Phaya Naga
โครนิโอซูเคียน "Chroniosuchian" จัดเป็นเชื้อสายของสัตว์เลื้อยคลานเดินสี่ขาที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับจระเข้และอาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 270 ถึง 225 ล้านปีที่ผ่านมา โดยฟอสซิลของพวกมันถูกค้นพบที่บริเวณรัสเซียและจีนตอนใต้มาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามฟอสซิลของพวกมันถูกค้นพบในสภาพไม่ค่อยสมบูรณ์มากเท่าไหร่นัก ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับกายวิภาคและวิวัฒนาการของพวกมันยังไม่เป็นที่ทราบดีเท่าที่ควร
ล่าสุดนี้ทีมนักบรรพชีวินวิทยาฝรั่งเศสได้ค้นพบฟอสซิลหัวกะโหลกที่สมบูรณ์ของโครนิโอซูเคียนในบริเวณหลวงพระบาง ประเทศลาว ซึ่งมีอายุราวๆ 250 ล้านปี โดยฟอสซิลนี้ถูกตั้งให้เป็นสกุลและชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า "Laosuchus naga"
ซึ่งชื่อสกุล "ลาวซูคัส" มีความหมายว่า "จระเข้จากลาว" (ยังไม่จัดว่าเป็นเชื้อสายเดียวกับจระเข้ปัจจุบัน) และ "นากา" หมายถึง พญานาค (Phaya Naga) ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ฟอสซิลหัวกะโหลกดังกล่าวด้วยเทคนิคซีทีสแกน และพบว่าลักษณะสัณฐานวิทยาหลายประการของหัวกะโหลกนี้เหมาะกับการปรับตัวเพื่ออยู่อาศัยในน้ำ (จืด) แต่ก็สามารถอาศัยอยู่บนบกได้
การค้นพบนี้ถือเป็นหลักฐานแรกของการปรากฏของสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มนี้ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบ่งบอกว่าแผ่นดินทวีปทางตอนเหนือของประเทศจีน จีนตอนใต้ และอินโดจีนเคยเชื่อมต่อกันเมื่อประมาณช่วง 250 ล้านปีที่ผ่านมา
Cr. ภาพ en.wikipedia.org/
Reference: Thomas Arbez, Christian A. Sidor & J.-Sébastien Steyer (2018): Laosuchus naga gen. et sp. nov., a new chroniosuchian from South-East Asia (Laos) with internal structures revealed by micro-CT scan and discussion of its palaeobiology, Journal of Systematic Palaeontology, DOI: 10.1080/14772019.2018.1504827
Cr.
https://www.facebook.com/paleosara/posts/2111083192477619/
Thanatos
ลึกเข้าไปในแผ่นดินที่ในปัจจุบันถูกเรียกกันว่าแคนาดา ยังคงมีไดโนเสาร์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในช่วงยุคครีเทเชียส โดยพวกมันเป็นญาติผู้ใหญ่ของไดโนเสาร์นักล่าที่มีชื่อเสียงอย่าง “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” และราวๆ 79.5 ล้านปีต่อมาพวกมันก็ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในฐานะของฟอสซิล
ไดโนเสาร์ที่กล่าวมานี้ ได้รับการตั้งชื่อสุดเท่จากทางนักวิทยาศาสตร์ว่า “Thanatotheristes degrootorum” อ้างอิงจาก Thanatos เทพแห่งความตายของกรีกโบราณ และ Theristes ภาษากรีกแปลว่าผู้เก็บเกี่ยวหรือยมทูต
T. degrootorum มันเป็นไดโนเสาร์ตระกูลไทแรนโนซอรัสตัวแรกในรอบ 50 ปี ที่ได้รับการค้นพบในประเทศแคนาดา โดยมันถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 2010 ด้วยมือของคุณ John De Groot ในฟาร์มใกล้ๆ เมืองเฮย์ส รัฐอัลเบอร์ตา
ไดโนเสาร์ตัวนี้ มีความยาวตั้งแต่หัวจรดหางอยู่ที่ราวๆ 8 เมตร สูงราวๆ 2.4 เมตร หนักได้เกือบ 2 ตัน และมีจุดเด่นสำคัญอยู่ขนาดตัวโดยรวมที่เล็กและเบากว่าไทแรนโนซอรัสทั่วไป บวกกับกะโหลกศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าซึ่งมีสันเขาแนวตั้งไล่ตั้งแต่ดวงตาไปถึงจมูกของมัน
ในปัจจุบันเรายังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด T. degrootorum จึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากไทแรนโนซอรัสอื่นๆ ขนาดนี้ แต่ด้วยความที่มันเป็นไทแรนโนซอรัสที่มีความเก่าแก่มาก มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าลักษณะเหล่านี้จะมาจากการใช้ชีวิตและประเภทของอาหารที่มันกิน
และแม้ว่า T. degrootorum จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ก็ตาม การค้นพบในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญมากๆ อยู่ดี นั่นเพราะการค้นพบ T. degrootorum นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างแห่งการวัฒนาการของไดโนเสาร์ในสายพันธุ์ไทแรนโนซอรัสเลยนั่นเอง
ที่มา foxnews, livescience
Cr.
https://www.catdumb.tv/thanatotheristes-degrootorum-378/ By เหมียวศรัทธา
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโบราณ 3 ชนิด
ในช่วงทศวรรษ 1930 หรือเกือบๆ 90 ปี ที่แล้ว มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) จำนวนมากในหินทรายและหินดิน เหนียวอยู่ภายในพื้นที่โบราณคดีไฟรอารี (Friary Formation) เมืองซานดิเอโก รัฐ แคลิฟอร์เนีย แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนึ่งในการค้นพบของนักบรรพชีวินวิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติซานดิเอโกในยุคนั้น ก็คือการได้พบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ 3 ชนิดที่ไม่สามารถอธิบายได้
แต่ในอีก 10 ปีต่อมานักศึกษาและอาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสในเมืองออสติน ก็มาสานต่อการค้นคว้าเกี่ยวกับสัตว์ทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว โดยศึกษาจากฟันของพวกมัน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงวิวัฒนาการความเป็นมาในอดีตของสัตว์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นขนาดและอาหาร
ทีมวิจัยได้ตั้งชื่อให้กับซากฟอสซิลทั้ง 3 ชนิดว่า Ekwiiyemakius walshi , Gunnelltarsius randalli และ Brontomomys cerutti (มาจากคำภาษากรีก brontē หมายถึง ฟ้าร้อง)รวมทั้งสามารถระบุว่าซากเหล่านี้เป็นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับไพรเมท (primate) จัดอยู่ในวงศ์โอโมมายเด (Omomyidae) ที่อาศัยอยู่ในยุคอีโอซีน (Eocene) เป็นยุคแรกเริ่มที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือกำเนิดขึ้น
สัตว์เหล่านี้น่าจะมีชีวิตอยู่ระหว่าง 42-46 ล้านปีที่แล้ว พร้อมแจกแจงว่า Ekwiiyemakius walshi ที่มีขนาดเล็กที่สุดใน 3 สายพันธุ์ใหม่นี้น่าจะมีน้ำหนัก 113-125 กรัม ส่วน Gunnelltarsius randalli อาจหนัก 275-303 กรัม ในขณะที่เชื่อว่า Brontomomys cerutti จะมีขนาดใหญ่และหนัก 719-796 กรัม.
ที่มา
http://www.sci-news.com/paleontology/omomyine-primates-06353.html
Cr. Painting on marble by Randwulph
Cr.
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1374806
human scrotum
ในปี 1676 มีการค้นพบชิ้นส่วนกระดูกในเหมืองหิน เมืองอ็อกฟอร์ดเชียร์ สหราชอาณาจักร นายโธมัส เพนนิสตัน ได้ส่งกระดูกชิ้นนั้นให้ นายโรเบิร์ต พล็อต (Robert Plot) ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์แอชโมลีน หนึ่งปีต่อมา นายพล็อตก็ได้ตีพิมพ์รูปร่างลักษณะของกระดูกชิ้นนั้นในหนังสือ "The Natural History of Oxford-shire"
โดยระบุว่า เหมือนส่วนล่างของกระดูกต้นขา (Femur) ของคนหรือสัตว์บางชนิด ซึ่ง "ถูกทำให้เป็นหิน" หรือกลายเป็นฟอสซิล ตอนนั้นนายพล็อตเชื่อว่าเป็นกระดูกขาของช้างศึกสมัยอาณาจักรโรมัน แต่ต่อมาไม่นาน เขาได้เปลี่ยนข้อสรุปว่าเป็นกระดูกขาของมนุษย์ยักษ์ เพราะเห็นความสอดคล้องกับลักษณะที่อธิบายในพระคัมภีร์ไบเบิล
เกือบร้อยปีหลังจากนั้น ในปี 1763 นายริชาร์ด บรูคส์ (Richard Brookes) ได้นำภาพลักษณะกระดูกที่นายพล็อตตีพิมพ์ ในหนังสือชุด "A System of Natural History" โดยเพิ่มข้อความประกอบภาพกระดูกชิ้นนั้น ว่าเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของเจ้าของกระดูก โดยข้อความนั้นเขียนว่า Scrotum humanum
ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อแรกของเมกะโลซอรัสที่ได้รับการตีพิมพ์นั่นเอง
นายบรูคส์ตั้งตามลักษณะของกระดูกที่เหมือนกับ "human scrotum" หรือ "อัณฑะของมนุษย์" ขนาดใหญ่ ต่อมาในปี 1815 นายวิลเลียม บัคแลนด์ (William Buckland) นักบรรพชีวินวิทยาเข้าไปทำการศึกษาขุดค้นฟอสซิลในพื้นที่เดิมที่มีการค้นพบ Scrotum humanum ตัวนี้ นายบัคแลนด์พบชิ้นส่วนอื่น ๆ ซึ่งประกอบกันได้เป็นตัว ทำให้ยืนยันได้ว่ากระดูกทั้งหลายที่พบในเหมืองหินแห่งนี้เป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์
ต่อมา ในปี 1824 นายบัคแลนด์ตีพิมพ์เอกสารชื่อ "Notice on the Megalosaurus or great Fossil Lizard of Stonesfield" ซึ่งบรรยายลักษณะของโครงกระดูกของเมกะโลซอรัสที่ค้นพบในแหล่งเหมืองหินดังกล่าว Megalosaurus เป็นชื่อที่นายบัคแลนด์ตั้งให้กิ้งก่าโบราณขนาดยักษ์ตัวนี้ โดยได้คำแนะนำมาจากเพื่อนศัลยแพทย์ เจมส์ พาร์กินสัน (James Parkinson) คนเดียวกันที่ค้นพบโรคพาร์กินสัน
ดังนั้น ชื่อวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการของไดโนเสาร์สายพันธุ์แรกที่ค้นพบนี้ก็ได้รับความเมตตาให้เปลี่ยนจาก "Scrotum humanum" (อัณฑะมนุษย์) มาเป็นชื่ออันไพเราะว่า "Megalosaurus bucklandii"
ที่มา Dinosaur Planet
Cr.ภาพ researchgate.net/
Cr.
https://www.facebook.com/dinosaurplanetbangkok/posts/1140376202749726/
Hell pig
น้ำหนักมากกว่า 900 กิโลกรัม ขนาดตัวที่ใหญ่โต และเขี้ยวแหลมคม คือลักษณะโดยรวมของ “เอนเทโลดอนต์” (Entelodont) กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ได้รับชื่อเล่นสุดโหดจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ว่า “หมูนรก” (Hell pig)
เอนเทโลดอนต์ เป็นสัตว์โบราณที่อาศัยอยู่บนโลกมาตั้งแต่ในช่วงกลางของยุคพาลีโอจีน หรือเมื่อราวๆ 37-16 ล้านปีก่อน ในหลากหลายพื้นที่ของโลกตั้งแต่ที่อเมริกาเหนือ ยุโรป หรือแม้กระทั่งเอเชีย และมีสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชื่อ Daeodon ซึ่งถูกค้นพบที่รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา
ที่นับว่าเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง (หากไม่นับไดโนเสาร์) ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือเลยก็ว่าได้ เพราะแม้แต่เอนเทโลดอนต์ที่มีขนาดเล็กที่สุดที่เราเคยพบ มันก็ยังมีขนาดเท่ากับกวางโตเต็มวัย ส่วนเอนเทโลดอนต์ขนาดใหญ่นั้นสามารถมีขนาดได้เท่าๆ กับม้าคลายเดสเดล (ม้าที่อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ม้างาน)
จากฟอสซิลที่เคยมีการค้นพบมาของเอนเทโลดอนต์นั้น ทำให้ทราบว่าหมูนรกเหล่านี้มีขนาดส่วนหัวที่ใหญ่โตมาก โดยเฉลี่ยแล้วส่วนหัวของพวกมันจะมีมวลมากถึง 35-45% ของมวลร่างกายทั้งหมด และถูกสันนิษฐานโดยผู้เชี่ยวชาญว่าเวลาพวกมันสู้กันมันจะสามารถยัดหัวของอีกฝ่ายไว้ในปากตัวเองได้
นอกจากนั้นยังมีเขี้ยวขนาดใหญ่เท่าๆ กับแขนของมนุษย์เรียงอยู่ในสภาพพร้อมฉีกร่างเหยื่อให้เป็นชิ้นๆ ทำให้พวกมันถูกเรียกกันว่า หมูนรก หรือ หมูเทอร์มิเนเตอร์ในบางครั้ง
หมูนรกเหล่านี้จะมีฟันหน้าที่น่ากลัว แต่ฟันด้านในกลับเป็นแบบเรียบซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าพวกมันไม่ใช่นักล่าที่กินแต่เนื้อ แต่น่าจะเป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งอาศัยฟันหน้าที่แหลมคมในการขุดดินหารากไม้เป็นอาหาร
ที่มา allthatsinteresting
Cr.
https://www.catdumb.com/entelodont-378/By เหมียวศรัทธา
Cambroraster falcatus
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ภายในวารสาร Proceedings of the Royal Society B ทีมนักบรรพชีวินจากพิพิธภัณฑ์ออนแทรีโอในแคนาดาได้ทำการออกมาเปิดเผยการค้นพบฟอสซิลสัตว์โบราณสายพันธุ์ใหม่ ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Kootenay ประเทศแคนาดา
โดยฟอสซิลที่ถูกพบในครั้งนี้เป็นเปลือกขนาดใหญ่ของสัตว์จากยุคแคมเบรียน (ราวๆ 506 ล้านปีก่อน) มีลักษณะคล้ายกับปลากระเบนหรือแมงดาในปัจจุบัน และสำหรับนักบรรพชีวินหลายๆ คนแล้วดูคล้ายกับยานมิลเลนเนียม ฟอลคอนในสตาร์ วอร์ส ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อให้มันว่า “Cambroraster falcatus” โดยชื่อหลัง “Falcatus” ของมันก็มาจากยานมิลเลนเนียม ฟอลคอนนั่นเอง
อ้างอิงจากนักบรรพชีวิน C. falcatus จะมีขนาดตอนโตเต็มวัยพอๆ กับขนาดของศีรษะมนุษย์ และมีตัวที่ความยาวอยู่ที่ 30 ซม. ซึ่งสัตว์ส่วนใหญ่ที่พบในยุคแคมเบรียนนั้น มักจะมีขนาดแค่เพียงนิ้วก้อยของคนเท่านั้น จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โธพอด หรือกลุ่มสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงมุมและเป็นสัตว์นักล่า
ที่มา livescience, cbc
Cr.
https://www.catdumb.tv/cambroraster-falcatus-378/ By เหมียวศรัทธา
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ได้รับการตั้งชื่อแบบแปลกๆ
โครนิโอซูเคียน "Chroniosuchian" จัดเป็นเชื้อสายของสัตว์เลื้อยคลานเดินสี่ขาที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับจระเข้และอาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 270 ถึง 225 ล้านปีที่ผ่านมา โดยฟอสซิลของพวกมันถูกค้นพบที่บริเวณรัสเซียและจีนตอนใต้มาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามฟอสซิลของพวกมันถูกค้นพบในสภาพไม่ค่อยสมบูรณ์มากเท่าไหร่นัก ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับกายวิภาคและวิวัฒนาการของพวกมันยังไม่เป็นที่ทราบดีเท่าที่ควร
ล่าสุดนี้ทีมนักบรรพชีวินวิทยาฝรั่งเศสได้ค้นพบฟอสซิลหัวกะโหลกที่สมบูรณ์ของโครนิโอซูเคียนในบริเวณหลวงพระบาง ประเทศลาว ซึ่งมีอายุราวๆ 250 ล้านปี โดยฟอสซิลนี้ถูกตั้งให้เป็นสกุลและชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า "Laosuchus naga"
ซึ่งชื่อสกุล "ลาวซูคัส" มีความหมายว่า "จระเข้จากลาว" (ยังไม่จัดว่าเป็นเชื้อสายเดียวกับจระเข้ปัจจุบัน) และ "นากา" หมายถึง พญานาค (Phaya Naga) ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ฟอสซิลหัวกะโหลกดังกล่าวด้วยเทคนิคซีทีสแกน และพบว่าลักษณะสัณฐานวิทยาหลายประการของหัวกะโหลกนี้เหมาะกับการปรับตัวเพื่ออยู่อาศัยในน้ำ (จืด) แต่ก็สามารถอาศัยอยู่บนบกได้
การค้นพบนี้ถือเป็นหลักฐานแรกของการปรากฏของสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มนี้ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบ่งบอกว่าแผ่นดินทวีปทางตอนเหนือของประเทศจีน จีนตอนใต้ และอินโดจีนเคยเชื่อมต่อกันเมื่อประมาณช่วง 250 ล้านปีที่ผ่านมา
Cr. ภาพ en.wikipedia.org/
Reference: Thomas Arbez, Christian A. Sidor & J.-Sébastien Steyer (2018): Laosuchus naga gen. et sp. nov., a new chroniosuchian from South-East Asia (Laos) with internal structures revealed by micro-CT scan and discussion of its palaeobiology, Journal of Systematic Palaeontology, DOI: 10.1080/14772019.2018.1504827
Cr.https://www.facebook.com/paleosara/posts/2111083192477619/
Thanatos
ลึกเข้าไปในแผ่นดินที่ในปัจจุบันถูกเรียกกันว่าแคนาดา ยังคงมีไดโนเสาร์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในช่วงยุคครีเทเชียส โดยพวกมันเป็นญาติผู้ใหญ่ของไดโนเสาร์นักล่าที่มีชื่อเสียงอย่าง “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” และราวๆ 79.5 ล้านปีต่อมาพวกมันก็ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในฐานะของฟอสซิล
ไดโนเสาร์ที่กล่าวมานี้ ได้รับการตั้งชื่อสุดเท่จากทางนักวิทยาศาสตร์ว่า “Thanatotheristes degrootorum” อ้างอิงจาก Thanatos เทพแห่งความตายของกรีกโบราณ และ Theristes ภาษากรีกแปลว่าผู้เก็บเกี่ยวหรือยมทูต
T. degrootorum มันเป็นไดโนเสาร์ตระกูลไทแรนโนซอรัสตัวแรกในรอบ 50 ปี ที่ได้รับการค้นพบในประเทศแคนาดา โดยมันถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 2010 ด้วยมือของคุณ John De Groot ในฟาร์มใกล้ๆ เมืองเฮย์ส รัฐอัลเบอร์ตา
ไดโนเสาร์ตัวนี้ มีความยาวตั้งแต่หัวจรดหางอยู่ที่ราวๆ 8 เมตร สูงราวๆ 2.4 เมตร หนักได้เกือบ 2 ตัน และมีจุดเด่นสำคัญอยู่ขนาดตัวโดยรวมที่เล็กและเบากว่าไทแรนโนซอรัสทั่วไป บวกกับกะโหลกศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าซึ่งมีสันเขาแนวตั้งไล่ตั้งแต่ดวงตาไปถึงจมูกของมัน
ในปัจจุบันเรายังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด T. degrootorum จึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากไทแรนโนซอรัสอื่นๆ ขนาดนี้ แต่ด้วยความที่มันเป็นไทแรนโนซอรัสที่มีความเก่าแก่มาก มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าลักษณะเหล่านี้จะมาจากการใช้ชีวิตและประเภทของอาหารที่มันกิน
และแม้ว่า T. degrootorum จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ก็ตาม การค้นพบในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญมากๆ อยู่ดี นั่นเพราะการค้นพบ T. degrootorum นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างแห่งการวัฒนาการของไดโนเสาร์ในสายพันธุ์ไทแรนโนซอรัสเลยนั่นเอง
ที่มา foxnews, livescience
Cr.https://www.catdumb.tv/thanatotheristes-degrootorum-378/ By เหมียวศรัทธา
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโบราณ 3 ชนิด
ในช่วงทศวรรษ 1930 หรือเกือบๆ 90 ปี ที่แล้ว มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) จำนวนมากในหินทรายและหินดิน เหนียวอยู่ภายในพื้นที่โบราณคดีไฟรอารี (Friary Formation) เมืองซานดิเอโก รัฐ แคลิฟอร์เนีย แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนึ่งในการค้นพบของนักบรรพชีวินวิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติซานดิเอโกในยุคนั้น ก็คือการได้พบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ 3 ชนิดที่ไม่สามารถอธิบายได้
แต่ในอีก 10 ปีต่อมานักศึกษาและอาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสในเมืองออสติน ก็มาสานต่อการค้นคว้าเกี่ยวกับสัตว์ทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว โดยศึกษาจากฟันของพวกมัน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงวิวัฒนาการความเป็นมาในอดีตของสัตว์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นขนาดและอาหาร
ทีมวิจัยได้ตั้งชื่อให้กับซากฟอสซิลทั้ง 3 ชนิดว่า Ekwiiyemakius walshi , Gunnelltarsius randalli และ Brontomomys cerutti (มาจากคำภาษากรีก brontē หมายถึง ฟ้าร้อง)รวมทั้งสามารถระบุว่าซากเหล่านี้เป็นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับไพรเมท (primate) จัดอยู่ในวงศ์โอโมมายเด (Omomyidae) ที่อาศัยอยู่ในยุคอีโอซีน (Eocene) เป็นยุคแรกเริ่มที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือกำเนิดขึ้น
สัตว์เหล่านี้น่าจะมีชีวิตอยู่ระหว่าง 42-46 ล้านปีที่แล้ว พร้อมแจกแจงว่า Ekwiiyemakius walshi ที่มีขนาดเล็กที่สุดใน 3 สายพันธุ์ใหม่นี้น่าจะมีน้ำหนัก 113-125 กรัม ส่วน Gunnelltarsius randalli อาจหนัก 275-303 กรัม ในขณะที่เชื่อว่า Brontomomys cerutti จะมีขนาดใหญ่และหนัก 719-796 กรัม.
ที่มา http://www.sci-news.com/paleontology/omomyine-primates-06353.html
Cr. Painting on marble by Randwulph
Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1374806
human scrotum
ในปี 1676 มีการค้นพบชิ้นส่วนกระดูกในเหมืองหิน เมืองอ็อกฟอร์ดเชียร์ สหราชอาณาจักร นายโธมัส เพนนิสตัน ได้ส่งกระดูกชิ้นนั้นให้ นายโรเบิร์ต พล็อต (Robert Plot) ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์แอชโมลีน หนึ่งปีต่อมา นายพล็อตก็ได้ตีพิมพ์รูปร่างลักษณะของกระดูกชิ้นนั้นในหนังสือ "The Natural History of Oxford-shire"
โดยระบุว่า เหมือนส่วนล่างของกระดูกต้นขา (Femur) ของคนหรือสัตว์บางชนิด ซึ่ง "ถูกทำให้เป็นหิน" หรือกลายเป็นฟอสซิล ตอนนั้นนายพล็อตเชื่อว่าเป็นกระดูกขาของช้างศึกสมัยอาณาจักรโรมัน แต่ต่อมาไม่นาน เขาได้เปลี่ยนข้อสรุปว่าเป็นกระดูกขาของมนุษย์ยักษ์ เพราะเห็นความสอดคล้องกับลักษณะที่อธิบายในพระคัมภีร์ไบเบิล
เกือบร้อยปีหลังจากนั้น ในปี 1763 นายริชาร์ด บรูคส์ (Richard Brookes) ได้นำภาพลักษณะกระดูกที่นายพล็อตตีพิมพ์ ในหนังสือชุด "A System of Natural History" โดยเพิ่มข้อความประกอบภาพกระดูกชิ้นนั้น ว่าเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของเจ้าของกระดูก โดยข้อความนั้นเขียนว่า Scrotum humanum
ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อแรกของเมกะโลซอรัสที่ได้รับการตีพิมพ์นั่นเอง
นายบรูคส์ตั้งตามลักษณะของกระดูกที่เหมือนกับ "human scrotum" หรือ "อัณฑะของมนุษย์" ขนาดใหญ่ ต่อมาในปี 1815 นายวิลเลียม บัคแลนด์ (William Buckland) นักบรรพชีวินวิทยาเข้าไปทำการศึกษาขุดค้นฟอสซิลในพื้นที่เดิมที่มีการค้นพบ Scrotum humanum ตัวนี้ นายบัคแลนด์พบชิ้นส่วนอื่น ๆ ซึ่งประกอบกันได้เป็นตัว ทำให้ยืนยันได้ว่ากระดูกทั้งหลายที่พบในเหมืองหินแห่งนี้เป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์
ต่อมา ในปี 1824 นายบัคแลนด์ตีพิมพ์เอกสารชื่อ "Notice on the Megalosaurus or great Fossil Lizard of Stonesfield" ซึ่งบรรยายลักษณะของโครงกระดูกของเมกะโลซอรัสที่ค้นพบในแหล่งเหมืองหินดังกล่าว Megalosaurus เป็นชื่อที่นายบัคแลนด์ตั้งให้กิ้งก่าโบราณขนาดยักษ์ตัวนี้ โดยได้คำแนะนำมาจากเพื่อนศัลยแพทย์ เจมส์ พาร์กินสัน (James Parkinson) คนเดียวกันที่ค้นพบโรคพาร์กินสัน
ดังนั้น ชื่อวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการของไดโนเสาร์สายพันธุ์แรกที่ค้นพบนี้ก็ได้รับความเมตตาให้เปลี่ยนจาก "Scrotum humanum" (อัณฑะมนุษย์) มาเป็นชื่ออันไพเราะว่า "Megalosaurus bucklandii"
ที่มา Dinosaur Planet
Cr.ภาพ researchgate.net/
Cr.https://www.facebook.com/dinosaurplanetbangkok/posts/1140376202749726/
Hell pig
น้ำหนักมากกว่า 900 กิโลกรัม ขนาดตัวที่ใหญ่โต และเขี้ยวแหลมคม คือลักษณะโดยรวมของ “เอนเทโลดอนต์” (Entelodont) กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ได้รับชื่อเล่นสุดโหดจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ว่า “หมูนรก” (Hell pig)
เอนเทโลดอนต์ เป็นสัตว์โบราณที่อาศัยอยู่บนโลกมาตั้งแต่ในช่วงกลางของยุคพาลีโอจีน หรือเมื่อราวๆ 37-16 ล้านปีก่อน ในหลากหลายพื้นที่ของโลกตั้งแต่ที่อเมริกาเหนือ ยุโรป หรือแม้กระทั่งเอเชีย และมีสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชื่อ Daeodon ซึ่งถูกค้นพบที่รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา
ที่นับว่าเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง (หากไม่นับไดโนเสาร์) ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือเลยก็ว่าได้ เพราะแม้แต่เอนเทโลดอนต์ที่มีขนาดเล็กที่สุดที่เราเคยพบ มันก็ยังมีขนาดเท่ากับกวางโตเต็มวัย ส่วนเอนเทโลดอนต์ขนาดใหญ่นั้นสามารถมีขนาดได้เท่าๆ กับม้าคลายเดสเดล (ม้าที่อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ม้างาน)
จากฟอสซิลที่เคยมีการค้นพบมาของเอนเทโลดอนต์นั้น ทำให้ทราบว่าหมูนรกเหล่านี้มีขนาดส่วนหัวที่ใหญ่โตมาก โดยเฉลี่ยแล้วส่วนหัวของพวกมันจะมีมวลมากถึง 35-45% ของมวลร่างกายทั้งหมด และถูกสันนิษฐานโดยผู้เชี่ยวชาญว่าเวลาพวกมันสู้กันมันจะสามารถยัดหัวของอีกฝ่ายไว้ในปากตัวเองได้
นอกจากนั้นยังมีเขี้ยวขนาดใหญ่เท่าๆ กับแขนของมนุษย์เรียงอยู่ในสภาพพร้อมฉีกร่างเหยื่อให้เป็นชิ้นๆ ทำให้พวกมันถูกเรียกกันว่า หมูนรก หรือ หมูเทอร์มิเนเตอร์ในบางครั้ง
หมูนรกเหล่านี้จะมีฟันหน้าที่น่ากลัว แต่ฟันด้านในกลับเป็นแบบเรียบซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าพวกมันไม่ใช่นักล่าที่กินแต่เนื้อ แต่น่าจะเป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งอาศัยฟันหน้าที่แหลมคมในการขุดดินหารากไม้เป็นอาหาร
ที่มา allthatsinteresting
Cr.https://www.catdumb.com/entelodont-378/By เหมียวศรัทธา
Cambroraster falcatus
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ภายในวารสาร Proceedings of the Royal Society B ทีมนักบรรพชีวินจากพิพิธภัณฑ์ออนแทรีโอในแคนาดาได้ทำการออกมาเปิดเผยการค้นพบฟอสซิลสัตว์โบราณสายพันธุ์ใหม่ ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Kootenay ประเทศแคนาดา
โดยฟอสซิลที่ถูกพบในครั้งนี้เป็นเปลือกขนาดใหญ่ของสัตว์จากยุคแคมเบรียน (ราวๆ 506 ล้านปีก่อน) มีลักษณะคล้ายกับปลากระเบนหรือแมงดาในปัจจุบัน และสำหรับนักบรรพชีวินหลายๆ คนแล้วดูคล้ายกับยานมิลเลนเนียม ฟอลคอนในสตาร์ วอร์ส ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อให้มันว่า “Cambroraster falcatus” โดยชื่อหลัง “Falcatus” ของมันก็มาจากยานมิลเลนเนียม ฟอลคอนนั่นเอง
อ้างอิงจากนักบรรพชีวิน C. falcatus จะมีขนาดตอนโตเต็มวัยพอๆ กับขนาดของศีรษะมนุษย์ และมีตัวที่ความยาวอยู่ที่ 30 ซม. ซึ่งสัตว์ส่วนใหญ่ที่พบในยุคแคมเบรียนนั้น มักจะมีขนาดแค่เพียงนิ้วก้อยของคนเท่านั้น จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โธพอด หรือกลุ่มสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงมุมและเป็นสัตว์นักล่า
ที่มา livescience, cbc
Cr. https://www.catdumb.tv/cambroraster-falcatus-378/ By เหมียวศรัทธา
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)