G.K.Line
15.
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีจุดกำเนิดจากเซลล์เริ่มต้นเพียงหนึ่งเซลล์ แล้วเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นจนกลายเป็นล้านๆ เซลล์ ร่างกายของมนุษย์เองก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากจุดนั้นเช่นกัน หนึ่งชีวิตของมนุษย์ต้องใช้เซลล์มากกว่าห้าหมื่นล้านเซลล์ในการประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่างแบบนี้
หากคนเรามีความสามารถที่จะจำแนกแยกย่อยและมองเห็นสิ่งที่มีขนาดเล็กมากๆ ได้ เมื่อเรามองไปที่คนๆ หนึ่ง อาจจะเป็นเพื่อนสนิท เป็นคนรัก คนรู้ใจ จ้องลึกลงไปในดวงตาของเขาเหล่านั้น เราจะพบสิ่งที่เหมือนๆ กัน นั่นก็คือเซลล์
และถ้าหากว่าคนเรายังสามารถมองเห็นสิ่งที่เล็กลงไปยิ่งกว่านั้นได้อีก เราก็จะพบว่าแม้แต่ตัวเซลล์เองก็ยังประกอบขึ้นมาจากส่วนที่เล็กยิ่งกว่าอีกหลายๆ ส่วน ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ที่กั้นเซลล์ออกจากสิ่งแวดล้อมภายนอกยังมีออร์แกเนลล์และนิวเคลียสที่ล่องลอยอยู่ในไซโตพลาสซึม
ไมโตคอนเดรียเป็นหนึ่งในออร์แกเนลล์ มีรูปร่างเป็นแท่งกลม ท่อนสั้นคล้ายไส้กรอก ขนาดเล็กเพียงไม่กี่ไมโครเมตร ส่วนใหญ่ของมันประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมัน แม้จะมีขนาดเล็กจิ๋วแต่กลับเป็นฟันเฟืองสำคัญของเซลล์และร่างกาย
ไมโตคอนเดรียเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ที่ทำให้กระบวนการสำคัญต่างๆ ของเซลล์เกิดขึ้นได้ การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่า การเผาผลาญพลังงาน ทั้งหมดล้วนต้องอาศัยพลังงานจากไมโตคอนเดรียทั้งสิ้น
เมื่อใดก็ตามที่ออร์แกเนลล์ส่วนเล็กๆ นี้เสื่อมสภาพ ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือสร้างเซลล์ใหม่ได้ช้าลง ความสามารถในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ก็จะลดลงไปด้วย
และนั่นคือการนำไปสู่ภาวะชราของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง ไมโตคอนเดรียจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอัตราเมตาโบลิซึมในเซลล์นั้นๆ บางเซลล์อาจมีเพียงแค่หนึ่งอันหรือบางเซลล์อาจมีมากถึงสองพันห้าร้อยอัน
กล้องจุลทรรศน์เผยให้เห็นการเพิ่มจำนวนเซลล์ที่รวดเร็วเหลือเชื่อของตัวอย่างเซลล์ที่ได้จากเหม่ยชิง และเมื่อนำเซลล์มหัศจรรย์นี้ไปตรวจสอบโครงสร้างด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ก็ยิ่งทำให้ต้องประหลาดใจมากขึ้นไปอีกที่พบว่าในเซลล์ของเธอมีจำนวนไมโตคอนเดรียมากกว่าคนปกติหลายเท่าตัว
มนุษย์เมื่อมีอายุประมาณยี่สิบปีหรืออยู่ในช่วงที่เจริญวัยเต็มที่ จะมีการผลัดเซลล์ทุกๆ ประมาณสามสัปดาห์ และหลังจากนั้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์จะช้าลงเรื่อยๆ ตามวัยที่มากขึ้น นั่นจึงส่งผลให้ร่างกายเสื่อมโทรมและแก่ชราลง
แต่สำหรับเทพธิดาแห่งน้ำผู้นี้ นางมีแหล่งพลังงานในร่างกายอย่างเหลือเฟือ และนั่นก็ทำให้เซลล์ของนางผลัดเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา นี่เองคือความลับของการมีอายุยืนยาวและอ่อนเยาว์ของธิดาจากดินแดนแห่งสายหมอกผู้นี้
เหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในองค์กรของสองนักล่าต่างยินดีกับสิ่งที่เหลียงฉีและเฟิงอิ่งพากลับมาด้วย มันเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่และวิเศษสุดเสียยิ่งกว่าการค้นพบว่ายังหลงเหลืออสุรกายโบราณอย่างแวมไพร์อยู่บนโลกใบนี้เสียอีก
บางทีเซลล์มหัศจรรย์ที่สร้างตัวเองได้อย่างรวดเร็วนี้จะสามารถกลบจุดอ่อนของเซลล์จากแวมไพร์ได้ทั้งหมด ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงเป้าหมายขององค์กรก็จะบรรลุเสียที และเมื่อนั้นเม็ดเงินลงทุนกับงบวิจัยจะไหลมาเทมา ทำให้ทุกคนที่นี่กลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในชั่วพริบตา
เหลียงฉีนั่งอยู่ในห้องพักของเหม่ยชิง เป็นห้องพักของสถาบันวิจัยที่เขาสังกัดอยู่ จะว่าเป็นห้องพักก็คงไม่ถูกนักเพราะอันที่จริงแล้วมันเป็นห้องสำหรับกักกันตัวคนที่ถูกนำมาทดลองต่างหาก ห้องทั้งห้องถูกทาด้วยสีขาว ขนาดพอเหมาะสำหรับให้คนหนึ่งคนพำนัก สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพียงแต่ว่าประตูห้องเป็นระบบปิดล็อกจากภายนอก หญิงสาวไม่สามารถออกไปไหนต่อไหนได้อย่างที่ใจต้องการนอกจากจะมีเจ้าหน้าที่พาออกไปเท่านั้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย” เอ่ยคำถามห่วงใยออกมา แววตาที่มองดูสาวคนรักบ่งบอกถึงความรู้สึกเห็นใจ ขณะนี้เหลียงฉีทั้งเป็นห่วงและสงสาร อีกทั้งยังวิตกกังวลถึงความรู้สึกของนาง
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราสบายดี ที่นี่ออกจะสบายกว่าในหมู่บ้านเป็นไหนๆ ได้อาบน้ำอุ่น ได้ทานของอร่อยทุกมื้อ แล้วยังมีเตียงนุ่มๆ ให้นอนอีกด้วย”
คำตอบที่คล้ายกับพยายามอธิบายอะไรมากเกินไปแบบนี้ ทำให้เขานึกรู้ได้ทันทีว่าคนพูดแค่ต้องการทำให้เขาสบายใจเท่านั้น แต่คำพูดของนางกลับเป็นเหมือนคมมีดกรีดลงบนดวงใจให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดเสียมากกว่า
“อดทนไว้นะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมสัญญาว่าจะพาคุณกลับหมู่บ้านสายหมอก และเราจะได้อยู่ด้วยกันที่นั่นตลอดไป” พูดปลอบใจนาง คำสัญญาที่ให้ก็เหมือนกับบอกตัวเองไปด้วย
เหม่ยชิงยิ้มรับเหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดนางก็จะยิ้มออกมาอย่างนี้เสมอ เพราะความรักความเชื่อใจที่มีมากมายในตัวคนรัก ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดจะดีไปกว่าการแสดงให้เห็นว่านางยังคงเชื่อใจและยังพร้อมเดินต่อไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
ชายคนรักยิ้มตอบอย่างเข้าใจถึงเจตนานั้น โอบรั้งร่างหญิงสาวเข้าแนบอก เหม่ยชิงยอมตามเขาออกมาสู่โลกภายนอกเพียงเพราะหวังว่าจะให้นำเลือดของนางไปศึกษาคิดค้นหายามารักษาโรคให้แก่เด็กๆ ในหมู่บ้านของนางจนสำเร็จเท่านั้น
ตัวเขาเองเดิมทีก็คิดว่าคงไม่มีอะไรซับซ้อนยุ่งยาก ทุกอย่างน่าจะราบรื่นและจบลงได้ด้วยดี ไม่นึกเลยว่ายิ่งนานวัน มันกลับยิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจทั้งกับสาวคนรักและตัวเขาเองได้มากขนาดนี้ ชายหนุ่มรู้สึกผิดและเหมือนกับตัวเองกำลังหักหลังต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของหญิงคนรัก
ในสมองตอนนี้จึงคิดหาทางออกเผื่อไว้หลายๆ ทาง กับคิดถึงบทสรุปที่จะเกิดขึ้นตามมา ยอมรับว่ายังลังเลอยู่มากว่าจะเลือกทางไหนดี อีกทั้งไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงหรือไม่
แต่ก็ไม่แน่ ถ้าหากใดวันหนึ่งที่ทุกอย่างมาถึงทางตันและความอดทนขาดผึงลง เขาอาจจะเลือกทางที่เลวร้ายที่สุดก็ได้ ชายหนุ่มค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก คนทั้งสองยืนอ้อยอิ่งอยู่ด้วยกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจำต้องอำลาคนรักกลับออกจากห้องไป
องค์กรที่คู่หูนักล่าพาเหม่ยชิงมาทำการทดลองแห่งนี้ เป็นหน่วยงานที่คิดค้นและผลิตยาใหม่ๆ ออกป้อนสู่ตลาดโลกอยู่เสมอจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการ ทว่านั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น แท้จริงแล้วงานหลักหลังฉากที่ถูกปกปิดไว้ ซึ่งยากยิ่งกว่าและอันตรายมากกว่านั่นต่างหากที่ทำกำไรให้อย่างมหาศาล
นักวิจัยทดลองเพาะเซลล์มหัศจรรย์และเซลล์แวมไพร์ไว้ด้วยกัน พร้อมกับเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่มองเห็นผ่านกล้องจุลทรรศน์ก็คือเซลล์ของแวมไพร์แข็งแกร่งและดุร้ายกว่า มันเข้าจู่โจมและกลืนกินเซลล์มหัศจรรย์จนหมดสิ้น
ดูเหมือนกับเซลล์ทั้งสองจะเข้ากันไม่ได้ และนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถฉีดเซลล์ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเข้าไปในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งได้ เพราะมันจะทำลายกันเองในที่สุด
การตัดต่อพันธุกรรมจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด พวกเขาเริ่มงานที่คิดไว้ทันที โดยหวังว่าหลังการตัดต่อแล้วปัญหาที่เจอจะหมดไป อีกทั้งดีเอ็นเอจากเซลล์มหัศจรรย์จะช่วยกลบจุดด้อยของเซลล์แวมไพร์เรื่องการแพ้กระสุนเงินและแพ้แสงได้
หลังจากทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดพวกเขาก็ทำสำเร็จ เซลล์ใหม่ที่เกิดจากพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งสองถือกำเนิดขึ้นในห้องทดลองขององค์กรนี้เอง
กระบวนการโคลนนิ่งได้เริ่มต้นขึ้นจากเซลล์ต้นกำเนิดนั้น และเมื่อพบกับความบกพร่องที่ไม่ต้องการ ตัวอ่อนมากมายที่สร้างขึ้นก็จะถูกกำจัดลงเสียก่อนจะได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก นักวิจัยค่อยๆ ปรับแต่งพันธุกรรมและดูผลของมันไปทีละน้อย จนในที่สุดก็ได้ตัวอ่อนที่ต้องการจำนวนสองตัว
และแล้วทารกเพศหญิงสองคนก็ถือกำเนิดขึ้นจากเทคโนโลยีในสถานีวิจัย ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องกักกันโดยมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยสังเกตการณ์อยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผูกพันจากการเลี้ยงดูของทั้งสองฝ่าย รหัสเอ็กซ์ศูนย์หนึ่งและเอ็กซ์ศูนย์สองจึงถูกใช้เรียกทารกทั้งสองแทนที่จะตั้งชื่อให้
และด้วยเซลล์มหัศจรรย์ทั้งสองในร่างน้อยๆ นี้เอง ทารกก็ได้เจริญวัยและมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วเกินเด็กปกติ เพียงแค่ปีกว่าเท่านั้นร่างกายและความคิดก็เติบใหญ่เทียบเท่ากับเด็กอายุสี่ขวบ ก่อนที่พัฒนาการก้าวกระโดดแบบนั้นจะช้าลงจนแทบเหมือนเด็กปกติทั่วไป
ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูและเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยกันในโลกของพวกเธอ ซึ่งก็คือห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิด มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้นที่เป็นเพื่อนเล่นพูดคุย หัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกันอยู่ภายในโลกใบเล็กใบนี้
เป็นคู่พี่น้องที่เกิดมาเพื่อกันและกัน เป็นของกันและกัน และจะอยู่คู่กันอย่างนี้ตลอดไป
ทว่าวันเวลาที่สงบสุขช่างแสนสั้น วันหนึ่งก็เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นกับเอ็กซ์ศูนหนึ่ง เซลล์ในร่างกายของเธอที่เคยเป็นปกติมาตลอดกลับเริ่มเข้ากันไม่ได้ มันเกิดต่อต้านกันขึ้นมาและเริ่มแยกออกจากกัน เซลล์ดุร้ายเริ่มกัดกินเซลล์ที่อ่อนแอกว่า ขณะเดียวกันเซลล์อ่อนแอก็โคลนตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ช่างเหมือนกับผลการทดลองตอนที่เลี้ยงเซลล์แวมไพร์และเซลล์มหัศจรรย์ไว้ด้วยกันไม่มีผิด และนั่นเป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของที่นี่ไม่ต้องการ
โลกเล็กจิ๋วของเด็กหญิงทั้งสองแตกสลายลง คู่พี่น้องถูกจับแยกและไม่เคยได้พบหน้าพูดคุยกันอีกเลยนับจากนั้น รอบกายเหลือเพียงความโดดเดี่ยว ไม่มีใครต้องการตัวทดลองที่บกพร่อง การปฏิบัติต่อเอ็กซ์ศูนหนึ่งของผู้คนในศูนย์วิจัยเปลี่ยนไป
ในขณะที่ความดำมืดกำลังก่อตัวและกัดกินจิตใจของเด็กน้อย ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขาคอยแวะเวียนมาหาเด็กทั้งสองอยู่เสมอ ทุกครั้งก็จะมีขนมติดไม้ติดมือมาและอยู่คุยด้วยนานนับชั่วโมง ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาตั้งชื่อให้กับเด็กทั้งสองแทนการเรียกด้วยรหัส พวกเธอดีใจที่ได้มีชื่อเสียที
สำหรับคู่พี่น้องแล้ว เขาเป็นเหมือนคนที่ยื่นมือช่วยดึงเด็กทั้งคู่ให้ขึ้นมาจากหลุมดำอันมืดมิด ทำให้พวกเธอได้เข้าใจคำว่าความรักความอบอุ่นอย่างที่เด็กทั่วไปพึงได้รับ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจคำๆ นี้สักเท่าใด แต่เด็กทั้งสองต่างก็เรียกชายผู้นั้นว่า “พ่อ” ราวกับสื่อใจถึงกันได้
“เหม่ยชิง”
ธิดาแห่งน้ำเหลียวมองตามเสียงเรียกและพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเฟิงอิ่งนั่นเอง ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ ช่วงแรกๆ เขาก็มาพบนางบ้างนานๆ ครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนอีกเลย ดังนั้นจึงอดนึกประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นนักล่าอสุรกายผู้นี้มาที่นี่วันนี้
“ท่านเฟิงนั่นเอง มีอะไรหรือ” เธอยิ้มทัก ดวงตาคู่งามแสดงถึงความฉงนออกมาให้ได้เห็น
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย ตามมาทางนี้ ผมจะพาไปดูอะไรบางอย่างที่จะทำให้คุณตาสว่างเสียที”
นางรู้สึกงุนงงต่อคำตอบที่ช่างหาความกระจ่างไม่ได้เลย แต่ด้วยความไว้วางใจในตัวเพื่อนสนิทของคนรัก หญิงสาวจึงยอมตามเขาไปแต่โดยดี
รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 15
15.
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีจุดกำเนิดจากเซลล์เริ่มต้นเพียงหนึ่งเซลล์ แล้วเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นจนกลายเป็นล้านๆ เซลล์ ร่างกายของมนุษย์เองก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากจุดนั้นเช่นกัน หนึ่งชีวิตของมนุษย์ต้องใช้เซลล์มากกว่าห้าหมื่นล้านเซลล์ในการประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่างแบบนี้
หากคนเรามีความสามารถที่จะจำแนกแยกย่อยและมองเห็นสิ่งที่มีขนาดเล็กมากๆ ได้ เมื่อเรามองไปที่คนๆ หนึ่ง อาจจะเป็นเพื่อนสนิท เป็นคนรัก คนรู้ใจ จ้องลึกลงไปในดวงตาของเขาเหล่านั้น เราจะพบสิ่งที่เหมือนๆ กัน นั่นก็คือเซลล์
และถ้าหากว่าคนเรายังสามารถมองเห็นสิ่งที่เล็กลงไปยิ่งกว่านั้นได้อีก เราก็จะพบว่าแม้แต่ตัวเซลล์เองก็ยังประกอบขึ้นมาจากส่วนที่เล็กยิ่งกว่าอีกหลายๆ ส่วน ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ที่กั้นเซลล์ออกจากสิ่งแวดล้อมภายนอกยังมีออร์แกเนลล์และนิวเคลียสที่ล่องลอยอยู่ในไซโตพลาสซึม
ไมโตคอนเดรียเป็นหนึ่งในออร์แกเนลล์ มีรูปร่างเป็นแท่งกลม ท่อนสั้นคล้ายไส้กรอก ขนาดเล็กเพียงไม่กี่ไมโครเมตร ส่วนใหญ่ของมันประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมัน แม้จะมีขนาดเล็กจิ๋วแต่กลับเป็นฟันเฟืองสำคัญของเซลล์และร่างกาย
ไมโตคอนเดรียเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ที่ทำให้กระบวนการสำคัญต่างๆ ของเซลล์เกิดขึ้นได้ การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่า การเผาผลาญพลังงาน ทั้งหมดล้วนต้องอาศัยพลังงานจากไมโตคอนเดรียทั้งสิ้น
เมื่อใดก็ตามที่ออร์แกเนลล์ส่วนเล็กๆ นี้เสื่อมสภาพ ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือสร้างเซลล์ใหม่ได้ช้าลง ความสามารถในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ก็จะลดลงไปด้วย
และนั่นคือการนำไปสู่ภาวะชราของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง ไมโตคอนเดรียจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอัตราเมตาโบลิซึมในเซลล์นั้นๆ บางเซลล์อาจมีเพียงแค่หนึ่งอันหรือบางเซลล์อาจมีมากถึงสองพันห้าร้อยอัน
กล้องจุลทรรศน์เผยให้เห็นการเพิ่มจำนวนเซลล์ที่รวดเร็วเหลือเชื่อของตัวอย่างเซลล์ที่ได้จากเหม่ยชิง และเมื่อนำเซลล์มหัศจรรย์นี้ไปตรวจสอบโครงสร้างด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ก็ยิ่งทำให้ต้องประหลาดใจมากขึ้นไปอีกที่พบว่าในเซลล์ของเธอมีจำนวนไมโตคอนเดรียมากกว่าคนปกติหลายเท่าตัว
มนุษย์เมื่อมีอายุประมาณยี่สิบปีหรืออยู่ในช่วงที่เจริญวัยเต็มที่ จะมีการผลัดเซลล์ทุกๆ ประมาณสามสัปดาห์ และหลังจากนั้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์จะช้าลงเรื่อยๆ ตามวัยที่มากขึ้น นั่นจึงส่งผลให้ร่างกายเสื่อมโทรมและแก่ชราลง
แต่สำหรับเทพธิดาแห่งน้ำผู้นี้ นางมีแหล่งพลังงานในร่างกายอย่างเหลือเฟือ และนั่นก็ทำให้เซลล์ของนางผลัดเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา นี่เองคือความลับของการมีอายุยืนยาวและอ่อนเยาว์ของธิดาจากดินแดนแห่งสายหมอกผู้นี้
เหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในองค์กรของสองนักล่าต่างยินดีกับสิ่งที่เหลียงฉีและเฟิงอิ่งพากลับมาด้วย มันเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่และวิเศษสุดเสียยิ่งกว่าการค้นพบว่ายังหลงเหลืออสุรกายโบราณอย่างแวมไพร์อยู่บนโลกใบนี้เสียอีก
บางทีเซลล์มหัศจรรย์ที่สร้างตัวเองได้อย่างรวดเร็วนี้จะสามารถกลบจุดอ่อนของเซลล์จากแวมไพร์ได้ทั้งหมด ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงเป้าหมายขององค์กรก็จะบรรลุเสียที และเมื่อนั้นเม็ดเงินลงทุนกับงบวิจัยจะไหลมาเทมา ทำให้ทุกคนที่นี่กลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในชั่วพริบตา
เหลียงฉีนั่งอยู่ในห้องพักของเหม่ยชิง เป็นห้องพักของสถาบันวิจัยที่เขาสังกัดอยู่ จะว่าเป็นห้องพักก็คงไม่ถูกนักเพราะอันที่จริงแล้วมันเป็นห้องสำหรับกักกันตัวคนที่ถูกนำมาทดลองต่างหาก ห้องทั้งห้องถูกทาด้วยสีขาว ขนาดพอเหมาะสำหรับให้คนหนึ่งคนพำนัก สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพียงแต่ว่าประตูห้องเป็นระบบปิดล็อกจากภายนอก หญิงสาวไม่สามารถออกไปไหนต่อไหนได้อย่างที่ใจต้องการนอกจากจะมีเจ้าหน้าที่พาออกไปเท่านั้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย” เอ่ยคำถามห่วงใยออกมา แววตาที่มองดูสาวคนรักบ่งบอกถึงความรู้สึกเห็นใจ ขณะนี้เหลียงฉีทั้งเป็นห่วงและสงสาร อีกทั้งยังวิตกกังวลถึงความรู้สึกของนาง
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราสบายดี ที่นี่ออกจะสบายกว่าในหมู่บ้านเป็นไหนๆ ได้อาบน้ำอุ่น ได้ทานของอร่อยทุกมื้อ แล้วยังมีเตียงนุ่มๆ ให้นอนอีกด้วย”
คำตอบที่คล้ายกับพยายามอธิบายอะไรมากเกินไปแบบนี้ ทำให้เขานึกรู้ได้ทันทีว่าคนพูดแค่ต้องการทำให้เขาสบายใจเท่านั้น แต่คำพูดของนางกลับเป็นเหมือนคมมีดกรีดลงบนดวงใจให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดเสียมากกว่า
“อดทนไว้นะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมสัญญาว่าจะพาคุณกลับหมู่บ้านสายหมอก และเราจะได้อยู่ด้วยกันที่นั่นตลอดไป” พูดปลอบใจนาง คำสัญญาที่ให้ก็เหมือนกับบอกตัวเองไปด้วย
เหม่ยชิงยิ้มรับเหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดนางก็จะยิ้มออกมาอย่างนี้เสมอ เพราะความรักความเชื่อใจที่มีมากมายในตัวคนรัก ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดจะดีไปกว่าการแสดงให้เห็นว่านางยังคงเชื่อใจและยังพร้อมเดินต่อไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
ชายคนรักยิ้มตอบอย่างเข้าใจถึงเจตนานั้น โอบรั้งร่างหญิงสาวเข้าแนบอก เหม่ยชิงยอมตามเขาออกมาสู่โลกภายนอกเพียงเพราะหวังว่าจะให้นำเลือดของนางไปศึกษาคิดค้นหายามารักษาโรคให้แก่เด็กๆ ในหมู่บ้านของนางจนสำเร็จเท่านั้น
ตัวเขาเองเดิมทีก็คิดว่าคงไม่มีอะไรซับซ้อนยุ่งยาก ทุกอย่างน่าจะราบรื่นและจบลงได้ด้วยดี ไม่นึกเลยว่ายิ่งนานวัน มันกลับยิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจทั้งกับสาวคนรักและตัวเขาเองได้มากขนาดนี้ ชายหนุ่มรู้สึกผิดและเหมือนกับตัวเองกำลังหักหลังต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของหญิงคนรัก
ในสมองตอนนี้จึงคิดหาทางออกเผื่อไว้หลายๆ ทาง กับคิดถึงบทสรุปที่จะเกิดขึ้นตามมา ยอมรับว่ายังลังเลอยู่มากว่าจะเลือกทางไหนดี อีกทั้งไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงหรือไม่
แต่ก็ไม่แน่ ถ้าหากใดวันหนึ่งที่ทุกอย่างมาถึงทางตันและความอดทนขาดผึงลง เขาอาจจะเลือกทางที่เลวร้ายที่สุดก็ได้ ชายหนุ่มค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก คนทั้งสองยืนอ้อยอิ่งอยู่ด้วยกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจำต้องอำลาคนรักกลับออกจากห้องไป
องค์กรที่คู่หูนักล่าพาเหม่ยชิงมาทำการทดลองแห่งนี้ เป็นหน่วยงานที่คิดค้นและผลิตยาใหม่ๆ ออกป้อนสู่ตลาดโลกอยู่เสมอจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการ ทว่านั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น แท้จริงแล้วงานหลักหลังฉากที่ถูกปกปิดไว้ ซึ่งยากยิ่งกว่าและอันตรายมากกว่านั่นต่างหากที่ทำกำไรให้อย่างมหาศาล
นักวิจัยทดลองเพาะเซลล์มหัศจรรย์และเซลล์แวมไพร์ไว้ด้วยกัน พร้อมกับเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่มองเห็นผ่านกล้องจุลทรรศน์ก็คือเซลล์ของแวมไพร์แข็งแกร่งและดุร้ายกว่า มันเข้าจู่โจมและกลืนกินเซลล์มหัศจรรย์จนหมดสิ้น
ดูเหมือนกับเซลล์ทั้งสองจะเข้ากันไม่ได้ และนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถฉีดเซลล์ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเข้าไปในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งได้ เพราะมันจะทำลายกันเองในที่สุด
การตัดต่อพันธุกรรมจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด พวกเขาเริ่มงานที่คิดไว้ทันที โดยหวังว่าหลังการตัดต่อแล้วปัญหาที่เจอจะหมดไป อีกทั้งดีเอ็นเอจากเซลล์มหัศจรรย์จะช่วยกลบจุดด้อยของเซลล์แวมไพร์เรื่องการแพ้กระสุนเงินและแพ้แสงได้
หลังจากทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดพวกเขาก็ทำสำเร็จ เซลล์ใหม่ที่เกิดจากพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งสองถือกำเนิดขึ้นในห้องทดลองขององค์กรนี้เอง
กระบวนการโคลนนิ่งได้เริ่มต้นขึ้นจากเซลล์ต้นกำเนิดนั้น และเมื่อพบกับความบกพร่องที่ไม่ต้องการ ตัวอ่อนมากมายที่สร้างขึ้นก็จะถูกกำจัดลงเสียก่อนจะได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก นักวิจัยค่อยๆ ปรับแต่งพันธุกรรมและดูผลของมันไปทีละน้อย จนในที่สุดก็ได้ตัวอ่อนที่ต้องการจำนวนสองตัว
และแล้วทารกเพศหญิงสองคนก็ถือกำเนิดขึ้นจากเทคโนโลยีในสถานีวิจัย ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องกักกันโดยมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยสังเกตการณ์อยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผูกพันจากการเลี้ยงดูของทั้งสองฝ่าย รหัสเอ็กซ์ศูนย์หนึ่งและเอ็กซ์ศูนย์สองจึงถูกใช้เรียกทารกทั้งสองแทนที่จะตั้งชื่อให้
และด้วยเซลล์มหัศจรรย์ทั้งสองในร่างน้อยๆ นี้เอง ทารกก็ได้เจริญวัยและมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วเกินเด็กปกติ เพียงแค่ปีกว่าเท่านั้นร่างกายและความคิดก็เติบใหญ่เทียบเท่ากับเด็กอายุสี่ขวบ ก่อนที่พัฒนาการก้าวกระโดดแบบนั้นจะช้าลงจนแทบเหมือนเด็กปกติทั่วไป
ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูและเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยกันในโลกของพวกเธอ ซึ่งก็คือห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิด มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้นที่เป็นเพื่อนเล่นพูดคุย หัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกันอยู่ภายในโลกใบเล็กใบนี้
เป็นคู่พี่น้องที่เกิดมาเพื่อกันและกัน เป็นของกันและกัน และจะอยู่คู่กันอย่างนี้ตลอดไป
ทว่าวันเวลาที่สงบสุขช่างแสนสั้น วันหนึ่งก็เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นกับเอ็กซ์ศูนหนึ่ง เซลล์ในร่างกายของเธอที่เคยเป็นปกติมาตลอดกลับเริ่มเข้ากันไม่ได้ มันเกิดต่อต้านกันขึ้นมาและเริ่มแยกออกจากกัน เซลล์ดุร้ายเริ่มกัดกินเซลล์ที่อ่อนแอกว่า ขณะเดียวกันเซลล์อ่อนแอก็โคลนตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ช่างเหมือนกับผลการทดลองตอนที่เลี้ยงเซลล์แวมไพร์และเซลล์มหัศจรรย์ไว้ด้วยกันไม่มีผิด และนั่นเป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของที่นี่ไม่ต้องการ
โลกเล็กจิ๋วของเด็กหญิงทั้งสองแตกสลายลง คู่พี่น้องถูกจับแยกและไม่เคยได้พบหน้าพูดคุยกันอีกเลยนับจากนั้น รอบกายเหลือเพียงความโดดเดี่ยว ไม่มีใครต้องการตัวทดลองที่บกพร่อง การปฏิบัติต่อเอ็กซ์ศูนหนึ่งของผู้คนในศูนย์วิจัยเปลี่ยนไป
ในขณะที่ความดำมืดกำลังก่อตัวและกัดกินจิตใจของเด็กน้อย ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขาคอยแวะเวียนมาหาเด็กทั้งสองอยู่เสมอ ทุกครั้งก็จะมีขนมติดไม้ติดมือมาและอยู่คุยด้วยนานนับชั่วโมง ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาตั้งชื่อให้กับเด็กทั้งสองแทนการเรียกด้วยรหัส พวกเธอดีใจที่ได้มีชื่อเสียที
สำหรับคู่พี่น้องแล้ว เขาเป็นเหมือนคนที่ยื่นมือช่วยดึงเด็กทั้งคู่ให้ขึ้นมาจากหลุมดำอันมืดมิด ทำให้พวกเธอได้เข้าใจคำว่าความรักความอบอุ่นอย่างที่เด็กทั่วไปพึงได้รับ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจคำๆ นี้สักเท่าใด แต่เด็กทั้งสองต่างก็เรียกชายผู้นั้นว่า “พ่อ” ราวกับสื่อใจถึงกันได้
“เหม่ยชิง”
ธิดาแห่งน้ำเหลียวมองตามเสียงเรียกและพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเฟิงอิ่งนั่นเอง ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ ช่วงแรกๆ เขาก็มาพบนางบ้างนานๆ ครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนอีกเลย ดังนั้นจึงอดนึกประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นนักล่าอสุรกายผู้นี้มาที่นี่วันนี้
“ท่านเฟิงนั่นเอง มีอะไรหรือ” เธอยิ้มทัก ดวงตาคู่งามแสดงถึงความฉงนออกมาให้ได้เห็น
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย ตามมาทางนี้ ผมจะพาไปดูอะไรบางอย่างที่จะทำให้คุณตาสว่างเสียที”
นางรู้สึกงุนงงต่อคำตอบที่ช่างหาความกระจ่างไม่ได้เลย แต่ด้วยความไว้วางใจในตัวเพื่อนสนิทของคนรัก หญิงสาวจึงยอมตามเขาไปแต่โดยดี