ตำนานรัก ข้ามจักรวาล......บทที่ 4 (จอห์น)

กระทู้สนทนา


บทที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/40346095

ท้ายบทที่แล้ว

            “ทำไมผมต้องลงไปด้วยละ”
             “เพราะด้านล่างมีมาเรียยังไงละคะ”
             มาเรีย...ผมขมวคคิ้วคิดอย่างมึนงง มาเรียอะไรกัน นี่มันดวงดาวเฮเว่น มาเรียฟังดูเป็นชื่อผู้หญิงชัด ๆ   ยังไม่เคยเห็นชื่อมิสเตอร์มาเรียเลยสักคน

.............................

         
“มาเรียอะไรกัน คุณกำลังพูดถึงอะไร”  
 
             “เฮเว่นลงไปก็รู้เองละค่ะ เอาเป็นว่ามาเรีย จะมาเป็นคู่รักของจอห์น ยังไงคะ”
      “คู่รักของจอห์น คุณหมายถึงเจ้าโปรแกรมจอมกวนนั่นเหรอ”   ผมร้องอย่างไม่เชื่อ
        “ใช่ค่ะ”  แอนนาตอบด้วยรอยยิ้ม
             “มันจะมีคู่รักคนรักได้ไง มันเป็นโปรแกรมเท่านั้น”  ความรู้สึกไม่เข้าใจสงสัยวิ่งสับสนในความคิด โปรแกรมจะมีคนรัก หรือโปรแกรมรักได้อย่างไร   แค่คิดว่าโปรแกรมแต่งงานกัน มีลูกเป็นไฟล์เล็ก ๆ  โปรแกรมแรกเกิด สังเคราะห์เสียงร้อง อุแว้ อุแว้ จากลำโพง แล้วเติบโตเป็นโปรแกรมหนุ่มสาว บ้าไปกันใหญ่..เชื่อแบบนี้ก็บ้าเต็มทน หวังว่าเธอเพียงล้อเล่นไม่เป็นจริง บางทีอาจหมายถึงจอห์นคนอื่น
             “ใช่ค่ะ หมายถึงจอห์น โปรแกรมของยานแทนยานั่นละค่ะ ไม่ใช่จอห์นคนไหน”  แอนนาให้ความกระจ่าง ดูเหมือนเธอจะพอเดาใจผมออกว่า กำลังเริ่มวิตกเรื่องอะไร “รับรองว่าไม่มีมิสเตอร์จอห์นบนดวงดวงนี้หรอกค่ะ คุณยังมีสิทธิ์ใช้ชื่อเฮเว่นได้ค่ะ”
 
             “แล้วคุณละ แอนนา ท่าทางคุณต้องมาดาวดวงนี้ก่อนผมแน่นอน  นี่ผมไม่ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นดาวแอนนา เหรอ”
 
             “ไม่หรอกคะ แอนนาไม่อยากเป็นชื่อดาว แต่อยากเป็นคนรักของเฮเว่นมากกว่า”
 
             นั่น...ขนาดพูดจริงจัง ยังมาพูดเล่นอีก แต่ก็นี่ละ... นิสัยของแอนนาตัวจริงเสียงจริง อารมณ์ดี ร่าเริงอยู่เสมอ สายลมเย็นพัดผ่าน เส้นผมยาวสสวยของเธอปลิวไสว พวงแก้มขาวเริ่มเป็นสีชมพูเรื่อเพราะแรงลม ผู้หญิงคืองานศิลปะวิจิตรที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาประกอบด้วยลายเส้นโค้งเว้าตวัดวาดสวยงามพิสดาร ยิ่งกว่าบุปผานานาพันธุ์
 
             “เฮเว่นคงกังวลใจกับจอห์น”  แอนนาปรายตามองพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “จอห์นที่ดูเหมือนผู้ช่วย แต่แอนนาดูออกว่า เขามีโปรแกรมพิเศษซ่อนอยู่อีกชั้น เขียนขึ้นมาโดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ นำข้อมูลของดวงดาว กลับไปยังโลกให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า เมื่อเขาได้ข้อมูลครบถ้วน จอห์นจะป้อนตัวเองเข้าระบบขับเคลื่อนของแทนยา บินกลับไปยังโลกทันที”
 
             “คุณรู้ได้ยังไง แอนนา” คำพูดของเธอทำให้ใจหายวาบ เพราะสอดคล้องกับสมมุติฐานของผมทุกประการ
 
             “แอนนาไม่ได้เก่งขนาดเจาะลึกโปรแกรมได้หรอกค่ะ แต่วิเคราะห์จากคำพูดของคุณและจอห์นเท่านั้น”
 
             นี่ขนาดบอกไม่เก่งนะ... เธอเคยนั่งฟังผมกับจอห์นพูดคุยกัน แต่ละครั้งก็ไม่ได้พูดลึกไปถึงระดับการหนีกลับยังโลก เธอยังวิเคราะห์ออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ ท่าทางของแอนนาเหมือนพยายามชวนพูดคุย รอเวลาอะไรบางอย่าง เพราะดูตั้งใจชวนคุยมากมายหลายเรื่องเป็นพิเศษ 
 
             “แล้วมาเรียอะไรนั่นจะมาแก้ปัญหาได้ยังไง”
 
             “เดี๋ยวก็รู้เองค่ะ”
 
             นั่นไง...ทำเป็นมีลับคมคมใน จะบอกก็ไม่บอก มันน่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ดหลาบ แต่ผมก็ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม ถ้ามีเรื่องไรที่เธออยากให้รู้ คงบอกมาเอง เราพูดคุยกันพักใหญ่ จนกระทั่งอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เธอลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนบริเวณปากเหว ชี้มือลงไปด้านล่าง หันมาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ตามไปดู
 
             ด้านล่างหมอกสีขาวเคยหนาทึบจางลง มองเห็นภาพด้านล่างมากขึ้น แม้ว่าจะมองไม่เห็นพื้นก้นหุบเหวก็ตาม เพราะบรรยากาศไม่ได้สว่างกระจ่างจ้าเหมือนบนโลก แต่ก็เพียงพอแล้วในการไต่ลงไปสำรวจ ความลาดชันเจ็ดสิบองศา ถ้าลงไปอย่างระมัดระวัง ก็เป็นไปได้ แอนนาจะต้องรู้สภาพของพื้นที่แถวนี้เป็นอย่างดึ รู้ว่าเวลาไหนหมอกควรจะจางลง นี่คือเหตุผลที่เธอชวนพูดคุยรอเวลา จำได้ว่าครั้งแรกที่เธอเดินไปหาแทนยา เธอก็เดินมาจากทิศใต้ ซึ่งก็คือทิศทางแห่งหุบเหวเบื้องหน้านี่เอง 
 
             เธอยังเอาเรื่องของมาเรียมาเป็นสิ่งกระตุ้นเสริมแรงอีก จะเป็นได้ไหมว่า เธอกำลังหลอกล่อผมลงไปยังก้นเหว ก่อนกลายร่างเป็นอสุรกายเอเลี่ยนน่ากลัว รับประทานผมเป็นอาหารว่าง 
 
เอาเถอะ... ถ้าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็จะยอมตายโดยดี เพราะทุกวันนี้ก็ไม่ได้กลัวตายอะไรมากมาย ตายในเงาของนางอันเป็นที่รัก คงดีกว่าตายแบบอ้างว้างเดียวดาย ผมคิดเล่น ๆ ในใจ แต่เอาจริง
 
             คราวนี้รูปแบบการเดินทางเปลี่ยนไป แอนนากลายเป็นผู้นำ เธอสะพายกล่องเก็บอุปกรณ์ไว้ที่ไหล่ ด้วยท่าทางบ่งบอกถึงความคุ้นเคย ทำให้ผมจำต้องเป็นฝ่ายเดินตาม หรือพูดให้ถูกคือ ‘ลงตาม’ นั่นเอง หญิงสาวผู้ลึกลับแต่ไม่รู้สึกแปลกหน้าก้าวลงไปก่อนปีนป่ายอย่างคล่องแคล่ว แม้แรงโน้มถ่วงจะน้อยกว่าโลก  แต่ค่าความเร่งจากแรงโน้มถ่วงก็คงมากพอจะทำให้ร่างกลิ้งลงไปตามพื้นที่ลาดชัน กระแทกพื้นด้านล่างจนบาดเจ็บหรือถึงตายได้ การลงไปในหุบเหวสูงชันก็ต้องระมัดระวังตัวอยู่ดี ชะง่อนหินใหญ่น้อยโผล่ออกมาจากผนังเรียงราย กลายเป็นบันไดจำเป็นในการเหยียบย่าง อากาศเย็นชื้นเกาะตามผิวแง่หิน ทำให้ยิ่งต้องระวังมากขึ้น
 
             แอนนาอยู่เบื้องล่างลงไปหลายช่วงตัว คอยเงยหน้าขึ้นมายิ้มส่งกำลังใจเป็นระยะ บางทีส่งเสียงเชียร์ไปด้วย นี่มันควรจะเป็นบทของผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงเป็นฝ่ายนำทางส่งกำลังใจแรงเชียร์ แต่สภาพความคล่องตัวของเธอ ทำให้ต้องยอมกล้ำกลืนฝีนทน   ทน ยอม ๆ ผู้หญิงบ้างไม่เห็นจะเป็นไร ผู้ชายก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้นำเสียทุกเรื่อง ผมคิดในแง่ดี
 
             ม่านหมอกปกคลุมอยู่ด้านล่าง สลัวหม่นตามความลึกและระดับแสงสว่าง อุณหภูมิลดลงเรื่อย ๆ ตามความลึก ในที่สุดเราทั้งสองก็มาถึงพื้นล่างจนได้ ในสภาพเหนื่อยหอบทั้งสองคน มองกลับขึ้นไปด้านบน ประมาณความสูงได้ว่าไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร 
 
             มีมือสะกิดข้อศอก หันไปมอง แอนนายืนตาเป็นประกายอยู่ด้านข้าง มืออีกข้างถือผ้าผืนเล็กยื่นมาให้  ทำท่าทางให้ใช้เช็ดหน้าตา  เรื่องมากจริง ๆ ไม่เห็นจำเป็นเลย กับเรื่องจุกจิก แต่พอสบตาก็ใจอ่อน รับผ้าเช็ดหน้ามาแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก 
 
             “วันหน้าไม่ต้องนะ  ผมไม่ชอบผ้าเช็ดหน้า” บอกเสียงเรียบแบบไว้เชิง  ไม่อยากจะเชื่อเลย แอนนาเดินวนรอบตัวผม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่คุนเคย  ทำให้ผมหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก  ทำไมต้องหงุดหงิดด้วยนะ
 
            แต่ให้ตายเถอะ...ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า คือแอนนาชัด ๆ  
 
             “เฮเว่น เป็นอะไรคะ ก่อนก็เห็นชอบใช้ผ้าเช็ดหน้านี่คะ”
 
            “นั่นสมัยก่อน นี่มันสมัยนี้”
 
             “แล้วมันต่างกันตรงไหนคะ”  
 
             “ต่างกันตรงสมัยนี้กับสมัยนั้นนะสิ  เพราะสมัยนั้นไม่ใช่สมัยนี้” ผมกวนคืนบ้าง หญิงสาวเอามือปิดปาก หัวเราะคิก ตามแบบฉบับที่เคยทำให้เห็นเป็นประจำ
 
             “แล้วสมัยนี้กับสมัยนั้นต่างกันยังไงคะ” ยังไม่ยอมเลิก
 
            “ต่างกันตรงสมัยนี้ผมจะหักคอคุณนะสิ” ผมแยกเขี้ยวใส่ แต่เธอยังคงมีอาการขบขันไม่หาย ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวสักนิด ก็คงรู้ละว่าเป็นการแกล้งขู่ 
 
             “โอ แอนนาไม่กวนใจก็ได้ค่ะ กลัวเฮเว่นหักคอตายจะอยู่แล้ว”  เธอพูดด้วยสายตาเป็นประกาย เปิดกล่องอุปกรณ์ที่สะพายมาด้วย เปิดฝาหยิบของบางอย่างออกมา
 
             “มีไฟฉายมาด้วยค่ะ”
 
             นั่นเป็นความรอบคอบของผู้หญิงโดยแท้ เธอจะต้องรู้ว่า  ข้างล่างสภาพบรรยากาศหม่นมัว จนต้องใช้แสงสว่างจากไฟฉายเป็นตัวช่วย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในห้องสัมภาระของแทนยาจะมีสิ่งของแบบนี้  แต่ก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะไม่เคยเข้าไปสำรวจในห้องนั้นอย่างจริงจังเลยสักครั้ง
 
             สภาพพื้นที่รอบข้างที่มองเห็น ในฉากแห่งความสลัวมัวหม่นของม่านหมอก เต็มไปด้วยโขดหินใหญ่น้อยสลับกับต้นไม้ตายซากมากมาย ทำให้รู้สึกถึงความไร้ชีวิตชีวาทุกทิศทาง  พืชพรรณเหล่านี้เคยมีชีวิต แต่มีอะไรบางอย่างทำให้พวกมันตายซาก 
 
             เดินสำรวจพักหนึ่ง ยังไม่พบสิ่งน่าสนใจ แล้วจะมีอะไรน่าสนใจอยู่ในก้นหุบเหว ท่าทางการลงมาจะไร้ความหมาย
 
             แอนนาดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของผม เธอทำท่าทางให้เดินตามไป เธอเดินนำไปก่อน ท่าทางคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศ แสงของไฟฉายมีประโยชน์มากในสภาพแวดล้อมหม่นมัว ต้องยอมรับว่านิสัยรอบคอบของผู้หญิงมีประโยชน์เหมือนกัน เธอนำทางลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยว เมื่อมีคนนำทางผมจึงเดินตามไปแบบไม่คิดอะไรมาก ใช่...บางเรื่องต้องยอมให้ผู้หญิงเป็นผู้นำบ้าง ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ชายแล้วจะต้องเป็นผู้นำทางทุกเรื่อง
 
             แสงไฟวับแวมปรากฏให้เห็นเบื้องหน้าไกลออกไปในความหม่นมัว ผมนึกรู้ทันที เป็นประกายไฟชนิดเดียวกับที่สังเกตเห็นตอนยานลงจอด และมองเห็นอีกครั้งเหนือพื้นผิวทะเลทางทิศเหนือ ก่อนการปรากฏภาพของแอนนา เป็นประกายไฟชนิดเดียวกันอย่างแน่นอน  ผมรู้สึกใจเต้นแรง เหมือนกำลังจะค้นพบปรากฏการณ์พิเศษยิ่งใหญ่บางอย่าง ใกล้เข้าไปประกายไฟยิ่งสว่างจนต้องดับแสงไฟฉาย
 
             แล้วภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็ทำให้ตะลึง 
 
             วัตถุประหลาด...ยานอวกาศอย่างแน่นอน ลักษณะคล้ายชามข้าวคว่ำลงบนลานหินกว้าง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่าสามสิบเมตร สีดำทะมึนราวปกคลุมด้วยความมืด ประกายไฟเคลื่อนไหววูบวาบไปมาโดยรอบราวมีชีวิตอยู่พื้นผิว สังเกตเห็นเศษไม้ตายซาก แผ่สาขากิ่งก้านปกคลุมบางส่วน แสดงชัดว่าจะต้องจอดนิ่งในสภาพนี้มานานมาก
 
             “นี่มัน...” ผมหลุดปากอุทานได้เพียงครึ่งข้อความ  ก็ค้างคาด้วยความตื่นเต้น
 
            “ยานอวกาศ” แอนนาพูดต่อให้จบประโยค  ผมหันไปมอง พบว่าเธอมีสีหน้าไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิด  ยังหันมายิ้มให้อีกต่างหาก
 
             “คุณรู้จักยานลำนี้” 
 
             “แอนนารู้จักดีคะ”
 
             คำพูดของเธอทำให้ผมต้องมองอย่างประหลาดใจ ถ้าเธอรู้จักยานอวกาศลำนี้ ก็หมายถึงว่าเธออาจจะเป็นคนขับยานลงมาจอด
 
             “ยานของคุณใช่ไหม”
 
             “ก็....ไม่เชิง แอนนาเป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น”
 

.
             “อย่าบอกนะว่ามาจากโลกมนุษย์”
 
             “ไม่ใช่แน่นอนค่ะ” แอนนาส่ายหน้า สายตายังคงเป็นประกาย  “โลกมนุษย์ไม่ได้มีเทคโนโลยีสูงล้ำขนาดนี้แน่นอนค่ะ”
 
             “ขนาดนี้นะมันขนาดไหน”
 
             “ต้องเข้าไปดูเองสิคะ” เธอตอบพลางค้อมตัวผายมือทำท่าทางเชิญชวน  สายตายังคงมีประกายซุนซนร่าเริงเสมอ
 
             “ได้เลย คุณนำเข้าไปเลย”  ผมบอก เพราะไม่รู้ว่าประตูหรือทางเข้าอยู่ตรงไหน สิ่งที่มองเห็นห็เป็นเพียงความโค้งของผิวสีดำเท่านั้น ทั้งยังไม่แน่ใจว่าเจ้าประกายไฟวูบวาบ จะเป็นอันตรายหรือไม่
 
             “ได้เลย ตามแอนนาเข้ามา” เธอยิ้ม หรี่ตาให้แบบหยอกเย้า เดินสะพายกล่องเก็บอุปกรณ์ตรงไปยังตัวยานอวกาศทันที  จากนั้นหยุดยืนห่างจากตัวยานประมาณหนึ่งเมตรเศษ ยกมือทั้งสองขึ้น โบกไปมาในอากาศเป็นเชิงสัญลักษณ์ซับซ้อน ไม่เข้าใจว่าสื่อความหมายถึงอะไร แต่ถ้าจะให้ทาย ก็คงแสดงสัญลักษณ์พิเศษทางท่วงท่าเพื่อปลดล็อกรหัส หรืออะไรทำนองนั้น 
 
.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่