เข็นมากกว่าปั่นก็ครั้งนี้แหละ กับทริปจักรยานที่เส้นทางไม่ได้มีในแผนที่ แม่ตะมาน สันป่าเกี๊ย-ป่าไม้แดง- สบก๋าย ตอนที 2

อมยิ้ม33
ตอนที่ 1  https://ppantip.com/topic/40386725

15 พ.ย.63 วันที่สองของการเดินทาง 
พาพันปั่นจักรยานโรงเรียนบ้านปางห้วยตาด-สถานีวิจัยเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ ( 16 กม.)

                                เช้าตรู่ของวันที่สอง พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นดี  พลันผมก็ได้ยินเสียง “สดชื่น.....สดชื้น” เสียงพี่บุญปลุกให้ผมต้องออกจากเต็นท์นอนมาสัมผัสอากาศยามเช้าบนดอย ทันทีที่ออกจากเต็นท์มาก็สัมผัสได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์ เสียงนกเสียงกระรอกจากป่าด้านหลังโรงเรียนดังแว่วมาเป็นระยะ พี่บุญมีกับพี่อุ้ยตื่นกันแต่เช้า เดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันสนุกสนาน

ก่อนที่พวกเราจะเก็บเต็นท์และสัมภาระเพื่อเดินทางกันต่อ อาหารมื้อเช้าทำกินรองท้องกันง่ายๆ ต้มมาม่าครับ เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ

                           ออกจากโรงเรียนบ้านปางห้วยตาด ก็ปั่นผ่านหมู่บ้าน สองข้างทางเป็นไร่ชา ที่ชาวบ้านที่นี่นิยมปลูกกันครับ ปั่นมาประมาณกิโล พวกเราก็พบกับทางที่ชัน ต้องขอบอกทางนี่ชันขนาดทุกคนต้องเข็น เพราะไม่สามารถปั่นขึ้นได้จริงๆ พี่บุญมีที่ว่าขาแรง ยังต้องยอม ทางปูนที่ไม่ได้กว้างนัก ด้านขวาเขาซ้ายเหว เวลารถยนต์ชาวบ้านสวนมาที่ ต้องหาที่แอบข้างทางกันพัลวัน เข็นขึ้นนี่ไม่ได้ม้วนเดียวจบนะครับ เพราะมาชันยาว
ต้องจอดกำเบรกพักแขนเป็นระยะ ๆ 

พวกเราก้มหน้าก้มตาเข็นกันมาเรื่อยๆ เสียงบ่นเสียงสบถ ดังจากพวกเราเป็นระยะ โดยเฉพาะผมเอง ต้องโดนเพื่อนๆเหน็บแนมเป็นระยะ พ้นทางชัน
ก็เจอทางราบหน่อยเดียว ก็ชันอีกแล้ว เหงื่อไหลเป็นเม็ดๆ ท่วมกายแต่เช้าเลยทีเดียว

เสียงเด็ก 5-6 คน วิ่งเล่นอยู่ตามริมทางก่อนถึงหมู่บ้านข้างหน้า ไอเดียพี่บุญมีกระชู๊ดทันที แกพูดเบาๆ “เดี๋ยวให้เด็กๆ มาช่วยดันท้ายดีกว่า” พี่บุญมีตะโกนเรียก “ไอ้หนู ๆ มานี่ มานี่เร็ว มาเอาขนม” ซึ่งเวลาพวกเราออกทริปก็จะมีลูกอมถุงใหญ่ๆ ติดไปด้วยเสมอ ก็ไว้แจกเด็กๆ เพื่อเรียกความคุ้นเคย และคอยสร้างสัมพันธ์ผูกมิตร ไว้นั่นแหละครับ  เด็กๆวิ่งเข้ามารับลูกอมจากพวกเรา ก่อนที่จะพูดคุยกับเด็กๆ “บ้านหนูอยู่ไหน ที่หมู่บ้านมีร้านค้าไหม มา ๆ ช่วยลุงดันท้ายจักรยานหน่อย เดี๋ยวถึงร้านค้า พวกลุงจะเลี้ยงขนม 555++ ” 

เด็กๆ ก็มีน้ำใจจริงๆ ครับ ก้มหน้าก้มตาช่วยกันดันท้ายจักรยานพวกเราขึ้นดอย

พอถึงหมู่บ้าน ก็เจอเด็กกลุ่มใหญ่อีกกลุ่ม วิ่งเฮโลเข้ามาหาพวกเรา พวกเราก็แบ่งปันลูกอมให้เด็กๆทุกคน

ก่อนที่เด็กๆ จะช่วยกันดันท้ายขึ้นเนินกันต่อ

พอถึงร้านค้าในหมู่บ้าน พี่บุญมีนำเด็กๆ เข้าไปเอาขนมในร้าน “เลือกเอาเลยลูก ใครจะเอาอะไร หยิบมาคนละสามถุง” เด็กเล็กผ่านไปผ่านมาหน้าร้าน
พวกเราก็จะเรียกมาเอาขนมในร้านไปกิน ใบหน้าเด็กๆ ดีใจ ดูมีความสุขกันทุกคน  พวกเราผู้ให้ก็มีความสุขที่เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเด็กๆ ผมคิดว่าการปั่นจักรยานท่องเที่ยวไปในที่แบบนี้สามารถสร้างมิตรภาพได้ดีทีเดียว

   หลังจากลาพวกเด็กๆกันแล้ว พวกเราก็ออกเข็นกันต่อ เพราะทางก็ยังคงชันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแรงชักจะหมด เจอชาวบ้านขับมอเตอร์ไซด์สวนมา พวกเราก็จะเรียกเพื่อถามทาง พร้อมกับอีกคำถามที่จะถามประจำ “เมื่อไหร่จะพ้นเนิน” แม้คำคอบจะออกมาเช่นไร พวกเราก็ยังคงก้มหน้าก้มตากันเข็นต่อไป เสียงพี่อุ้ยดังมา “คิดถึงเด็กๆ จังเลย มาช่วยเข็นดันท้ายอีกได้ไหม”  5555++  ผมฟังก็ขำไป ตอนนี้พวกเราแต่ละคน เริ่มคิดหาเทคนิคหรือวิธีการเข็นต่างรูปแบบกันไป แบบไหนช่วยผ่อนแรงแขน ก็จะสรรหาวิธีมาบอกกัน

ไม่นานก็มาถึงหน้า บ้านพักชื่อ “ กระท่อมชมวิวเชียงดาว” พี่บุญมีเกิดปวดท้อง จึงเข้าไปขออาศัยเข้าห้องน้ำที่นี่ บรรยากาศบริเวณที่พักแห่งนี้
สวยงามมากครับ มีบ้านพักหลังกำลังน่ารัก 2 หลัง ปลูกใกล้ๆกัน มีลานสนามหญ้าระหว่างบ้านพักสองหลัง
สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่เป็นเมืองเชียงดาวที่อยู่ด้านล่างได้เลย 

ออกจาก”กระท่อมชมวิวเชียงดาว” ทางไม่ชันมาก พวกเราพอได้ปั่นกันบ้าง สองข้างทางร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ 
บางช่วงมองไปทางขวาจะเห็นวิวดอยหลวงเชียงดาวอยู่ไกลๆ

พวกเราปั่นจนถึงสามแยกก่อนจะเข้าบ้านปางมะโอ เจอผู้หญิงชาวบ้านกำลังเก็บของป่าอยู่ เลยสอบถามทาง เธอบอกว่าให้ไปทางซ้ายผ่านเขาเข้าป่าไป ไม่ต้องเข้าบ้านปางมะโอ เพราะจะอ้อม แต่ทางจะไม่ค่อยดี แต่จักรยานก็พอไปได้ พอเจอสามแยกข้างหน้าให้เลี้ยวซ้ายอีกที
(ในภาพล่าง เป็นทางที่พวกเราเข้ามาตามคำบอกของหญิงชาวบ้านที่อยู่บนเนินติดเสาไฟ ผู้ชี้ทางสวรรค์ ให้พวกเราจำจนตายครับ 555++ )

พวกเราไปตามคำบอก ซึ่งแน่นอนทางก็ไม่ดีจริง แต่ทางมันแย่ยิ่งกว่าที่พวกเราผ่านมาอีก ทางเป็นหิน เป็นร่อง แม้จะไม่ชันมาก แต่ด้วยที่มันเป็นหินก้อนใหญ่สลับกับร่องลึก ทำให้พวกเราเข็นกันด้วยความลำบากสุดๆ มีเสียงสบถแกมเสียงบ่นเกิดขึ้นเป็นระยะ ผมในฐานะผู้จัดทริป ...โดนไปเต็มๆ
  
พวกเรา เข็น ลาก ดึง ดัน กันมาได้ซักพัก ประมาณใกล้ ๑๑ โมง ก็มาถึงยอดเขา

ตรงนี้ร่มรื่น มีไร่ชา ปลูกอยู่ริมทางลาดชันมองดูสวยงามเหมาะที่จะพักกินของว่างกัน พี่บุญมีงัดข้าวหลามที่เหลือจากเมื่อวามมาแบ่งปันกัน
ผลไม้ถูกเอามาสังหารด้วยความหิวโหย

                      พวกเราพักกันครู่ใหญ่ ก็ออกเดินทางกันต่อ จากนี้ไปทางจะเป็นทางแคบๆ ลาดยาว ไปตามไหล่เขา ปั่นบ้างเข็นบ้าง จนมาโผล่สามแยก แล้วเลี้ยวขวา ปั่นกันต่อไป ทางเริ่มดูเหมือนจะดีครับ พอได้ปั่นกันยาวๆ ครับ เส้นทางบางช่วงปั่นบนแนวสันเขา บางช่วงเป็นทางชัน                                  มีร่องลึกสลับกับหินก้อนน้อยใหญ่ ก็ลงมาจูงมาเข็ญกัน

 พวกเราพบเจอชาวบ้านตลอดระยะทางที่ปั่นบนดอยสูงแห่งนี้ เรียกว่ามีเพื่อนให้คุยให้ถามเป็นระยะๆ ไม่เหงาครับ

ตอนนี้พวกเราเริ่มมองเห็นดอยหลวงเชียงดาวที่อยู่ทางขวามือชัดเจนยิ่งขึ้น อากาศสบายๆไม่ร้อนมากนัก

                 ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ พวกเรามาถึงทางแยก ซ้ายขวาไม่มีป้ายบอก พวกเราเลือกไปทางขวา ทางเป็นทางลงเขา ไม่ค่อยจะดี มีหินก้อนใหญ่กระจัดกระจาย บางช่วงมีร่องน้ำไหลผ่าน มือผมกำเบรกแน่น ค่อยๆหยอดลงไปเรื่อยๆ พี่บุญมีนำไปก่อน พี่อุ้ยตามลงไปไม่ห่าง ผมตามไปติดๆ ทันใดนั้น                    จักรยานพี่อุ้ยก็ชนก้อนหินล้มลง  ตัวพี่อุ้ยกระแทกกับโขดหินริมทาง  ผมจอดรถรีบลงไปดู พร้อมเรียกพี่บุญมีเข้ามาช่วยกัน                                               พี่อุ้ยมีบาดแผลที่หน้าแข้งนิดหน่อย ผมงัดชุดยาออกจากกระเป๋าให้พี่บุญมีใส่ยาที่ขาที่อุ้ย 

ระหว่างที่พวกเราพักดูอาการพี่อุ้ย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูGPS ปรากฏว่าพวกเรามาผิดทาง ไอ้ทางแยกเมื่อกี้ต้องไปทางซ้าย แต่เราดันมาทางขวา     ผมหันกลับไป คงจะปั่นขึ้นย้อนไปไม่ไหวแน่ๆ พวกเราจึงเข็นจักรยานย้อนกลับไปทางเดิม ซึ่งหากจากทางแยกนั้นประมาณ 1.5 กม. เข็นมาได้ซักพัก   แรงแขนเริ่มไม่มี ความดันตก ชีพจรเต้นช้า  ขาแขนเริ่มสั่น ท้องเริ่มร้อง เลยตัดสินใจเปิดครัวริมทาง ต้มมาม่าเพื่อเติมพลังก่อนจะสิ้นชีวีกลางป่านี้  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่