'ปิยบุตร' ซัด 'ประยุทธ์' ไม่เห็นหัว ปชช. ชี้ถึงเวลายุติระบอบ [เผล่ะจัง] คณาธิปไตย
https://voicetv.co.th/read/hiDCMmVKi
"ปิยุบตร" ชี้ชัด "ประยุทธ์" เป็นผู้นำมีทัศนคติอำนาจนิยม ไม่เห็นหัวประชาชน ปลุกคนไทยทวงคืนประชาธิปไตย ยุติระบอบ [เผล่ะจัง] คณาธิปไตยครองเมือง
นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
รัฐบาล [เผล่ะจัง] คณาธิปไตยปล่อยให้อภิสิทธิชนเอาเปรียบคนไทยนำโควิด-19 เข้าประเทศ - กรณีระยองสะท้อนทัศนคดิไม่เห็นหัวประชาชนของนายกฯ
จากกรณีตรวจพบนายทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด-19 ที่ จ.ระยอง และกรณีลูกของทูตซูดานเดินทางมายังประเทศไทยโดยได้สิทธิไม่ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน สะท้อนความหละหลวมของรัฐบาลและการเลือกปฏิบัติต่ออภิสิทธิ์ชนบางกลุ่ม จนทำให้ประชาชนคนส่วนใหญ่เดือดและแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐบาล [เผล่ะจัง] คณาธิปไตย ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกดขี่ประชาชน
เหตุการณ์ที่ จ.ระยอง ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและสูญสิ้นซึ่งความไว้วางใจต่อรัฐบาล การแพร่ระบาดของโรคที่ผ่านมาตลอดหลายเดือน ประชาชนต่างร่วมกันต่อสู้ เสียสละ อดทน เพื่อป้องกันไม่ให้โควิด-19 กลับมาระบาดอีก กิจการต่างๆ ต้องปิดตามคำสั่งรัฐบาล หลายอาชีพขาดรายได้ไปหลายเดือน คนเดือดร้อนจำนวนมากมายมหาศาล ด้วยความหวังว่าโรคระบาดนี้จะหายไปจากประเทศไทยและเราจะกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง
แต่สุดท้ายรัฐบาลเองที่ผิดพลาด ปล่อยปะละเลย จนทำให้มีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศติดเชื้อโควิด-19 ได้ข้อยกเว้นไม่ต้องกักตัวเข้ามา แล้วที่ผ่านมาประชาชนจะอดทน เสียสละ ยากลำบากได้ด้วยกันเพื่ออะไร?
เดิมทีรัฐบาลอ้างว่า สถานการณ์ฉุกเฉินมีความจำเป็นในการควบคุมการระบาดของโรค พี่น้องประชาชนก็ยอมรับว่ามีความจำเป็น แต่เมื่อประเทศไทยควบคุมสถานการณ์ได้ดี ทุกคนให้ความร่วมมือจนทำให้ประเทศไทยปลอดเชื้อถึง 2 เดือนเต็ม คนก็เริ่มตั้งคำถามว่าในท้ายที่สุดแล้วประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นเครื่องมือในการป้องกันโรคระบาดจริงหรือ? หรือเป็นเครื่องมือในการควบคุม จำกัดเสรีภาพในการชุมนุม การแสดงออกของประชาชน ในการจัดการฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล
เหตุการณ์ทุกวันนี้ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว ว่าต่อให้ยังมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โรคระบาดก็ยังกลับมาได้เสมอ และต่อให้มีสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ไม่ได้หมายความว่าโรคระบาดจะหายไปจากประเทศไทย หากรัฐบาลหละหลวมอย่างกรณีที่เกิดขึ้นที่ จ.ระยอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาตั้งข้อหาประชาชนสองคนไปถือป้ายประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยข้อหาที่แปลกประหลาดที่สุด คือ ฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกมาตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน จากการทำกิจกรรมที่เสี่ยงจะก่อให้เกิดโรคระบาด โดยอธิบายว่านายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสำคัญ
แต่ในทางกลับกัน พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปพบปะกับชาวระยองในตลาด คนเดินกันขวักไขว่ คนใส่หน้ากากบ้าง ไม่ใส่บ้าง ลองพิจารณาดูว่าคนถือป้ายสองคนยืนเฉยๆ ทำไมโดนใช้กฎหมายเล่นงาน แต่กับคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เดินทางไปจำนวนมาก ไปเจอกับคนจำนวนมาก แบบไหนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดมากกว่ากัน?
ทั้งหมดนี้เกิดจากทัศนคติของนายกรัฐมนตรีที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร ที่ไม่ได้ต้องการมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ไม่เคยเอาความรู้สึกของประชาชนมาใส่ใจ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่พร้อมจะรับฟังประชาชน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มองประชาชนเป็นเหมือนลูกและเขาเป็นพ่อผู้ปกครอง
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มองว่าประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจเป็นเจ้าของประเทศ และมีความอึดอัดทุกครั้งที่ประชาชนออกมาเรียกร้อง มาแสดงความไม่เห็นด้วย อึดอัดที่ประชาชนไม่ทำตามที่ตัวเองสั่ง โมโห แสดงความไม่พอใจที่ประชาชนไม่เข้าใจตัวเอง มีแต่สั่งให้ประชาชนทำตาม
พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีทัศนคติแบบอำนาจนิยม เอะอะก็ขู่ เอะอะก็ตักเตือน เอะอะก็หลุดคำว่าระวังเอาไว้ เวลาจะขอโทษก็พูดขอโทษเหมือนให้มันพ้นๆ ไปที
"นี่หรือนายกรัฐมนตรีที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนได้ นี่หรือนายกรัฐมนตรีที่จะสามารถรวมพลัง รวมความสามัคคีกับคนในชาติ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนในการแก้ไขวิกฤติครั้งนี้?"
เราอดทนกันมานานเกินพอสมควรแล้ว เราอดทนกับรัฐบาล [เผล่ะจัง] คณาธิปไตย รัฐบาลที่ช่วยเหลือคนไม่กี่ตระกูลได้อย่างไม่ต้องลังเลใจ แต่พอต้องช่วยเหลือประชาชน กว่าจะออกมาตรการต่างๆ มาได้คิดแล้วคิดอีก ทบทวนแล้วทบทวนอีก มีข้ออ้างเสมอ แต่อีกด้านหนึ่งพร้อมที่จะเอางบประมาณไปสนับสนุนกลุ่มทุนขนาดใหญ่ หรือในการจับจ่ายซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์
คนเหล่านี้เคยคิดหรือไม่ว่าประชาชนคือเจ้านายของเขา คือผู้เสียภาษีแล้วกลายมาเป็นเงินเดือนรายได้ของพวกเขา
"ประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้"
"ประชาธิปไตยแปลว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ได้เวลาประชาชนทวงคืนอำนาจสูงสุดกลับมาอีกครั้ง ได้เวลายุติระบอบ [เผล่ะจัง] คณาธิปไตยครองเมือง"
https://www.facebook.com/2259969334286937/posts/2757555021195030/?vh=e&d=n
“เทพไท” เตือน อย่าประมาทแฟลชม็อบเสาร์นี้ แนะเปิดพื้นที่ฟังเสียงคนรุ่นใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_2269772
“เทพไท” เตือน อย่าประมาทแฟลชม็อบ เสาร์นี้ เผยเคยเป็นผู้นำนักศึกษามาก่อนขอจองคิวอภิปรายสัปดาห์หน้าหนุน ตั้ง กมธ.รับฟังความเห็นเปิดพื้นที่ให้นักศึกษา
เมื่อวันที่ 17 ก.ค.นาย
เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการนัดชุมนุมของกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.)ในวันที่ 18 ก.ค.นี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ว่า เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษารอบสอง หลังจากที่เคยเคลื่อนไหวในลักษณะแฟลชม็อบ ซึ่งกำลังจะจุดติดมาแล้วในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา และต้องยุติลงด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดน้อยลง ก็มีการจุดประกายการเคลื่อนไหวทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ในการแสดงออกทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญ และรับฟังความคิดเห็นของนิสิต นักศึกษากลุ่มนี้ด้วย อย่าประมาทพลังของนิสิตนักศึกษา เพราะเป็นกลุ่มพลังที่บริสุทธิ์ และมีความสำคัญทางการเมือง ซึ่งเคยมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาแล้ว เมื่อเหตุการณ์ 14ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519
นาย
เทพไท กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง เคยเป็นผู้นำนักศึกษามาก่อน ก็จะให้ความสำคัญกับการชุมนุมและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาในครั้งนี้ และจะขอใช้สิทธิ์ในการอภิปรายแสดงความคิดเห็นถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาในญัตติด่วน2ญัตติ ที่กำลังอยู่ในวาระการประชุมของสภาฯ และจะนำมาสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้าคือ ญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาฯพิจารณามีมติให้มีการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนนิสิตและนักศึกษา ของนายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กับญัตติเรื่อง ขอให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาเปิดพื้นที่ให้นักเรียน นิสิตนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงกับสภาฯในการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ของนายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเพื่อเป็นการรับฟังความเห็นให้รอบด้าน สภาฯควรมีมติจัดตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อรับฟังความเห็น และการมีส่วนร่วมของนิสิต นักศึกษา โดยเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็น กมธ.วิสามัญชุดนี้ด้วย
JJNY : ปิยบุตรซัดไม่เห็นหัวปชช./เทพไทแนะเปิดพื้นที่ฟังคนรุ่นใหม่/นิติคอนโดเผยสายด่วนศบค.โบ้ยไปคุยสถานทูต/ค้าปลีกอ่วม
https://voicetv.co.th/read/hiDCMmVKi
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
รัฐบาล [เผล่ะจัง] คณาธิปไตยปล่อยให้อภิสิทธิชนเอาเปรียบคนไทยนำโควิด-19 เข้าประเทศ - กรณีระยองสะท้อนทัศนคดิไม่เห็นหัวประชาชนของนายกฯ
จากกรณีตรวจพบนายทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด-19 ที่ จ.ระยอง และกรณีลูกของทูตซูดานเดินทางมายังประเทศไทยโดยได้สิทธิไม่ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน สะท้อนความหละหลวมของรัฐบาลและการเลือกปฏิบัติต่ออภิสิทธิ์ชนบางกลุ่ม จนทำให้ประชาชนคนส่วนใหญ่เดือดและแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐบาล [เผล่ะจัง] คณาธิปไตย ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกดขี่ประชาชน
เหตุการณ์ที่ จ.ระยอง ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและสูญสิ้นซึ่งความไว้วางใจต่อรัฐบาล การแพร่ระบาดของโรคที่ผ่านมาตลอดหลายเดือน ประชาชนต่างร่วมกันต่อสู้ เสียสละ อดทน เพื่อป้องกันไม่ให้โควิด-19 กลับมาระบาดอีก กิจการต่างๆ ต้องปิดตามคำสั่งรัฐบาล หลายอาชีพขาดรายได้ไปหลายเดือน คนเดือดร้อนจำนวนมากมายมหาศาล ด้วยความหวังว่าโรคระบาดนี้จะหายไปจากประเทศไทยและเราจะกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง
แต่สุดท้ายรัฐบาลเองที่ผิดพลาด ปล่อยปะละเลย จนทำให้มีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศติดเชื้อโควิด-19 ได้ข้อยกเว้นไม่ต้องกักตัวเข้ามา แล้วที่ผ่านมาประชาชนจะอดทน เสียสละ ยากลำบากได้ด้วยกันเพื่ออะไร?
เดิมทีรัฐบาลอ้างว่า สถานการณ์ฉุกเฉินมีความจำเป็นในการควบคุมการระบาดของโรค พี่น้องประชาชนก็ยอมรับว่ามีความจำเป็น แต่เมื่อประเทศไทยควบคุมสถานการณ์ได้ดี ทุกคนให้ความร่วมมือจนทำให้ประเทศไทยปลอดเชื้อถึง 2 เดือนเต็ม คนก็เริ่มตั้งคำถามว่าในท้ายที่สุดแล้วประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นเครื่องมือในการป้องกันโรคระบาดจริงหรือ? หรือเป็นเครื่องมือในการควบคุม จำกัดเสรีภาพในการชุมนุม การแสดงออกของประชาชน ในการจัดการฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล
เหตุการณ์ทุกวันนี้ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว ว่าต่อให้ยังมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โรคระบาดก็ยังกลับมาได้เสมอ และต่อให้มีสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ไม่ได้หมายความว่าโรคระบาดจะหายไปจากประเทศไทย หากรัฐบาลหละหลวมอย่างกรณีที่เกิดขึ้นที่ จ.ระยอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาตั้งข้อหาประชาชนสองคนไปถือป้ายประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยข้อหาที่แปลกประหลาดที่สุด คือ ฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกมาตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน จากการทำกิจกรรมที่เสี่ยงจะก่อให้เกิดโรคระบาด โดยอธิบายว่านายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสำคัญ
แต่ในทางกลับกัน พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปพบปะกับชาวระยองในตลาด คนเดินกันขวักไขว่ คนใส่หน้ากากบ้าง ไม่ใส่บ้าง ลองพิจารณาดูว่าคนถือป้ายสองคนยืนเฉยๆ ทำไมโดนใช้กฎหมายเล่นงาน แต่กับคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เดินทางไปจำนวนมาก ไปเจอกับคนจำนวนมาก แบบไหนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดมากกว่ากัน?
ทั้งหมดนี้เกิดจากทัศนคติของนายกรัฐมนตรีที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร ที่ไม่ได้ต้องการมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ไม่เคยเอาความรู้สึกของประชาชนมาใส่ใจ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่พร้อมจะรับฟังประชาชน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มองประชาชนเป็นเหมือนลูกและเขาเป็นพ่อผู้ปกครอง
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มองว่าประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจเป็นเจ้าของประเทศ และมีความอึดอัดทุกครั้งที่ประชาชนออกมาเรียกร้อง มาแสดงความไม่เห็นด้วย อึดอัดที่ประชาชนไม่ทำตามที่ตัวเองสั่ง โมโห แสดงความไม่พอใจที่ประชาชนไม่เข้าใจตัวเอง มีแต่สั่งให้ประชาชนทำตาม
พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีทัศนคติแบบอำนาจนิยม เอะอะก็ขู่ เอะอะก็ตักเตือน เอะอะก็หลุดคำว่าระวังเอาไว้ เวลาจะขอโทษก็พูดขอโทษเหมือนให้มันพ้นๆ ไปที
"นี่หรือนายกรัฐมนตรีที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนได้ นี่หรือนายกรัฐมนตรีที่จะสามารถรวมพลัง รวมความสามัคคีกับคนในชาติ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนในการแก้ไขวิกฤติครั้งนี้?"
เราอดทนกันมานานเกินพอสมควรแล้ว เราอดทนกับรัฐบาล [เผล่ะจัง] คณาธิปไตย รัฐบาลที่ช่วยเหลือคนไม่กี่ตระกูลได้อย่างไม่ต้องลังเลใจ แต่พอต้องช่วยเหลือประชาชน กว่าจะออกมาตรการต่างๆ มาได้คิดแล้วคิดอีก ทบทวนแล้วทบทวนอีก มีข้ออ้างเสมอ แต่อีกด้านหนึ่งพร้อมที่จะเอางบประมาณไปสนับสนุนกลุ่มทุนขนาดใหญ่ หรือในการจับจ่ายซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์
คนเหล่านี้เคยคิดหรือไม่ว่าประชาชนคือเจ้านายของเขา คือผู้เสียภาษีแล้วกลายมาเป็นเงินเดือนรายได้ของพวกเขา
"ประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้"
"ประชาธิปไตยแปลว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ได้เวลาประชาชนทวงคืนอำนาจสูงสุดกลับมาอีกครั้ง ได้เวลายุติระบอบ [เผล่ะจัง] คณาธิปไตยครองเมือง"
https://www.facebook.com/2259969334286937/posts/2757555021195030/?vh=e&d=n
“เทพไท” เตือน อย่าประมาทแฟลชม็อบเสาร์นี้ แนะเปิดพื้นที่ฟังเสียงคนรุ่นใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_2269772
“เทพไท” เตือน อย่าประมาทแฟลชม็อบ เสาร์นี้ เผยเคยเป็นผู้นำนักศึกษามาก่อนขอจองคิวอภิปรายสัปดาห์หน้าหนุน ตั้ง กมธ.รับฟังความเห็นเปิดพื้นที่ให้นักศึกษา
เมื่อวันที่ 17 ก.ค.นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการนัดชุมนุมของกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.)ในวันที่ 18 ก.ค.นี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ว่า เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษารอบสอง หลังจากที่เคยเคลื่อนไหวในลักษณะแฟลชม็อบ ซึ่งกำลังจะจุดติดมาแล้วในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา และต้องยุติลงด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดน้อยลง ก็มีการจุดประกายการเคลื่อนไหวทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ในการแสดงออกทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญ และรับฟังความคิดเห็นของนิสิต นักศึกษากลุ่มนี้ด้วย อย่าประมาทพลังของนิสิตนักศึกษา เพราะเป็นกลุ่มพลังที่บริสุทธิ์ และมีความสำคัญทางการเมือง ซึ่งเคยมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาแล้ว เมื่อเหตุการณ์ 14ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง เคยเป็นผู้นำนักศึกษามาก่อน ก็จะให้ความสำคัญกับการชุมนุมและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาในครั้งนี้ และจะขอใช้สิทธิ์ในการอภิปรายแสดงความคิดเห็นถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาในญัตติด่วน2ญัตติ ที่กำลังอยู่ในวาระการประชุมของสภาฯ และจะนำมาสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้าคือ ญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาฯพิจารณามีมติให้มีการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนนิสิตและนักศึกษา ของนายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กับญัตติเรื่อง ขอให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาเปิดพื้นที่ให้นักเรียน นิสิตนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงกับสภาฯในการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ของนายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเพื่อเป็นการรับฟังความเห็นให้รอบด้าน สภาฯควรมีมติจัดตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อรับฟังความเห็น และการมีส่วนร่วมของนิสิต นักศึกษา โดยเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็น กมธ.วิสามัญชุดนี้ด้วย