เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในการประชุม ครม.วันที่ 24 ธันวาคม กระทรวงการคลังจะเสนอการออกสลากการกุศล วงเงิน 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาการออก 2 ปี งวดละ 11 ล้านฉบับ โดยเพิ่มวัตถุประสงค์ให้สามารถนำไปใช้ในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา หรือโอดอส ได้ด้วย เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนในต่างจังหวัด ได้มีโอกาสไปศึกษายังต่างประเทศ คาดว่าจะเริ่มออกได้เดือนกุมภาพันธ์ 2568
นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้โครงการสลากการกุศล มักนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือกิจการทางการแพทย์ ระบบสาธารณสุขในประเทศ เช่น ช่วยเหลือโรงพยาบาลให้สามารถพัฒนา ซ่อมแซม ปรับปรุง จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือที่สำคัญ รวมถึง การช่วยเหลือทางศาสนา โรงเรียนเพื่อการศึกษา แต่ในรอบใหม่นี้ จะเปิดโอกาสให้ทำโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นโครงการที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ได้ด้วย จะช่วยขยายโอกาสทางการศึกษาและสร้างบุคลากรได้ด้วย โดยมีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้ดูแลโครงการ พร้อมกับกำหนดรายละเอียดโครงการการคัดเลือก
โดยการออกสลากกุศลงวดละ 11 ล้านใบ ในช่วง 2 ปี (2568-2570) จะนำสัดส่วนจากโควต้าสลากใบที่มีอยู่เดิมแล้วมาทำเป็นสลากการกุศล โดยไม่ได้พิมพ์เพิ่ม หรือจัดสรรเพิ่ม ซึ่งจะทำให้แต่ละงวดมีสลากใบทั่วไป และสลากการกุศลรวมจำหน่ายงวดละ 80 ล้านใบ แยกเป็นสลากกุศล 11 ล้านใบ และสลากใบทั่วไป 69 ล้านใบ ส่วนสลากดิจิทัลยังมีจำหน่ายงวดละ 25 ใบเท่าเดิม
รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม.อีก 2 โครงการกระตุ้นกำลังซื้อ คือโครงการสนับสนุนเงิน 10,000 บาทให้แก่ผู้สูงวัยที่มีอายุเกิน 60 ปี เบื้องต้นคัดกรองผู้ได้สิทธิเสร็จแล้วมีประมาณ 3.2 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท หาก ครม.เห็นชอบแล้ว จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับสิทธิผ่านทางแอพพ์ทางรัฐ จากนั้นจะโอนเงินให้ใช้จ่ายก่อนตรุษจีนในสิ้นเดือนมกราคม 2568
รายงานข่าวแจ้งว่า อีกโครงการคือ
อีซี่ อี-รีซีท ให้ประชาชนนำวงเงินการใช้จ่าย ไปลดหย่อนภาษีเงินได้ 5 หมื่นบาท เริ่มใช้จ่ายตั้งแต่กลางมกราคมถึงสิ้นกุมภาพันธ์ 2568 การใช้จ่ายจะต้องซื้อสินค้าหรือบริการผ่านร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างถูกต้อง หากใช้สิทธิลดหย่อนเต็มจำนวน จะได้รับเงินคืนสูงถึงคนละ 1-1.5 หมื่นบาท ทั้งนี้ ได้ปรับรายละเอียดการใช้จ่าย 5 หมื่นบาท โดยวงเงินแรก 3 หมื่นบาท สำหรับการซื้อสินค้าและบริการที่กำหนด โดยสามารถซื้อแพคเกจทัวร์ โรงแรม ที่พัก รถเช่าได้ด้วย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนวงเงินอีก 2 หมื่นบาท กำหนดให้ซื้อสินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชน โอท็อป อยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือสามารถซื้อสินค้าจากร้านวิสาหกิจชุมชน หรือโอท็อปทั้ง 5 หมื่นบาทเลยก็ได้...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichon.co.th/economy/news_4966868
คลัง ชง ครม.เคาะสลากหมื่นล้าน หนุนโครงการ 1 อภ. 1 ทุน แจกเงินสูงวัย-อีซีอี-รีซีท.
นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้โครงการสลากการกุศล มักนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือกิจการทางการแพทย์ ระบบสาธารณสุขในประเทศ เช่น ช่วยเหลือโรงพยาบาลให้สามารถพัฒนา ซ่อมแซม ปรับปรุง จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือที่สำคัญ รวมถึง การช่วยเหลือทางศาสนา โรงเรียนเพื่อการศึกษา แต่ในรอบใหม่นี้ จะเปิดโอกาสให้ทำโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นโครงการที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ได้ด้วย จะช่วยขยายโอกาสทางการศึกษาและสร้างบุคลากรได้ด้วย โดยมีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้ดูแลโครงการ พร้อมกับกำหนดรายละเอียดโครงการการคัดเลือก โดยการออกสลากกุศลงวดละ 11 ล้านใบ ในช่วง 2 ปี (2568-2570) จะนำสัดส่วนจากโควต้าสลากใบที่มีอยู่เดิมแล้วมาทำเป็นสลากการกุศล โดยไม่ได้พิมพ์เพิ่ม หรือจัดสรรเพิ่ม ซึ่งจะทำให้แต่ละงวดมีสลากใบทั่วไป และสลากการกุศลรวมจำหน่ายงวดละ 80 ล้านใบ แยกเป็นสลากกุศล 11 ล้านใบ และสลากใบทั่วไป 69 ล้านใบ ส่วนสลากดิจิทัลยังมีจำหน่ายงวดละ 25 ใบเท่าเดิม
รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม.อีก 2 โครงการกระตุ้นกำลังซื้อ คือโครงการสนับสนุนเงิน 10,000 บาทให้แก่ผู้สูงวัยที่มีอายุเกิน 60 ปี เบื้องต้นคัดกรองผู้ได้สิทธิเสร็จแล้วมีประมาณ 3.2 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท หาก ครม.เห็นชอบแล้ว จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับสิทธิผ่านทางแอพพ์ทางรัฐ จากนั้นจะโอนเงินให้ใช้จ่ายก่อนตรุษจีนในสิ้นเดือนมกราคม 2568
รายงานข่าวแจ้งว่า อีกโครงการคือ อีซี่ อี-รีซีท ให้ประชาชนนำวงเงินการใช้จ่าย ไปลดหย่อนภาษีเงินได้ 5 หมื่นบาท เริ่มใช้จ่ายตั้งแต่กลางมกราคมถึงสิ้นกุมภาพันธ์ 2568 การใช้จ่ายจะต้องซื้อสินค้าหรือบริการผ่านร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างถูกต้อง หากใช้สิทธิลดหย่อนเต็มจำนวน จะได้รับเงินคืนสูงถึงคนละ 1-1.5 หมื่นบาท ทั้งนี้ ได้ปรับรายละเอียดการใช้จ่าย 5 หมื่นบาท โดยวงเงินแรก 3 หมื่นบาท สำหรับการซื้อสินค้าและบริการที่กำหนด โดยสามารถซื้อแพคเกจทัวร์ โรงแรม ที่พัก รถเช่าได้ด้วย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนวงเงินอีก 2 หมื่นบาท กำหนดให้ซื้อสินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชน โอท็อป อยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือสามารถซื้อสินค้าจากร้านวิสาหกิจชุมชน หรือโอท็อปทั้ง 5 หมื่นบาทเลยก็ได้...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/economy/news_4966868