ครม.เมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของรฟท. ใช้ชื่อว่า "บริษัทรถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด" ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยให้รฟท.กู้ยืมเงินจำนวน 200 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนเป็นทุนจดทะเบียน และให้รับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน มีกระทรวงการคลังค้ำประกันการกู้เงิน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม
รฟท.มีที่ดินที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถจำนวน 38,469 ไร่ มูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท แต่มีรายได้ผลตอบแทนจากการบริหารสินทรัพย์ประมาณปีละ 2,400 ล้านบาทเท่านั้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ของมูลค่าทรัพย์สิน
สำหรับรายได้ของบริษัทลูก จะมาจาก 3 ส่วนคือ 1.รายได้จากค่ารับจ้างบริหารสัญญาเช่าเดิมจำนวน 15,270 สัญญา โดยสินทรัพย์ทั้งหมดเป็นของรฟท.
2.รายได้จากการให้เช่าช่วง ร่วมทุน หรือพัฒนาที่ดินเดิมที่หมดอายุสัญญา และ 3.รายได้จากโครงการร่วมลงทุนกับเอกชนและการพัฒนาพื้นที่ดินเปล่าแปลงอื่นๆ ในอนาคตอาจมีรายได้จากการขายกระแสเงินสดให้ส่วนผลกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย....
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการจัดตั้งบริษัทลูกของรฟท.มาบริหารที่ดินและแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินที่ทำให้ส่งมอบที่ดินแก่ผู้รับสัมปทานไม่ได้ แม้จะตั้งช้าไปหน่อย ก็ยังดีกว่าไม่คิดจะแก้อะไรเลย แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าการแต่งตั้งผู้บริหารที่เข้ามาบริหารบริษัทลูกด้วยว่ามีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด และจะถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองด้วยหรือไม่ ถ้ายังเป็นเช่นนั้นอยู่ การตั้งบริษัทลูกเข้ามาคงช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ สู้ไม่ตั้งขึ้นมายังจะดีเสียกว่า จริงๆแนะนำให้บริษัทลูกตั้งขึ้นมาให้กระทรวงการคลังบริหารน่าจะเหมาะสมดีกว่า
แต่ถ้าบริหารจนปลดหนี้ให้รฟท.ได้แล้วมีกำไร ก็ควรนำไปแบ่งจ่ายให้กับบ.โฮปเวลล์ 24,000 ล้านบาทด้วยก็จะดี เพราะเรื่องนี้ก็ยังคาราคาซังอยู่
ครม.อนุมัติตั้งบ.ลูกรถไฟแก้ปัญหาที่ดิน
รฟท.มีที่ดินที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถจำนวน 38,469 ไร่ มูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท แต่มีรายได้ผลตอบแทนจากการบริหารสินทรัพย์ประมาณปีละ 2,400 ล้านบาทเท่านั้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ของมูลค่าทรัพย์สิน
สำหรับรายได้ของบริษัทลูก จะมาจาก 3 ส่วนคือ 1.รายได้จากค่ารับจ้างบริหารสัญญาเช่าเดิมจำนวน 15,270 สัญญา โดยสินทรัพย์ทั้งหมดเป็นของรฟท.
2.รายได้จากการให้เช่าช่วง ร่วมทุน หรือพัฒนาที่ดินเดิมที่หมดอายุสัญญา และ 3.รายได้จากโครงการร่วมลงทุนกับเอกชนและการพัฒนาพื้นที่ดินเปล่าแปลงอื่นๆ ในอนาคตอาจมีรายได้จากการขายกระแสเงินสดให้ส่วนผลกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย....
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการจัดตั้งบริษัทลูกของรฟท.มาบริหารที่ดินและแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินที่ทำให้ส่งมอบที่ดินแก่ผู้รับสัมปทานไม่ได้ แม้จะตั้งช้าไปหน่อย ก็ยังดีกว่าไม่คิดจะแก้อะไรเลย แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าการแต่งตั้งผู้บริหารที่เข้ามาบริหารบริษัทลูกด้วยว่ามีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด และจะถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองด้วยหรือไม่ ถ้ายังเป็นเช่นนั้นอยู่ การตั้งบริษัทลูกเข้ามาคงช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ สู้ไม่ตั้งขึ้นมายังจะดีเสียกว่า จริงๆแนะนำให้บริษัทลูกตั้งขึ้นมาให้กระทรวงการคลังบริหารน่าจะเหมาะสมดีกว่า
แต่ถ้าบริหารจนปลดหนี้ให้รฟท.ได้แล้วมีกำไร ก็ควรนำไปแบ่งจ่ายให้กับบ.โฮปเวลล์ 24,000 ล้านบาทด้วยก็จะดี เพราะเรื่องนี้ก็ยังคาราคาซังอยู่