คุณคิดว่า เด็กๆ ถูกบังคับ เกินไปหรือเปล่า

กระทู้คำถาม
10 กว่าปีที่แล้ว ในตอนที่เสื้อแดงยังเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ทางการเมืองกลุ่มหนึ่งอยู่ ด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ อุดมการณ์แรง ยอมรับว่าตัวเองไม่ค่อยถูกกับความคิดที่ว่าเป็นกลางสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าพวกเขาไม่ค่อยกล้าแสดงออก หรือไม่ก็แอบเป็นอีกฝั่งแต่เนียนว่าตัวเองเป็นกลาง
 
แต่วันนี้ ผมรู้สึกว่า ความเป็นกลาง (ที่ไม่แฝงเจตนาร้ายกับฝ่ายใด และยังมีความเคารพต่อสถาบันหลักของชาติอยู่) อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้
 
เหตุผลก็คือ ตั้งแต่ตอนที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบมา (จากความผิดพลาดของตัวเอง) ผมเห็นแววว่าต้องมีการโต้กลับแน่ๆ แต่ผมไม่คิดว่า จะมีการจัดชุมนุมในแต่ละมหาวิทยาลัย เพียงเพราะพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปเพียงพรรคเดียวๆ ขณะที่หัวหอกใหญ่อย่างเพื่อไทย ยังสามารถถกเถียง อภิปราย เรื่องราวในรัฐบาลได้ต่อไปอย่างไม่เปลี่ยน ผมคิดว่า สมาชิกพรรคที่ยังเป็น ส.ส. อยู่ อาจจะเปลี่ยนมาอยู่กับเพื่อไทย ซึ่งกลายเป็นว่าพวกเขาเปลี่ยนมาอยู่กับพรรคก้าวหน้าแทน ซึ่งจริงๆ ผมว่าไม่ผิดอะไรเพราะคิดว่าพวกเขาก็ยังทำหน้าในสภาได้ต่อ
 
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของผมที่ผมมองเห็นก็คือ การที่มีนักศึกษาในแต่ละมหาลัยประกาศจัดชุมนุม (ซึ่งน่าจะนำโดยกลุ่มสายการเมืองในแต่ละมหาลัย) ในตอนนั้น ผมเข้าใจว่าเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ และไม่น่าจะมีอะไรมาก แต่พอถึงกลางเดือนมีนาคม มันก็มีแท็กที่น่าตกใจขึ้นมาในทวิตเตอร์ แม้ว่าสื่อส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำข่าว แต่ในตอนนั้น ผมวิเคราะห์ตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า อาจจะมีบางอย่างปะทุขึ้นในไม่ช้า
 
และสิ่งที่มันเกิดขึ้นก็เป็นจริง หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกเคอร์ฟิวไม่นาน มีข่าวทหารจากอียิปต์แล้วมีการวิจารณ์รัฐบาลกัน จากนั้นก็มีคนประกาศชุมนุมทันทีทันใด ในนามเยาวชนปลดแอก ซึ่งบางอย่าง หลายๆ ท่านอาจจะอ่านข่าวไปแล้วจึงไม่ขยายความมาก แต่ประเด็นที่ทำให้ผมต้องเริ่มคิดถึงก็คือ มันจะเกินเลยประท้วงขับไล่รัฐบาลหรือเปล่า เพราะนับตั้งแต่เรื่องราว 10 ข้อที่ถูกประกาศที่ มธ. รังสิต ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่อ่านครั้งแรกเลยว่านั้นคือ 8 ข้อที่ถูกเสนอมาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพียงแต่ถูกเพิ่มเติมมาอีก 2 ข้อเท่านั้น นั้นทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ และมันก็ยิ่งไม่สบายใจเมื่อเด็กมัธยมเอง ก็ถูกจัดให้เข้าร่วมกิจกรรมในโรงเรียนด้วย และเมื่อปะทะกับครูอาจารย์ในโรงเรียน ผมก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น และทำให้นึกถึงช่วงเลือกตั้งปีที่แล้วที่พ่อแม่ต้องทะเลาะกับลูก
 
ผมเชื่อว่า หลายๆ คนที่อย่างน้อยอาจจะทันช่วงพฤษภาทมิฬ รู้สึกไม่ดีกับเผด็จการทหารที่มาจากรัฐประหาร ซึ่งมีหลายยุคหลายสมัย นับตั้งแต่ช่วงอภิวัฒน์สยามไม่นานจนตอนนี้ก็เกือบ 90 ปีแล้ว มีประมาณหลายครั้งมาก ทั้งในนามรัฐประหาร และการก่อกบฏ แต่การทำรัฐประหารในช่วงหลัง กลุ่มนายพลมักอ้างว่ามีสาเหตุมาจากความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หรือไม่ก็มีบางอย่างที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งในมุมมองของฝ่ายสนับสนุน มองว่าเป็นการรักษาความสงบสุขของบ้านเมืองไว้ อีกฝ่ายมองว่าเป็นการฉกฉวยโอกาส
 
สิ่งที่ผมกังวลมากขึ้นในตอนนี้ก็คือ เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นถึงขั้นกระทบกระเทือนไปถึงเยาวชนซึ่งควรจะใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนหรือเพลิดเพลินไปกับชีวิตวัยเด็กวัยรุ่นของตัวเอง ทั้งยังลุกลามไปทั่วประเทศและกระทบถึงสิ่งที่ไม่ควรดึงลงต่ำ ผมกลัวว่านั้นอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เกิดรัฐประหารซ้ำอีกครั้งได้เสียมากกว่า ด้วยเหตุผลจากเรื่องราวดังกล่าว ในมุมมองของผมที่พยายามจะเป็นกลางที่สุดก็คือ ผมอยากให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งเมื่อปีก่อน ซึ่งถ้าพบว่ามันอาจจะยังมีกลิ่นอยู่ หรือมีปัญหาสะดุดเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับคุณอภิสิทธิ์ อย่างน้อยมันก็พอเป็นเหตุชอบธรรมที่จะยุบสภาได้โดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้น แต่ถ้าตรวจสอบแล้วว่าไม่มี ผมก็ต้องยอมรับว่า ส.ส. ทุกคนมาจากประชาชน และก็ต้องยอมรับเกมในสภา และรอเลือกตั้งใหม่เท่านั้น ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ ผมมองว่าไม่จำเป็นต้องเอาฉบับ 2540 มาใช้ใหม่ เพียงแค่ให้แก้ส่วนที่ถูกมองว่าเสริมสร้างอำนาจของรัฐบาลมากไปเสียดีกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่ผมพูดมาทั้งหมด ผมแค่ต้องการให้ประเทศเดินไปในทางที่ดีขึ้นเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องมีปัญหาใดๆ อีก หากสงสัยกันจริงๆ ก็ถามกันมาได้ แต่ผมไม่สะดวกจะโต้เถียงกับใครนะครับ ผมแค่ต้องการให้ครอบครัวรักกันเหมือนเดิม ครูอาจารย์ลูกศิษย์รักกันเหมือนเดิม ไม่อยากให้เป็นเหมือนเมืองไทยยุค 70 หรือจีนยุค 70 เท่านั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่