ลุงข้างทาง ตอนที่หก
“สมัยมัธยมต้นจนปลาย พี่เรียนที่โรงเรียนวัดแห่งหนึ่ง____”
ผมเอ่ยชื่อโรงเรียนออกไป สาวน้อยตากลมโตแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างไม่เสแสร้ง ดูน่ารักแบบไม่มีจริตจะก้าน
“โอโห นั่นมันโรงเรียนเอกนาฏศิลป์กับดุริยางค์เลยนี่ค่ะ ขวัญยังเคยคิดฝันอยากไปเรียนเลย พี่นราต้องเก่งทางดนตรีไทยมากๆเลย”
น้องขวัญใจมองผมด้วยแววตาทึ่ง ออกอาการชื่นชมโดยไม่ปิดบัง จนผมรู้สึกขัดเขิน
“ไม่เลย พี่จบออกมาได้อย่างหวุดหวิดแหละจ้ะ บรรดาครูๆท่านช่วยกันเข็นช่วยกันดันออกมา เล่นเครื่องดนตรีชิ้นไหนก็ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ตีระนาดก็ทำเอาครูสอนอ่อนใจ ออกแสดงทีไร พี่ก็ได้เป็นคนตีฉิ่งฉับประกอบทุกที พอไปเล่นโขนเป็นสมุนวานรก็ตีลังกาพลาดอีก”
คงเป็นด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ไร้มารยาคู่นั้น ทำให้ผมรำลึกและพร่างพรูอดีตสมัยสวมชุดนักเรียนขาสั้นออกมา ตลอดระหว่างทางที่เดินด้วยกัน แม้บางเรื่องราวจะไม่ค่อยเข้าท่าน่าเล่าเท่าไหร่ แต่น้องเธอก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจให้ความสำคัญ กระทั่งเหตุการณ์ตลกตอนเล่นดนตรีวง เอามือจับกีต้าร์ไฟฟ้าตัวเองแล้วเผลอไปจับกีตาร์อีกตัวของเพื่อน ผลคือไฟฟ้าดูดเอาเข้าให้
เธอไม่ได้มีทีท่าขบขันตามที่คาด แต่กลับมองผมอย่างสนใจมากกว่าเดิม และที่ทำให้ผมต้องอึ้งไปนั้นคือ คำพูดของเธอที่ฟังดูแล้วรู้สึกว่าออกมาจากใจจริงๆ
“ขวัญว่าพี่นราเป็นผู้ชายน่ารักคนหนึ่ง ไม่มีอาการวางมาด ปิดบังความรู้สึกเลย”
ผมคงขวยเขินในคำชมนั้นต่อไป ถ้าหากว่าเราไม่เดินมาถึงบ้านเจ้าจ๋านกับคุณพิมเสียก่อน อย่างที่บอกว่ารั้วกั้นหน้าบ้านแถวนี้สร้างกันเตี้ยๆ แบบมีไปยังงั้นแหละ จึงเห็นภายในตัวบ้านว่าเจ้าจ๋านและเจ้าหยกซึ่งไม่รู้นึกคึกอะไรกันขึ้นมา ทั้งๆที่เลิกงานกันมาเหนื่อยๆ กำลังเล่นตีแบดมินตันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ในลานดินอันกว้างเหลือเฟือในอาณาเขตบ้าน
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหยกกำลังเป็นต่อ เหนือชั้นกว่าอย่างไม่ต้องลุ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้องนาถยาที่ยืนเอามือบรรจบอกคอยให้แรงใจอยู่หรือเปล่า ส่วนคุณพิมนั่งที่เก้าอี้หินห่างออกไป อมยิ้มอย่างเดียว ไม่ได้มีกริยาบ่งบอกว่าเชียร์คนไหนเป็นพิเศษ
จู่ๆเจ้าหยกซึ่งใกล้จะได้ชัย เผอิญเหลือบมามองทางผมกับน้องขวัญใจเท่านั้น มันถึงกลับชะงัก ไม้ตีในมือค้างกลางอากาศเปล่อยให้ลูกตกลงพื้นเอาดื้อๆ มองน้องขวัญใจด้วยนัยน์ตาเหลือกลาน หลุดอุทานออกมา
“เอาแล้วไง พากันมาถึงบ้าน”
ผมกับขวัญใจมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ บรรดาคนที่เหลือหันมามองทางเราสองคนเป็นตาเดียว วินาทีแรกก็จับได้ถึงแววตาอันพรั่นพรึงกันถ้วนหน้า ยกเว้นคุณพิมที่ยังนิ่งเฉย แต่พอมองอย่างถนัดชัดเจนแล้ว คนแรกคือน้องนาถยานั่นเองที่ร้องขึ้น
“อ้าว ขวัญนั่นเอง นึกว่า___ใคร”
ทั้งสองสาวน่าจะวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน คุ้นเคยกันมาดิบดี นาถยาถึงได้ทักขวัญใจก่อนคนอื่น ส่วนเจ้าจ๋านนิ่งงันไปหลายวินาที ก่อนจำได้ว่าหญิงสาวที่ยืนเคียงกับผมคือลูกลุงปันเพื่อนบ้าน สีหน้ามันผ่อนคลายความหวาด รีบเข้าไปกระซิบข้างหูเจ้าหยกซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเพื่อนรักกันไปแล้ว
“นี่ลูกสาวคนในหมู่บ้าน มีตัวตน ไม่ใช่แม่วิมา_____ อย่ากลัวไปเพื่อน”
แม้ความกลัวผีได้สลายไปแล้ว แต่ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาแทนในใจทุกคน ถึงจะรู้จักมักคุ้นกันในฐานะเพื่อนบ้าน แต่ไอ้การที่หญิงชายเดินเคียงคู่กันมา มันก็ไม่ใช่ปกติวิสัยอยู่ดี
คงจะไม่มีใครในบ้านขยับตัวต่อไปอีกนาน ถ้าคุณพิมไม่รีบลุกขึ้นแล้วเดินมาหาเราสองคนเสียก่อน เธอมองหน้าผมแว่บแรกแล้วไปหยุดที่น้องขวัญใจ พลางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไปยังไงมายังไงจ้ะ น้องขวัญใจ สบายดีหรือเปล่า ลุงปันเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่อและทุกคนที่บ้านสบายดีค่ะ ยังพูดถึงตลอดว่ามาเอาผักเอาปลาทีไร คุณพิมไม่ยอมรับเงินเลย”
ระหว่างที่น้องขวัญใจตอบรับคำถามของคุณพิมผู้มีไมตรีจิต เจ้าจ๋านรี่ตรงดิ่งมายังผมทันที ลืมมารยาททักทายเพื่อนบ้านรุ่นน้องเสียสนิท ถามผมด้วยอาการร้อนรน
“เฮ้ย นรา แกกลับมาได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเดินมา ก็บอกแล้วว่าจะไปรับ”
เจ้าหยกกับน้องนาถยาพากันเดินคู่มาสมทบ ถึงจะได้รับการยืนยันแล้วว่าขวัญใจคือใคร เพื่อนของผมก็มองน้องเค้าด้วยสายตาประหลาดอยู่ดี ตามนิสัยของมันที่ไม่มีการเก็บกักอากัปกิริยาแต่อย่างใด จนขวัญใจเริ่มมีอาการอึดอัด
คุณพิมนั้นอ่านสายตาคนออกอยู่แล้ว จึงรีบตัดบทขึ้น ด้วยการเชื้อชวนให้น้องขวัญใจเข้าบ้าน
“เข้ามานั่งในบ้านก่อนดีกว่า วันนี้พี่จ๋าน คุณนรากับคุณหยกเก็บเงาะมาจากสวน พี่ขอรบกวนฝากไปที่บ้านน้องขวัญด้วย อ้าว แล้วนั่นคุณนราถือชามอะไรมา”
ผมตอบทันที เพราะรอจังหวะที่จะพูด ด้วยเห็นสีหน้าทุกคนระคนไปด้วยความสงสัย
“แกงใบชะพลูครับ ลุงปันฝากมาให้ ผมอาศัยรถแกกลับมาจากที่นาครับ ตอนไปที่ศาลแล้วเรียก วิมาลาไม่ออกมา_____เลย”
คุณพิมปรี่เข้ามารับชามแกงจากผม แล้วชิงพูดทับทันที ส่วนคนที่เหลือนั้นอ้าปากค้างเหมือนตั้งสติไม่ทัน
“เอามาให้พิมเถอะค่ะ เดี๋ยวเอาไปถ่ายใส่ชามกินกัน น้องขวัญใจไม่มีธุระปะปังอะไรใช่ไหม เข้ามาในบ้านคุยกันก่อนนะ ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมในเมืองนั่งรถกลับบ้านกับน้องนาถยาแล้ว พี่พิมไม่ค่อยได้เห็นน้องขวัญเท่าไหร่”
“ค่ะ” น้องขวัญใจรับคำ ดวงตาสดใสมองคนโน้นคนนี้อย่างงงๆ หากแต่เดินตามเข้ามาในบ้านอย่างว่าง่าย ส่วนเจ้าจ๋านและเจ้าหยกแม้จะมีคำถามมากมาย แต่ทั้งสองคนก็ไม่พูดอะไร พยักพเยิดให้ผมตามไปที่ระเบียง สถานที่ดื่มกินประจำของพวกเรา ท่าทางทั้งสองคนอยากซักไซร้อะไรจากผมอย่างเต็มเปี่ยม
มีหรือจะพ้นสายตาคุณพิมไปได้ เธอหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี
“ไปนั่งดื่มกันให้สบายเถอะค่ะ เดี๋ยวกับข้าวเสร็จแล้วจะยกไปให้ ไม่ต้องลงมาช่วยนะ ทำงานกันมาเหนื่อยแล้วทั้งวัน”
น้องนาถยานั้นตามใจพี่สาวเสมอ ถึงแม้ว่าจะติดใจสงสัยอะไรบ้างก็ตาม เธอเดินเข้าไปจูงมือขวัญใจเพื่อนเรียนสมัยใส่คอซองกระโปรงยาว พลางพูดอย่างใสซื่อว่า
“ฉันคิดถึงเธอเสมอ จำตอนที่เราเรียนด้วยกันได้ไหม_______”
เรื่องราวต่อจากนั้น ก็เป็นบทสนทนาในอดีตสมัยวัยเรียนที่ระลึกทบทวนถึงกันของสองสาว ในระหว่างตระเตรียมอาหารมื้อเย็น มีเสียงหัวเราะแทรกตอนที่จำได้ถึงเหตุการณ์บางอย่าง แน่นอนที่คุณพิมได้ยินตลอดโดยที่ไม่ขัดอะไร แต่เธอมาสะดุดหูเอาตรงที่
“พี่ชาญเธอล่ะมีแฟนหรือยัง ตัวสูงโปร่งเกินผู้ชายคนไหนๆในรุ่นเรา”
“ก็ธรรดาแหละจ้ะ นาถยา แต่ตอนนี้พี่ชายกำลังติดพันกับผู้หญิงคนหนึ่งที่รับจ้างมาเกีบเกี่ยวข้าวในนา ผิวขาวนวลยังกับใข่มุข รูปร่างนางรำ ชื่อว่ามาลัย เพิ่งย้ายมาอยู่”
ด้วยความที่นานๆทีได้เจอเพื่อน ขวัญใจเลยจ้อต่อไปโดยไม่รู้ตัว แต่คุณพิมนั้นฟังไปสะท้านในใจไป
“ผู้หญิงเค้าไม่เล่นด้วยเลย ฝ่ายพี่ชายเราก็ยังรั้น ไปตื้อเค้าอยู่ร่ำไป ขนาดฝ่ายหญิงประกาศแล้วว่ามีแฟน พี่เรายังไม่ยอมเลิกราเลย”
ลุงข้างทาง ตอนหก
“สมัยมัธยมต้นจนปลาย พี่เรียนที่โรงเรียนวัดแห่งหนึ่ง____”
ผมเอ่ยชื่อโรงเรียนออกไป สาวน้อยตากลมโตแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างไม่เสแสร้ง ดูน่ารักแบบไม่มีจริตจะก้าน
“โอโห นั่นมันโรงเรียนเอกนาฏศิลป์กับดุริยางค์เลยนี่ค่ะ ขวัญยังเคยคิดฝันอยากไปเรียนเลย พี่นราต้องเก่งทางดนตรีไทยมากๆเลย”
น้องขวัญใจมองผมด้วยแววตาทึ่ง ออกอาการชื่นชมโดยไม่ปิดบัง จนผมรู้สึกขัดเขิน
“ไม่เลย พี่จบออกมาได้อย่างหวุดหวิดแหละจ้ะ บรรดาครูๆท่านช่วยกันเข็นช่วยกันดันออกมา เล่นเครื่องดนตรีชิ้นไหนก็ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ตีระนาดก็ทำเอาครูสอนอ่อนใจ ออกแสดงทีไร พี่ก็ได้เป็นคนตีฉิ่งฉับประกอบทุกที พอไปเล่นโขนเป็นสมุนวานรก็ตีลังกาพลาดอีก”
คงเป็นด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ไร้มารยาคู่นั้น ทำให้ผมรำลึกและพร่างพรูอดีตสมัยสวมชุดนักเรียนขาสั้นออกมา ตลอดระหว่างทางที่เดินด้วยกัน แม้บางเรื่องราวจะไม่ค่อยเข้าท่าน่าเล่าเท่าไหร่ แต่น้องเธอก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจให้ความสำคัญ กระทั่งเหตุการณ์ตลกตอนเล่นดนตรีวง เอามือจับกีต้าร์ไฟฟ้าตัวเองแล้วเผลอไปจับกีตาร์อีกตัวของเพื่อน ผลคือไฟฟ้าดูดเอาเข้าให้
เธอไม่ได้มีทีท่าขบขันตามที่คาด แต่กลับมองผมอย่างสนใจมากกว่าเดิม และที่ทำให้ผมต้องอึ้งไปนั้นคือ คำพูดของเธอที่ฟังดูแล้วรู้สึกว่าออกมาจากใจจริงๆ
“ขวัญว่าพี่นราเป็นผู้ชายน่ารักคนหนึ่ง ไม่มีอาการวางมาด ปิดบังความรู้สึกเลย”
ผมคงขวยเขินในคำชมนั้นต่อไป ถ้าหากว่าเราไม่เดินมาถึงบ้านเจ้าจ๋านกับคุณพิมเสียก่อน อย่างที่บอกว่ารั้วกั้นหน้าบ้านแถวนี้สร้างกันเตี้ยๆ แบบมีไปยังงั้นแหละ จึงเห็นภายในตัวบ้านว่าเจ้าจ๋านและเจ้าหยกซึ่งไม่รู้นึกคึกอะไรกันขึ้นมา ทั้งๆที่เลิกงานกันมาเหนื่อยๆ กำลังเล่นตีแบดมินตันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ในลานดินอันกว้างเหลือเฟือในอาณาเขตบ้าน
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหยกกำลังเป็นต่อ เหนือชั้นกว่าอย่างไม่ต้องลุ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้องนาถยาที่ยืนเอามือบรรจบอกคอยให้แรงใจอยู่หรือเปล่า ส่วนคุณพิมนั่งที่เก้าอี้หินห่างออกไป อมยิ้มอย่างเดียว ไม่ได้มีกริยาบ่งบอกว่าเชียร์คนไหนเป็นพิเศษ
จู่ๆเจ้าหยกซึ่งใกล้จะได้ชัย เผอิญเหลือบมามองทางผมกับน้องขวัญใจเท่านั้น มันถึงกลับชะงัก ไม้ตีในมือค้างกลางอากาศเปล่อยให้ลูกตกลงพื้นเอาดื้อๆ มองน้องขวัญใจด้วยนัยน์ตาเหลือกลาน หลุดอุทานออกมา
“เอาแล้วไง พากันมาถึงบ้าน”
ผมกับขวัญใจมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ บรรดาคนที่เหลือหันมามองทางเราสองคนเป็นตาเดียว วินาทีแรกก็จับได้ถึงแววตาอันพรั่นพรึงกันถ้วนหน้า ยกเว้นคุณพิมที่ยังนิ่งเฉย แต่พอมองอย่างถนัดชัดเจนแล้ว คนแรกคือน้องนาถยานั่นเองที่ร้องขึ้น
“อ้าว ขวัญนั่นเอง นึกว่า___ใคร”
ทั้งสองสาวน่าจะวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน คุ้นเคยกันมาดิบดี นาถยาถึงได้ทักขวัญใจก่อนคนอื่น ส่วนเจ้าจ๋านนิ่งงันไปหลายวินาที ก่อนจำได้ว่าหญิงสาวที่ยืนเคียงกับผมคือลูกลุงปันเพื่อนบ้าน สีหน้ามันผ่อนคลายความหวาด รีบเข้าไปกระซิบข้างหูเจ้าหยกซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเพื่อนรักกันไปแล้ว
“นี่ลูกสาวคนในหมู่บ้าน มีตัวตน ไม่ใช่แม่วิมา_____ อย่ากลัวไปเพื่อน”
แม้ความกลัวผีได้สลายไปแล้ว แต่ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาแทนในใจทุกคน ถึงจะรู้จักมักคุ้นกันในฐานะเพื่อนบ้าน แต่ไอ้การที่หญิงชายเดินเคียงคู่กันมา มันก็ไม่ใช่ปกติวิสัยอยู่ดี
คงจะไม่มีใครในบ้านขยับตัวต่อไปอีกนาน ถ้าคุณพิมไม่รีบลุกขึ้นแล้วเดินมาหาเราสองคนเสียก่อน เธอมองหน้าผมแว่บแรกแล้วไปหยุดที่น้องขวัญใจ พลางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไปยังไงมายังไงจ้ะ น้องขวัญใจ สบายดีหรือเปล่า ลุงปันเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่อและทุกคนที่บ้านสบายดีค่ะ ยังพูดถึงตลอดว่ามาเอาผักเอาปลาทีไร คุณพิมไม่ยอมรับเงินเลย”
ระหว่างที่น้องขวัญใจตอบรับคำถามของคุณพิมผู้มีไมตรีจิต เจ้าจ๋านรี่ตรงดิ่งมายังผมทันที ลืมมารยาททักทายเพื่อนบ้านรุ่นน้องเสียสนิท ถามผมด้วยอาการร้อนรน
“เฮ้ย นรา แกกลับมาได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเดินมา ก็บอกแล้วว่าจะไปรับ”
เจ้าหยกกับน้องนาถยาพากันเดินคู่มาสมทบ ถึงจะได้รับการยืนยันแล้วว่าขวัญใจคือใคร เพื่อนของผมก็มองน้องเค้าด้วยสายตาประหลาดอยู่ดี ตามนิสัยของมันที่ไม่มีการเก็บกักอากัปกิริยาแต่อย่างใด จนขวัญใจเริ่มมีอาการอึดอัด
คุณพิมนั้นอ่านสายตาคนออกอยู่แล้ว จึงรีบตัดบทขึ้น ด้วยการเชื้อชวนให้น้องขวัญใจเข้าบ้าน
“เข้ามานั่งในบ้านก่อนดีกว่า วันนี้พี่จ๋าน คุณนรากับคุณหยกเก็บเงาะมาจากสวน พี่ขอรบกวนฝากไปที่บ้านน้องขวัญด้วย อ้าว แล้วนั่นคุณนราถือชามอะไรมา”
ผมตอบทันที เพราะรอจังหวะที่จะพูด ด้วยเห็นสีหน้าทุกคนระคนไปด้วยความสงสัย
“แกงใบชะพลูครับ ลุงปันฝากมาให้ ผมอาศัยรถแกกลับมาจากที่นาครับ ตอนไปที่ศาลแล้วเรียก วิมาลาไม่ออกมา_____เลย”
คุณพิมปรี่เข้ามารับชามแกงจากผม แล้วชิงพูดทับทันที ส่วนคนที่เหลือนั้นอ้าปากค้างเหมือนตั้งสติไม่ทัน
“เอามาให้พิมเถอะค่ะ เดี๋ยวเอาไปถ่ายใส่ชามกินกัน น้องขวัญใจไม่มีธุระปะปังอะไรใช่ไหม เข้ามาในบ้านคุยกันก่อนนะ ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมในเมืองนั่งรถกลับบ้านกับน้องนาถยาแล้ว พี่พิมไม่ค่อยได้เห็นน้องขวัญเท่าไหร่”
“ค่ะ” น้องขวัญใจรับคำ ดวงตาสดใสมองคนโน้นคนนี้อย่างงงๆ หากแต่เดินตามเข้ามาในบ้านอย่างว่าง่าย ส่วนเจ้าจ๋านและเจ้าหยกแม้จะมีคำถามมากมาย แต่ทั้งสองคนก็ไม่พูดอะไร พยักพเยิดให้ผมตามไปที่ระเบียง สถานที่ดื่มกินประจำของพวกเรา ท่าทางทั้งสองคนอยากซักไซร้อะไรจากผมอย่างเต็มเปี่ยม
มีหรือจะพ้นสายตาคุณพิมไปได้ เธอหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี
“ไปนั่งดื่มกันให้สบายเถอะค่ะ เดี๋ยวกับข้าวเสร็จแล้วจะยกไปให้ ไม่ต้องลงมาช่วยนะ ทำงานกันมาเหนื่อยแล้วทั้งวัน”
น้องนาถยานั้นตามใจพี่สาวเสมอ ถึงแม้ว่าจะติดใจสงสัยอะไรบ้างก็ตาม เธอเดินเข้าไปจูงมือขวัญใจเพื่อนเรียนสมัยใส่คอซองกระโปรงยาว พลางพูดอย่างใสซื่อว่า
“ฉันคิดถึงเธอเสมอ จำตอนที่เราเรียนด้วยกันได้ไหม_______”
เรื่องราวต่อจากนั้น ก็เป็นบทสนทนาในอดีตสมัยวัยเรียนที่ระลึกทบทวนถึงกันของสองสาว ในระหว่างตระเตรียมอาหารมื้อเย็น มีเสียงหัวเราะแทรกตอนที่จำได้ถึงเหตุการณ์บางอย่าง แน่นอนที่คุณพิมได้ยินตลอดโดยที่ไม่ขัดอะไร แต่เธอมาสะดุดหูเอาตรงที่
“พี่ชาญเธอล่ะมีแฟนหรือยัง ตัวสูงโปร่งเกินผู้ชายคนไหนๆในรุ่นเรา”
“ก็ธรรดาแหละจ้ะ นาถยา แต่ตอนนี้พี่ชายกำลังติดพันกับผู้หญิงคนหนึ่งที่รับจ้างมาเกีบเกี่ยวข้าวในนา ผิวขาวนวลยังกับใข่มุข รูปร่างนางรำ ชื่อว่ามาลัย เพิ่งย้ายมาอยู่”
ด้วยความที่นานๆทีได้เจอเพื่อน ขวัญใจเลยจ้อต่อไปโดยไม่รู้ตัว แต่คุณพิมนั้นฟังไปสะท้านในใจไป
“ผู้หญิงเค้าไม่เล่นด้วยเลย ฝ่ายพี่ชายเราก็ยังรั้น ไปตื้อเค้าอยู่ร่ำไป ขนาดฝ่ายหญิงประกาศแล้วว่ามีแฟน พี่เรายังไม่ยอมเลิกราเลย”