เข็นมากกว่าปั่นก็ครั้งนี้แหละ กับทริปจักรยานที่เส้นทางไม่ได้มีในแผนที่ แม่ตะมาน สันป่าเกี๊ย-ป่าไม้แดง-สบก๋าย ตอนที่ 3

อมยิ้ม33
ตอนที่ 2  https://ppantip.com/topic/40389703

16 พ.ย.63  วันที่สามของการเดินทาง  สถานีวิจัยเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ- บ้านป่าไม้แดง 

พาพันปั่นจักรยานเกือบแปดโมงเช้า แดดส่องกระทบเต็นท์  จนผมต้องตื่นแล้วลุกออกมาจากเต็นท์ด้วยอาการสะลึมสะลือ 

 เสียงพี่บุญมีกับพี่อุ้ยที่คุยกันอยู่ก็ดังออกมา “บอกแล้ว อย่าไปท้าดวลกับเด็กๆ เป็นไงล่ะ 5555++” ผมก็ต้องยอมรับสภาพไปอ่ะครับ แก่แล้วนิ  พี่อุ้ยกับพี่บุญมีเก็บเต็นท์เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว รอแต่ผมคนเดียว ส่วนสองสาวนั่น เก็บเต็นท์เก็บของลงดอยไปแต่เช้าแล้ว 

ผมรีบไปทำธุระส่วนตัวก่อนมาร่มวงสนทนาดื่มน้ำขิงอุ่นๆให้สมองโล่ง  เมื่อคืนหนักไปหน่อย แต่วันนี้เส้นทางที่จะไปเมืองคอง ก็จะใช้ทางไปบ้านสันป่าเกี๊ยะแล้วไหลลงไปเมืองคอง ซึ่งระยะทางก็น่าจะประมาณ 25 กม. ซึ่งเส้นทางก็ไม่มีในGoogle Maps และก็ยังไม่เคยเห็นใครไปกันด้วย แต่คิดว่ามันน่า จะมีทางไปได้ ชาวบ้านน่าจะใช้สัญจร จริงๆเส้นทางหลักที่จะไปเมืองคอง ต้องลงไปทาง อ.เชียงดาว แล้วปั่นขึ้นไปทางบ้านระเบียงดาว แล้วถึงจะไปต่อ  ที่เมืองคองซึ่งทางนั้นจะไกลกว่า  เราจึงจะไปทางลัดกัน 

เกือบ  9 นาฬิกา พวกเราจึงได้ออกจากสถานีเกษตรสันป่าเกี๊ยะ 
พวกเราปั่นผ่านหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน เลี้ยวซ้ายตรงสามแยกไปบ้านสันป่าเกี๊ยะ ทางเริ่มลงเขาชัน พวกเรากำเบรกประคองรถลงมาเรื่อยๆ จนพบทางดินแดงเห็นลูกส้มตกกระจายอยู่ตามริมทางหลายใบ กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ รถกระบะขนส้มของชาวบ้านที่วิ่งห้อตะบึงขึ้นเนินผ่านไปด้วยความเร็ว ทำให้ผลส้มกระเด็นตกลงมาเป็นแน่แท้

พี่อุ้มไม่รอช้า เข้าไปสำรวจลูกส้มที่สภาพดี สวยๆ ศพยังอุ่นๆ  เอาใส่กระเป๋า ส่วนหนึ่งก็แบ่งกัน ลองกินกันดู “ฮือ รสชาติใช้ได้พี่ อร่อยๆ”
 

จากนั้นก็อัดขึ้นเนินจนมาถึงจุดกางเต็นท์ก่อนเข้าหมู่บ้านสันป่าเกี๊ยะ ตรงนี้เป็นลานสนามหญ้ากว้างขวางมาก ปลูกไม้ดอกสีสันสดใสอยู่ริมผา  สามารถมองเห็นดอยหลวงเชียงดาวที่อยู่ด้านหน้าได้ชัดเจน

พวกเราแวะถ่ายรูปชมความงามเก็บบรรยากาศกันที่นี่ซักพัก จึงออกเดินทางกันต่อ เจอทางแยก ปั่นขึ้นเนินทางซ้าย ผ่านหมู่บ้านสันป่าเกี๊ยะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้ง พวกเราแวะสอบถามเส้นทางที่จะไปเมืองคองจากชาวบ้าน ก่อนที่จะออกเดินทางกันต่อ

เส้นทางจากหมู่บ้านเป็นทางดินแดง ลงเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ สองข้างทางมีต้นไม้สูงใหญ่

เสียงเบรกดัง “เอี๊ยด เอี๊อด เอี๊ยด” จากล้อจักรยานของพี่อุ้ย บ่งบอกว่าผ้าเบรกแกหมด แกบอกก่อนมาเช็ครถมาทุกอย่าง แต่ลืมเช็คผ้าเบรก 555++ แต่ทางลงเขาก็ไม่ค่อยชันมากนัก จึงประคองเบรกไหลรถลงไปเรื่อยๆ  

วันนี้คิดว่าคงไหลกันจนถึงเมืองคองกันแบบสบายๆ แน่  พอลงเขามาได้ซักพัก ก็จะเห็นทางแยกต่างๆ ที่จะเข้าไปยังสวนส้มของชาวบ้าน ที่นี่ชาวบ้านทำสวนส้มกันเป็นล่ำเป็นสัน เราปั่นตรงไปเรื่อยๆ มีรถกระบะชาวบ้านขนส้มวิ่งสวนมา พวกเราโบกเรียกเพื่อขอซื้อส้ม แต่ชาวบ้านก็มีน้ำใจครับ ไม่ขาย แต่แบ่งให้ฟรี ได้มาเยอะแยะหลายลูกอยู่ 

บรรยากาศสองข้างทางผ่านป่าใหญ่รกชัฏ พื้นถนนบางช่วงชุ่มด้วยความชื้นเพราะแสงแดดไม่สามารถส่องผ่านทิวไม้ใหญ่มาถึงพื้นถนนได้

 ผมเองชะล่าใจ ไหลลงมาอย่างเร็ว จนรถแฉลบทรายล้มกลิ้งไป คราวนี้ไม่เจ็บเหมือนเมื่อวาน แต่ก็เสียฟอร์มไปนิดหน่อยครับ พี่อุ้ยเองก็มีบางช่วงที่ล้มเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก 
พวกเราปั่นลงมาจนเจอสวนส้มแปลงใหญ่ ทางบางช่วงไม่ค่อยดี เริ่มจะขึ้นเนินที่ชัน ทางดินหินลอย ดินซุยๆ พวกเราต้องลงมาช่วยกันเข็น ช่วยกันดันท้าย ให้พ้นเนินกันไป  

ต้นส้มที่ปลูกติดริมทาง ผลส้มสีทองลอยเด่นออกมายั่วยวนพวกเรายิ่งนัก สงสัยเจ้าของคงเก็บไม่ทัน พวกเราก็มีน้ำใจครับ เลยช่วยกันเก็บเพื่อเป็นเสบียงระหว่างการเดินทาง
พริกก็เก็บครับ เจออะไรกินได้...เก็บหมด

ตอนนี้อากาศเริ่มร้อน และก็เริ่มหิวแล้ว พี่บุญนั่งพัก กินส้มที่เก็บมาสดๆ เพื่อเติมพลังทันที

บ่ายโมงกว่า  พวกเราผ่านลำธารก็หยุดพักใต้ร่มไม้ใหญ่ต้มมาม่ากินเพื่อเติมพลัง

จากนั้นพวกเราก็เดินทางกันต่อ ซึ่งต่อจากนี้ไป มันจะเป็นการเดินทางที่จะทำให้พวกเราต้องจดต้องจำไปในชีวิตเลยครับ พ้นจากที่เราพักริมลำธารพวกเราก็เข็นจักรยานขึ้นเนินชัน จนมาถึงบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่ง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวหลังเดียวกลางป่า มีแปลงข้าโพดกับสวนส้มรายล้อมอยู่รอบๆบ้าน เห็นชายชรากำลังใช้จอบขุดปรับหน้าดินตรงหน้าบ้านอยู่ พวกเราเข้าไปสอบถามทางกับแก ซึ่งดูเหมือนจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ชายสูงวัยใช้ภาษาม้ง เราก็เลย งงๆ ลูกชายที่อยู่ในบ้านเลยออกมาพูดคุยกับพวกเรา บอกว่า "เมืองคองไปทางนี้ได้อยู่ แต่ทางข้างหน้า มันเป็นทางปิด มีแต่มอเตอร์ไซด์วิบาก ที่พอจะไปได้   รถจักรยานก็ต้องได้เข็นกันอยู่" 
 

หลังจากคุยกันเสร็จพวกเราก็เดินทางต่อทันที พ้นจากบ้านชายคนนั้นมาได้ไม่ไกล เราก็พบกับกับเส้นทางแห่งมืองลับแล ต้นไม้ต้นหญ้าปกคลุมเส้นทาง คงต้องลาก ต้องเข็นอย่างเดียว
พวกเราเริ่มมีเสียงบ่น เสียงสบถ เสียงคำรามกันออกมา “มันใช่เหรอ มันคือทางเหรอ”  

ที่สำคัญทางมันเริ่มขึ้นเขาเสียด้วย ผ่านพงหญ้าพ้นออกไป ทางดินแดง หินกรวดลอยตัดผ่านกลางสวนส้มของชาวบ้าน มองไม่เห็นยอดว่ามันจะไปสิ้นสุดทางไหน เสียงหอบ เสียงหายใจ ของแต่ละคนดังขึ้นมา พวกเราตั้งหลัก พยามที่จะเข็นให้มันขึ้น ทางชันยิ่งกว่า 45 องศา แถมเป็นร่องลึก และลื่นด้วย      เพราะว่าเป็นทางหินกรวด ทุกคนหยุดอยู่กับที่ กำเบรก เหงื่อแตกพลักๆ พยามทรงตัวไม่ให้ถอยลง ดันไม่ขึ้นกันจริงๆ ยิ่งปล่อยเบรกเพื่อที่จะเข็น หรือไสไปข้างหน้าอย่างไร มันก็จะถอยหลังกลับทุกที ทุกคนล้มจักรยานลง แล้วมาช่วยกันดัน ผมกับพี่อุ้ย ตะเกียกตะกายเข้าไปช่วยพี่บุญมีที่อยู่คันแรกก่อน ทุกคนพยายามช่วยกันดันท้ายรถแต่ก็ไปได้ไม่ไกล พี่บุญมีบอก “ต้องเอากระเป๋าท้ายออก แล้วแบกกระเป๋าขึ้นไปไว้ข้างบนเนินเขากันก่อน พวกเราช่วยกันปลดกระเป๋าท้ายจักรยาน แล้วทยอยกันแบกขึ้นไป

ช่วงลงเขามาก็ต้องระวังหน้าจะทิ่ม เพราะความลาดชัน ผมพยามจิกรองเท้าเข้าช่วยเพื่อพยุงตัว จนรองเท้าหูขาด ต้องเสียเวลาซ่อม เอามีดมากรีดหนังรองเท้าด้านข้างแล้วยัดสายรัดที่เป็นตีนตุ๊กแกเข้าไปใหม่ เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มีรองเท้าใส่ต่อไป

พี่บุญมีหาวิธีเอาจักรยานขึ้นได้พอดี แกเอาเชือกมามัดคล้องหน้าจักรยานแต่ละคันแล้วผูกกับเอวตัวเอง โดยให้พี่อุ้ยจับแฮนด์รถเพื่อประคอง ส่วนผมดันท้าย เสร็จแล้วก็ช่วยกัน พี่บุญมีเป็นหัวลาก (หัวลากของจริง 555++) พี่อุ้ยดึงประคอง ผมดันท้าย  ลำเรียงจักรยานแต่ละคันขึ้นจนพ้นทางชัน สู่ยอดเขาได้สำเร็จ

จากนั้นทุกคนลงมานั่งหอบ พักหายใจ ส่ายศรีษะ บ่งบอกว่าใจแต่ละคนแทบขาด พี่อุ้ยเริ่มสบถ พี่บุญมีเริ่มด่า ต่างหันมามองผม     ด้วยหางตาที่ค้อน...... เหมือนจะเอาเรื่อง .....555++  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่