันที
พวกเรางัดเนินกันเรื่อยๆ ไม่นานก็เจอหนองน้ำที่อยู่ขวามือ เห็นเพิงร้านค้าร้าง มีท่าน้ำที่ยื่นไปในหนองน้ำ ดูน่านั่งพักยิ่งนัก พวกเราแวะพักกันตรงนี้
พี่บุญมีงัดข้าวหลามออกมาแบ่งปัน ผลไม้จากตลาด ถูกนำมาแจกจ่าย บรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบดีจริงๆ
พวกเรากินไปพูดคุยกันไป บ้างก็ไลน์หาคนทางบ้าน ดูครึกครื้นมีความสุขยิ่งนัก แต่หารู้ไหมว่า หลังจากนี้ไป นรกกำลังจะมาเยือนพวกเรา 555++
ประมาณบ่ายสอง พวกเราออกเดินทางกันต่อ เส้นทางเริ่มขึ้นเขา ความชันเริ่มมาเยือน รถกระบะที่ขนชาวบ้าน วิ่งผ่านพวกเราเป็นระยะ
เสียงพี่อุ้ย ดังออกมา "สายเขาเป็นอย่างนี้นี่เองหรือครับ” พี่อุ้ยแก เพิ่งจะเคยปั่นเส้นทางขึ้นเขาทางภาคเหนือก็ทริปนี้ ทริปแรกล่ะครับ
พี่บุญมี พยามบอกเทคนิคการปั่นขึ้นเขากับพี่อุ้ย แต่ดูเหมือนพี่อุ้ยจะไม่รับรู้ โสดประสาทหูน่าจะเริ่มอิ้อครับ
ผมก็กดบันไดซอยขาตามหลังไปเรื่อยๆ ไม่นานพี่อุ้ยก็ลงเข็น ทั้งที่จะขึ้นเขาไปไม่นานเท่าไหร่ แต่ต้องยอมล่ะครับ ทางมันก็ชันจริงๆ
ชันมาก แม้จะเป็นทางปูนก็เหอะ
สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าเขียวขจี บอกตรงๆ ปั่นกับเข็นนี่แทบจะไม่ต่างกันเลย เพราะความที่มันชันมาก เลขไมล์จักรยานแทบไม่กระดิก ผมเองก็กัดฟันซอยขาตามพี่บุญมีไปเรื่อยๆ อากาศบ่ายๆ เริ่มร้อนอบอ้าว เหงื่อหยดท่วมเสื้อท่วมกางเกงเต็มไปหมด หันหลังมองพี่อุ้ยแกก็เข็นอยู่ข้างหลังผม ผมเองขาก็สั่นระริกๆ ตะคริวกำลังมา ผมสัมผัสได้ ไม่นานผมก็ลงเข็น
พี่บุญมียังคงปั่นอยู่ แกจะไปหยุดรอผมกับพี่อุ้ยเป็นระยะ รถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้านผ่านมา พวกเราก็จะเรียกสอบถามว่า
อีกไกลไหมกว่าจะพ้นทางชัน อีกไกลไหมกว่าจะถึงบ้านปางมะโอ ???
ผมกับพี่อุ้ยเข็นจักรยานไป คุยกันไป เมื่อยแขนก็หยุดชมวิวข้างทาง ช่วงไหนไม่ชันพอจะปั่นได้ ก็จะปั่น ทางไหนชันก็จะลงมาเข็น เป็นแบบนี้ประจำครับ
บางช่วงก็มองเห็นเทือกเขาดอยหลวงเชียงดาวอยู่ไกลๆ ก็หยุดเพื่อพักขา ชมวิว พอคลายเหนื่อยได้บ้างครับ
ผมเริ่มเกิดอาการตะคริวขึ้นฉับพลันขณะกำลังปั่น ต้องพัก พี่บุญมีเอาน้ำเย็นในกระบอกให้ผมลาดลงน่องขา ให้อาการดีขึ้น พอค่อยยังชั่วก็ออกเข็นกันต่อ ทางที่โครตชัน เราก็ทำได้อย่างเดียวคือการเข็น ไม่นานพี่บุญมีแกก็ลงมาเข็นเป็นเพื่อน แกบอกปั่นคนเดียวมันเหงา “ที่ลงมาเข็นไม่ใช่หมดแรงนะ แต่มาเข็นเป็นเพื่อนกัน” 555++ เอากับแกซิ
เส้นทางเริ่มสูงขึ้น เราเริ่มเห็นไร่ชาตามไหล่เขา แถวนี้เป็นเขตไร่ชาระมิงค์ ไร่ชาชื่อดัง อ.แม่แตงครับ
พี่บุญมีเก็บพริกป่าข้างทาง เพื่อเอามายำปลากระป๋อง ผมเห็นกองฟืนตามข้างทางที่ชาวบ้านมาตัดกองไว้ ซักพักก็จะมีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซด์ลงมาเก็บฟืนใส่ท้ายมอเตอร์ไซด์ แล้วขับกลับขึ้นเขาไป ผมคิดในใจ อากาศข้างบนเย็นแน่ๆ ชาวบ้านถึงต้องมาตุนฟืนไว้
เข็นมากกว่าปั่น ก็ครั้งนี้แหละ กับทริปจักรยานที่เส้นทางไม่ได้มีในแผนที่ "แม่ตะมาน สันป่าเกี๊ยะ-บ้านป่าไม้แดง-บ้านสบก๋าย