ก่อนอื่นขอชมผู้จัดนะครับว่าจัดงานได้ดีมาก สตาฟท์เยอะ และมีความพร้อมมาก ปล่อยตัว ปล่อยทีละชุด มีการกั้นแถว ไม่ให้แทรกคิว(แต่ก็มีเนียนแทรกตอนเผลออยู่ดี) ข้อเสียอย่างเดียวคือ ปาทองโก๋ ไม่กรอบ 555
ทริปนี้ จำไม่ได้ว่า เจอจากเฟสไหน แต่เห็นว่าปั่นที่สวนป่าสิริเจริญวรรณ ซึ่งเคยเปิดช่วงสั้น และ ปิดปรับปรุงไป แต่เป็นช่วงสั้นๆที่ได้ยินกิติศัพท์มาว่า เป็นสนามที่โค้งเยอะ และล้มเยอะพอดู อยากจะไปลองแต่ปิดปรับปรุงไปก่อน
ระยะทางปั่นลงในเพจแค่ 20.5 โล แต่ปั่นจริงได้ 22.28 โล
ตอนแรกเห็นช่วงสั้นๆ เลยอินบ็อกซ์ถามผู้จัดว่า ปั่น สองรอบได้มั้ย ผู้จัดตอบว่า มาเห็นสนามก่อนดีกว่าครับ
พอปั่นจริง แค่เนินแรกก็เข็นกันแล้ว ไอ้เราก็นึกว่า มีแค่เนินนี้มั่ง สรุป ระยะกว่า 20 กิโล มันเนินแบบนี้เพียบเลย
และตอนลงเนิน แน่นอนถ้าปั่นขึ้นชันๆ ตอนลงมันก็จะเร็ว แต่นี่มันลงมาแล้วมีโค้งรับแทบทุกทาง โอ้โห ต้องประคองรถดีๆกันเลย เพราะลงไม่ดี ก็พุ่งลงข้างทางได้เลย
เป็นสนามที่ ไม่ใช่สวนป่าแล้ว มันเขาย่อมๆ ชัดๆ มือใหม่มาปั่นนี่ ไม่อยากนึกภาพ
แต่เป็นสนามที่ถือว่าท้าทายนี่ ใครอยากลองปั่นขึ้นเขา ไม่ต้องไปถึงเขาใหญ่ล่ะ มาลองที่นี่ก็ได้
โค้งเยอะแค่ไหน ก็ได้ยินคนที่ปั่นด้วยบอกว่า ยังกะขับรถไปปาย แต่นี่คือปั่นจักรยาน
สรุปแล้ว เป็นสนามที่ปั่นสนุกครับ แต่ว่า เส้นทางก็ถือว่าโหดพอประมาณ ใครมาปั่นก็เช็คเบรคกันดีๆ
และสิ่งที่เป็นบทเรียนกลับมาจาก การปั่นนี้คือ
1.คำว่าเนินวัดใจ มันวัดใจจริงๆ สองเนินแรก ผมคิดว่าไม่ไหวแน่ๆ เลยลงมาเข็น แต่เจอเนินที่สามนี่ คิดในใจว่า ต้องลองมันสักตั้ง แล้วก็ปั่นผ่านมาได้ทุกเนิน จนจบเพราะฉะนั้นการปั่นขึ้นเนินมันวัดที่ใจจริงๆ ถ้าใจไหวมันก็ไหว
2.เกียร์จักรยาน ควรฝึกให้ชำนาญกว่านี้ เพราะปั่นทางราบ เกียร์ไม่ค่อยต้องเปลี่ยนเท่าไหร่ แต่เส้นเขาแบบนี้ มีผลมาก เพราะเกียร์ มันมีผลกับรอบขา ตอนเราไต่เนิน ใช้เกียร์เบา พอลงเนินแล้วจะปั่นนี่ ผมขาหลุดจากบันไดหลายรอบมาก เพราะมันฟรีขามาก เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นการแข่งขันเส้นทางแบบนี้ นอกจากขาแรงแล้ว ความแม่นยำในการสับเปลี่ยนเกียร์เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
3.คลีท ผมเป็นคนไม่ชอบใส่คลีทบวกกับรองเท้าไซด์ผมหายากด้วย แต่พอมาปั่นแบบนี้ ที่ขาหลุดบันไดบ่อยๆ ก็คงต้องหัดใส่คลีทจริงจังล่ะ
ก็เป็นสนามที่น่าปั่นครับ แต่ไม่เหมาะกับมือใหม่ หรือปั่นออกกำลังกาย ต้องเป็นพวกปั่นจริงจังประมาณนึง ถ้ามีโอกาสคงไปปั่นอีกแน่
โดนหลอกไปเชือด กับงาน Chonburi Cycling 2017 รวมใจรัก ปั่นเพื่อพ่อ สวนป่าสิริเจริญวรรณ และได้บทเรียนมากมาย
ทริปนี้ จำไม่ได้ว่า เจอจากเฟสไหน แต่เห็นว่าปั่นที่สวนป่าสิริเจริญวรรณ ซึ่งเคยเปิดช่วงสั้น และ ปิดปรับปรุงไป แต่เป็นช่วงสั้นๆที่ได้ยินกิติศัพท์มาว่า เป็นสนามที่โค้งเยอะ และล้มเยอะพอดู อยากจะไปลองแต่ปิดปรับปรุงไปก่อน
ระยะทางปั่นลงในเพจแค่ 20.5 โล แต่ปั่นจริงได้ 22.28 โล
ตอนแรกเห็นช่วงสั้นๆ เลยอินบ็อกซ์ถามผู้จัดว่า ปั่น สองรอบได้มั้ย ผู้จัดตอบว่า มาเห็นสนามก่อนดีกว่าครับ
พอปั่นจริง แค่เนินแรกก็เข็นกันแล้ว ไอ้เราก็นึกว่า มีแค่เนินนี้มั่ง สรุป ระยะกว่า 20 กิโล มันเนินแบบนี้เพียบเลย
และตอนลงเนิน แน่นอนถ้าปั่นขึ้นชันๆ ตอนลงมันก็จะเร็ว แต่นี่มันลงมาแล้วมีโค้งรับแทบทุกทาง โอ้โห ต้องประคองรถดีๆกันเลย เพราะลงไม่ดี ก็พุ่งลงข้างทางได้เลย
เป็นสนามที่ ไม่ใช่สวนป่าแล้ว มันเขาย่อมๆ ชัดๆ มือใหม่มาปั่นนี่ ไม่อยากนึกภาพ
แต่เป็นสนามที่ถือว่าท้าทายนี่ ใครอยากลองปั่นขึ้นเขา ไม่ต้องไปถึงเขาใหญ่ล่ะ มาลองที่นี่ก็ได้
โค้งเยอะแค่ไหน ก็ได้ยินคนที่ปั่นด้วยบอกว่า ยังกะขับรถไปปาย แต่นี่คือปั่นจักรยาน
สรุปแล้ว เป็นสนามที่ปั่นสนุกครับ แต่ว่า เส้นทางก็ถือว่าโหดพอประมาณ ใครมาปั่นก็เช็คเบรคกันดีๆ
และสิ่งที่เป็นบทเรียนกลับมาจาก การปั่นนี้คือ
1.คำว่าเนินวัดใจ มันวัดใจจริงๆ สองเนินแรก ผมคิดว่าไม่ไหวแน่ๆ เลยลงมาเข็น แต่เจอเนินที่สามนี่ คิดในใจว่า ต้องลองมันสักตั้ง แล้วก็ปั่นผ่านมาได้ทุกเนิน จนจบเพราะฉะนั้นการปั่นขึ้นเนินมันวัดที่ใจจริงๆ ถ้าใจไหวมันก็ไหว
2.เกียร์จักรยาน ควรฝึกให้ชำนาญกว่านี้ เพราะปั่นทางราบ เกียร์ไม่ค่อยต้องเปลี่ยนเท่าไหร่ แต่เส้นเขาแบบนี้ มีผลมาก เพราะเกียร์ มันมีผลกับรอบขา ตอนเราไต่เนิน ใช้เกียร์เบา พอลงเนินแล้วจะปั่นนี่ ผมขาหลุดจากบันไดหลายรอบมาก เพราะมันฟรีขามาก เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นการแข่งขันเส้นทางแบบนี้ นอกจากขาแรงแล้ว ความแม่นยำในการสับเปลี่ยนเกียร์เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
3.คลีท ผมเป็นคนไม่ชอบใส่คลีทบวกกับรองเท้าไซด์ผมหายากด้วย แต่พอมาปั่นแบบนี้ ที่ขาหลุดบันไดบ่อยๆ ก็คงต้องหัดใส่คลีทจริงจังล่ะ
ก็เป็นสนามที่น่าปั่นครับ แต่ไม่เหมาะกับมือใหม่ หรือปั่นออกกำลังกาย ต้องเป็นพวกปั่นจริงจังประมาณนึง ถ้ามีโอกาสคงไปปั่นอีกแน่