เครือซี.พี. แจ้งได้รับหนังสือ กขค. อนุญาตซื้อเทสโก้ แบบมีเงื่อนไข
https://www.prachachat.net/finance/news-552283

---

https://tna.mcot.net/business-582588
นักวิชาการมองซีพีซื้อโลตัสไม่ผูกขาดทางธุรกิจ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กรุงเทพฯ 12 พ.ย. – นักวิชาการมองกลุ่มซีพีซื้อโลตัสไม่ผูกขาดทางธุรกิจ เพราะไทยมีกลุ่มธุรกิจเหมือนกันมาก ย้ำคนมีทางเลือกซื้อสินค้าในราคาไม่แพง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากมติของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ได้พิจารณารวมธุรกิจระหว่างบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้น จำกัด และบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จนมีคำถามและมีข่าวว่าเป็นการผูกขาดทางธุรกิจหรือไม่นั้น ตนในฐานะนักวิชาการหอการค้าไทย มองว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องของการผูกขาดทางธุรกิจหรือการมีอำนาจเหนือตลาดแต่อย่างใด เพราะแม้ว่ากลุ่มซีพีจะสามารถเพิ่มช่องทางการตลาดในธุรกิจของในเครือข่ายเพิ่มขึ้น แต่มองว่าประเทศไทยไม่ใช่มีธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเพียงรายเดียวเท่านั้น แต่มีหลากหลายให้ทางเลือกสินค้ากันมากมาย จึงมองว่าไม่น่าจะผูกขาดด้านธุรกิจหรือไปสร้างแรงกดดันเกี่ยวกับราคาสินค้าเพียงผู้เดียวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญนิยามการผูกขาดทางธุรกิจ คือ มีการทำธุรกิจอยู่เพียงรายเดียวในประเทศไทย แต่หากดูธุรกิจด้านค้าปลีกค้าส่งในประเทศไทยจะเห็นว่ามีหลายเจ้าทั้งตลาดสดและห้างสรรพสินค้าที่ให้บริการและประชาชนมีทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งธุรกิจที่ผูกขาดในประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่มของภาครัฐ เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ประปา หรือสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพราะภาครัฐจะเป็นเจ้าของทางธุรกิจ โดยผ่านทางรัฐวิสาหกิจ แต่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในไทยมีให้เลือกและให้บริการหลายแห่งและหลายเจ้า จึงเป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่จะซื้อสินค้าและที่ผ่านมาการแข่งขันในกรณีที่มีให้เลือกจึงเป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถต่อรองการซื้อสินค้าได้มาก หากรายใดขายสินค้าที่แพงก็สามารถไปซื้อสินค้าในลักษณะเดียวกันอีกรายใดได้ ยิ่งใครที่ขายแพงโอกาสสินค้าตนเองจะขายไม่ได้สูงมาก จึงเกิดการแข่งขันด้านราคาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างมาก

ทั้งนี้ นอกจากการแข่งขันด้านราคาแล้ว หากมองในแง่ผลดีอีกด้านหนึ่ง สินค้าการเกษตรของไทยมีโอกาสและมีช่องทางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในภาคธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น เพราะกลุ่มภาคธุรกิจเหล่านี้ยังจำเป็นที่ต้องสร้างภาพลักษณ์ของตนเองโดยผ่านการชักชวนเชิญชวนให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชผักผลไม้ได้มีโอกาสนำสินค้าเกษตรเข้ามาจำหน่ายภายในกิจการของตนเองมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการระบายสินค้าเกษตรให้กับเกษตรกรไทยได้อีกมากด้วย ดังนั้น การที่ซีพีจะซื้อโลตัสมาเป็นเจ้าของและมีช่องทางเพิ่มขึ้น จึงไม่น่าจะเป็นการผูกขาดทางธุรกิจ แต่น่าจะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ซื้อมากยิ่งขึ้น .-สำนักข่าวไทย

http://www.voicetv.co.th/read/IN8ZV3AcU   
ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ชี้ รัฐบาลปล่อยให้ ซีพี-เทสโก้ ควบรวม เท่ากับรังแก 'รายเล็ก-โชห่วย' แนะยุบ 'คณะกรรมการการแข่งขันการค้า' มองเป็นแค่เสือกระดาษ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ คณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นคัดค้าน ต่อกรณีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ได้พิจารณาการขออนุญาตรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้น จำกัดและบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ว่าการควบรวมธุรกิจดังกล่าว ไม่เป็นการผูกขาด และไม่เสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
จุลพันธ์ กล่าวว่า คกก.กขค. ตั้งขึ้นมาภายใต้พรบ.การแข่งขันทางการค้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการผูกขาดการค้าและตลาดในธุรกิจใดๆ ป้องกันไม่ให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามามีอำนาจเหนือตลาด การควบรวมบริษัททั้งสองดังกล่าว เป็นผู้ดำเนินกิจการค้าปลีกอันดับต้น ๆ ของประเทศ การควบรวมยอมก่อให้การแข่งขันในตลาดที่น้อยลง และทำให้ผู้ประกอบการรายนี้ครองส่วนแบ่งตลาด นับเฉพาะจำนวนร้านสะดวกซื้อไม่น่าจะต่ำกว่า 80% ตนจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใด กขค.จึงมองไม่เห็นว่านี่เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อพรบ.แข่งขันทางการค้าอย่างชัดเจน
จุลพันธ์ ระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ต่อเนื่อง รายเล็กอย่างร้านโชห่วยก็ค้าขายแทบไม่ได้อยู่แล้ว เจอการควบรวมแบบนี้แล้วภาครัฐไม่ดูแลคนที่อ่อนแอกว่า จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรว่ารัฐบาลนี้เอาใจแต่เจ้าสัวแต่ละทิ้งประชาชน แล้วยิ่งร้านสะดวกซื้อมาทำธุรกิจขายข้าวแกงขายผลไม้ เลยมาทำตัวเป็นธนาคารได้อีก อีกหน่อยธุรกิจในไทยคงถูกกินรวบหมด
ทั้งนี้ หาก คกก.กขค.ที่มีหน้าที่โดยตรงไม่ดูแลธุรกิจรายย่อยแบบนี้ ตนเสนอให้ยุบเลิกหน่วยงานทิ้งเสีย เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่กม.จัดการได้แต่รายย่อยคนตัวเล็ก พอเจอยักษ์ใหญ่ก็เป็นมวยล้มอีก จึงเป็นเหมือนแค่เสือกระดาษเท่านั้น 
"ตลอด 6 ปีกว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้ล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจประชาชนส่วนใหญ่รายได้ลด และ ลำบากกันอย่างมาก อีกทั้งยังได้สร้างความเหลื่อมล้ำให้เพิ่มขึ้น จากในอดีตก่อนการปฏิวัติ ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย อยู่ที่อันดับ 11 ได้เพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในปี 2559 และ ขึ้นถึงอันดับ 1 ในปี 2661 ซึ่งมีปัญหาการกระจายรายได้อย่างมาก แทนที่รัฐบาลจะทำลายการผูกขาดเพื่อสร้างโอกาส และกระจายรายได้ รัฐบาลกลับปล่อยให้มีการผูกขาดมากขึ้น ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์แก่นายทุนและสร้างปัญหาเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้น" จุลพันธ์ ระบุ

---

---