ความเดิมจากตอนก่อนๆ
17 พ.ย.63 วันที่สี่ของการเดินทาง
เช้านี้พวกเราตื่นกันแต่เช้า เห็นสายหมอกคลอเคลียตามแนวเขาที่รายล้อมหมู่บ้าน อากาศที่นี่ยามเช้าช่างแสนสบายจริงๆ เสียงไก่ขัน สลับกับเสียงนกเสียงกา กูร้องตามแนวไพร เมื่อคืนพวกเรานอนหลับกันอย่างสบาย เช้าตื่นขึ้นมาสมองจึงโปร่งโล่งยิ่งนัก พวกเราพากันเดินไปหาพี่เฉลิมที่บ้านอยู่ติดกับโบสถ์ พี่อุ้ยกะว่าจะไปขอชาร์ตเพาเวอร์แบ๊งค์ และเอาเพาวอร์แบ๊งค์ของผมที่ฝากชาร์ตไว้เมื่อคืนนี้ด้วย
ที่บ้านพี่เฉลิม เราได้พบกับครอบครัวของพี่เฉลืม พ่อกับพี่ชายและหลานๆลูกๆของพี่เฉลิมกำลังนั่งพิงไฟกันอยู่ เสียงพ่อพี่เฉลิมเชิญชวนพวกเราให้มาร่วมนั่งผิงไฟเพื่อสนทนากัน พี่ชายของพี่เฉลิมกำลังดื่มน้ำชากันอยู่ พวกผมเข้าร่วมไปนั่งล้อมวงเหมือนคนคุ้นเคย
แก้วไม้ไผ่ใบเก่าที่ใส่น้ำชาอยู่ในมือชายชาวกระเหรี่ยงที่เป็นพี่ชายของพี่เฉลิมดูเพิ่มความสนใจพวกเรายิ่งนัก พ่อพี่เฉลิมเห็นว่าพวกเราชอบ จึงไปเรื่อยท่อนไม้ไผ่ที่อยู่ข้างบ้านมาให้พวกเราคนละใบ
พวกเราจะได้กินชาจากฝีมือการชงชาจากชาวบ้านที่นี่ เสียงหัวเราะมีความสุขจากการสนทนามีขึ้นตลอด
ตัวของพี่เฉลิมเองไปเด็ดผักมาจากสวนหลังบ้านมาทำอาหารมื้อเช้า พร้อมเชิญชวนพวกเราร่วมทานอาหารด้วยกัน
ระหว่างนั้นพี่บุญชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเอาข้าวเหนียวใส่ถุงมาฝากพวกเราเพื่อเป็นเสบียงติดตัวในการเดินทาง
เช้านี้พวกเราได้มีการเปลี่ยนแผนการเดินทาง จากข้อมูลที่ได้มาว่าจากที่นี่ไปเมืองคองระยะทางประมาณ 9-10 กม. ซึ่งพวกเราจะต้องปั่นต่อไปห้วยน้ำดังกันต่อ จากการที่ว่าจะไปกางเต็นท์ตามสถานที่ท่องเที่ยว กลับเป็นว่าไปไม่ถึง อย่างเช่นเมื่อคืน ต้องมานอนที่หมู่บ้านแห่งนี้แทน แทนที่จะไปถึงเมืองคอง แต่กลับกลายเป็นว่าการที่พวกเรามานอนที่หมู่บ้านนี้
พวกเราได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คน ได้รับน้ำใจไมตรีจากชาวบ้าน มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทรรศนะกับชาวบ้านชาวป่าชาวเขาเช่นนี้ ทำให้เกิดรสชาติและ ประสบการณ์ใหม่ๆ พวกเราจึงวางแผนว่าจะปั่นท่องเที่ยวตามเส้นทางไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปนอนแถวบ้านสบก๋ายแทน
แล้วหลังจากนั้นก็จะวางแผนวันต่อวัน ว่าพรุ้งนี้จะไปไหนต่ออีก ไม่ขอกำหนดเส้นทางและเป้าหมายตายตัว
ซึ่งหลังจากร่วมรับประทานอาหารเช้ากับครอบครัวพี่เฉลิมกันแล้ว พวกเราก็กลับมาเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางกันต่อ
เราออกจากบ้านป่าไม้แดงในช่วงสายๆของวัน เส้นทางผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน ปั่นเลียบไปกับลำห้วยแม่กอก จนมาถึงสะพาน
สะพานไม้มีสะลิงแขวน ที่ข้ามลำห้วยแม่กอก ตรงนี้ลำห้วยกว้างสวยงามผ่ากลางผืนป่า สายน้ำไหลผ่านแก่งหินน้อยใหญ่ พวกเราปั่นผ่านสะพานแล้วมาจอดแวะถ่ายภาพกัน
เห็นกลุ่มคน 3-4 คนกำลังเดินเลาะเลียบตามลำห้วย จึงได้มีโอกาสทักทายกัน จึงได้ทราบว่าเป็นยูทูปเบอร์ช่องดังมาถ่ายทำรายการทางช่องยูทูป “ครัวบ้านทุ่งกับลุงเด่น พากินพาเที่ยว” ซึ่งพี่อุ้มเราเป็น FC รายการช่องนี้อยู่ครับ
จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ เส้นทางขึ้นจากลำห้วยเป็นทางชันขึ้นเขาล้วนๆ เสียงหอบเสียงลมหายใจดังขึ้นถี่ๆ เป่าปากกันทุกคน ขนาดเข็นแล้วยังเหนื่อยขนาดนี้ ผมก้มมามองที่หน้าแข้งตัวเองด้วยเกิดอาการคัน “ไอ้หย่ะ กูโดนอะไรกัดว่ะเนี๊ย” รอยแดงเป็นจ้ำๆ มีจุดอยู่ตรงกลาง จำนวนหลายจุดขึ้นเต็มขา น่าจะมาจากตัวคุ่นแน่ๆ โดนกัดตอนไหน จากแถวไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญผมโดนคนเดียวเสียด้วยซิ พรรคพวกไม่โดนรอดหมด
หลังจากหยุดพักเหนื่อย พวกเราก็ออกปั่นกันต่อ ทางเริ่มชัน ด้วยที่ว่าเป็นเขาล้วนๆ พวกเราเข็นบ้างปั่นบ้างสลับกันไป เหงื่อเป็นเม็ดๆแตกเต็มผิวกาย เสียงบ่นเสียงสบถดังเป็นระยะ ทางบางช่วงที่ขึ้นเขาและชันมากๆ ก็จะมีการเทปูนเป็นร่องๆสำหรับให้ล้อรถยนต์วิ่งได้สองข้าง
พวกเราปั่นมาจนถึงสามแยกทางขวาไปบ้านป่าข้าวหลาม ทางซ้ายบ้านสบก๋าย พวกเราเลี้ยวซ้ายไปทางบ้านสบก๋าย ทันที เส้นทางยังคงขึ้นเขา เปลี่ยนจากทางดินเป็นทางปูนสลับกัน แต่ยังคงอยู่ในป่าเหมือนเดิม
พวกเราแวะกินอาหารกลางวันกันริมทาง ข้าวเหนียวที่พี่บุญให้มาจากบ้านป่าไม้แดงถูกนำออกมากิน กับข้าวทำง่ายๆ ทอดไข่เปิดปลากระป๋อง
จากนั้นพวกเราก็ออกปั่นกันต่อ เส้นทางเริ่มลงเขา ทางลงเขาบางช่วงก็ชันมาก พวกเรากำเบรกกันจนเมื่อยมือ จากนั้นก็ปั่นไหลลงมากันยาวๆ
จนก่อนเข้าเขตหมู่บ้านทุ่งยั๊วะ ก็จะเห็นชาวบ้านกำลังเก็บเกี่ยวข้าวอยู่ตามท้องนา พวกเราแวะพูดคุยกับชาวบ้านเป็นระยะๆ
หมู่บ้านทุ่งยั๊วะเป็นหมู่บ้านชาวลาหู่หรือมูเซอ มีประมาณ 80-90 หลังคาเรือน อาชีพส่วนใหญ่ก็ทำนาทำสวนเลี้ยงสัตว์ล่ะครับ
จากหมู่บ้านทุ่งยั๊วะไปถนนหนทางดีครับ เทปูนสะดวกสบาย ดูแล้วก็เพิ่งจะเทปูนไม่นานนี่เอง ร่องรอยการเทปูนทำถนนยังอยู่เลย พวกเราปั่นกันสบายๆ ทางขึ้นเนินลงเนินสลับกันไป
จนมาถึงหมู่บ้านหมู่บ้านห้วยปู่ทอง หมู่บ้านชาวอาข่า
พบสาวชาวอาข่าซึ่งถ้ามองดูจากการแต่งกายก็คงไม่รู้ว่าเธอเป็นชาวอาข่าหรอกครับ เพราะเดี๋ยวนี้ชาวเขาตามที่ที่ความเจริญเข้าถึง ก็เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตรวมถึงการแต่งตัวกันแทบจะหมดแล้ว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษามีงานทำ แทบจะกลายเป็นคนเมืองไปแล้วครับ คงเหลือไว้เพียงแค่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังคงไว้ซึ่งการแต่งกาย วัฒนธรรม ประเพณี กันไว้อยู่ ซึ่งถ้าเราอยากจะเห็นความสวยงามของการแต่งกาย ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ก็อาจจะต้องรอถึงเทศกาลของเขา หรือช่วงที่ ที่มีการจัดงานนั่นแหละครับ ถึงจะได้รับเห็นรับชมกัน เราพูดคุยกันซักพัก ก็ทราบว่าเธอเปิดโฮมสเตย์ที่ซื่อว่า yazama homestay อยู่ในหมู่บ้านเธอเองครับ เธอบอกว่า จากตรงนี้ไปอีก 4 กม.ก็จะถึงบ้านสบก๋าย จากนั้นพวกเราก็ปั่นต่อไป
จนถึงร้านค้าขาของชำ พวกเราแวะซื้อเสบียง พวกไข่ ปลากระป๋อง ตุนไว้ เพราะยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน ก็กะว่าที่ไหนน่านอนก็จะนอนกันครับ ไม่มีเป้าหมายอะไรทั้งนั้น แม่อุ๊ยเจ้าของร้านใจชวนพวกเรากินข้าว ซึ่งเธอกำลังจะกินพอดี พวกเราเหนื่อยๆหิวๆมาพอดี มีหรือจะปฏิเสธ ขอบอกน้ำพริกแม่อุ๊ยนี่อร่อยมากครับ พวกเรานี่ประทับใจกับน้ำใจที่พบเจอตลอดการเดินทางในครั้งนี้มาก ก่อนจะกล่าวขอบคุณและร่ำลาแม่อุ๊ยเพื่อเดินทางต่อไป
ออกจากร้านแม่อุ๊ย ก็ปั่นขึ้นลงเนินสลับไป ไม่นานก็ไหลลงเขามาถึงบ้านสบก๋าย บ้านสบก๋ายจะเป็นแหล่งที่เลี้ยงช้างกันมากครับ หมู่บ้านนี้มีลำน้ำแม่แตงไหลผ่าน โดยลำน้ำนี้ก็ไหลมาจากเมืองคอง ผ่านป่าเขา ผ่านบ้านสบก๋าย ก่อนจะไปไหลรวมกับแม่น้ำปิงที่ อ.แม่แตง ครับ
เข็นมากกว่าปั่นก็ครั้งนี้แหละ ทริปจักรยานที่เส้นทางไม่ได้มีในแผนที่ สันป่าเกี๊ยะ-ป่าไม้แดง-สบก๋าย ตอนที่ 4 (ตอนจบ)
หลังจากหยุดพักเหนื่อย พวกเราก็ออกปั่นกันต่อ ทางเริ่มชัน ด้วยที่ว่าเป็นเขาล้วนๆ พวกเราเข็นบ้างปั่นบ้างสลับกันไป เหงื่อเป็นเม็ดๆแตกเต็มผิวกาย เสียงบ่นเสียงสบถดังเป็นระยะ ทางบางช่วงที่ขึ้นเขาและชันมากๆ ก็จะมีการเทปูนเป็นร่องๆสำหรับให้ล้อรถยนต์วิ่งได้สองข้าง
จนถึงร้านค้าขาของชำ พวกเราแวะซื้อเสบียง พวกไข่ ปลากระป๋อง ตุนไว้ เพราะยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน ก็กะว่าที่ไหนน่านอนก็จะนอนกันครับ ไม่มีเป้าหมายอะไรทั้งนั้น แม่อุ๊ยเจ้าของร้านใจชวนพวกเรากินข้าว ซึ่งเธอกำลังจะกินพอดี พวกเราเหนื่อยๆหิวๆมาพอดี มีหรือจะปฏิเสธ ขอบอกน้ำพริกแม่อุ๊ยนี่อร่อยมากครับ พวกเรานี่ประทับใจกับน้ำใจที่พบเจอตลอดการเดินทางในครั้งนี้มาก ก่อนจะกล่าวขอบคุณและร่ำลาแม่อุ๊ยเพื่อเดินทางต่อไป