สถานที่ที่สุดเหล่านี้มีในโลก

สถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ที่สุดในโลก
(ละติจูดที่ 54°S – 62°S ได้แก่ SA7, SA21, SA20, SA19, SA18, SA9, SA13, SA15, SA16, SA14)
ในอากาศนั้นเต็มไปด้วยอนุภาคมลพิษปนเปื้อนที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ทั้งละอองลอยชีวภาพ (Bioaerosol – ไวรัส แบคทีเรีย รา จุลินทรีย์ต่าง) และละอองลอยแอโรซอล (Aerosol – ฝุ่น แก๊ซ เชื้อเพลิง) ที่ปลิวมาจากส่วนอื่นของโลก ซึ่งแม้จะอยู่ไกลเป็นพันกิโลเมตรก็สามารถปลิวมาได้ แต่สถานที่แห่งนี้กลับพบอนุภาคเหล่านั้นน้อยมากจนแทบจะเป็นศูนย์

สถานที่แห่งนั้นคือ ละติจูดที่ 54°S – 62°S พื้นที่แห่งหนึ่ง ณ มหาสมุทรแอนตาร์คติก (Southern Ocean) โดยพบว่า อากาศบริเวณนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากมลภาวะที่มาจากการใช้ชีวิตของมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเลย

และจากข้อมูลที่ระบุอยู่ในวารสารวิทยาศาสตร์ pnas แสดงให้เห็นว่า อากาศในบริเวณดังกล่าวแทบจะตรวจไม่พบละอองที่ได้กล่าวถึงไปตอนต้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ แบคทีเรียในอากาศที่พบ ณ พื้นที่ของประเทศจีน พบว่าต่างกันมากถึง 16-40 เท่า  เพราะมันยังไม่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มเมฆที่สะสมอากาศเสียจนควบแน่นและตกลงมาเป็นเม็ดฝน ว่าแต่ทำไมพื้นที่แห่งนี้ถึงดีขนาดนั้น 

โซเนีย ไครเดนไวส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด พร้อมด้วยทีมจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งออสเตรเลีย ที่ทำการศึกษาปัญหาสภาพแวดล้อมโลกอย่างจริงจัง โดยการแล่นเรือจากเกาะทัสเมเนีย (Tasmania) มุ่งสู่มหาสมุทรใต้ (Southern Ocean) เพื่อเก็บข้อมูลมลภาวะโลกร้อนให้ได้มากที่สุด และบังเอิญพบกับพื้นที่แห่งนี้โดยบังเอิญ อธิบายว่า
 
“ปกติในพื้นที่แถบนี้จะได้รับมลภาวะจากลมที่พัดเอาอากาศจากในซิดนีย์ตามมาด้วย แต่เมื่อเราลองตรวจสอบอากาศ ณ พื้นที่ดังกล่าว (จากระดับผิวทะเล ขึ้นไปถึง 1.9 กิโลเมตรบนอากาศ) กลับแทบไม่พบอากาศเสียใด ๆ เลย (ค่าความบริสุทธิ์อยู่ที่ 99.2%) มันทำให้เราตะลึงเป็นอย่างมาก

ส่วนสาเหตุสำคัญอาจเป็นเพราะ กระแสน้ำที่ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เกิดอ็อกซิเจนจำนวนมาก เมื่อเกิดอากาศเสีย พวกมันจะถูกฟอกด้วยกระบวนการดังกล่าวก็เป็นได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่เรายังไม่ทราบถึงความน่าสนใจ ณ พื้นที่แห่งนี้ แน่นอนว่างานวิจัยเรื่องโลกร้อนก็ต้องดำเนินต่อไป และตอนนี้เรามีงานใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย คือการสำรวจพื้นที่แห่งนี้เพิ่มเติมนั่นเอง”

ในแต่ละปี มีคนเสียชีวิตจากมลพิษในอากาศ ปีละกว่า 7 ล้านคน โดยอินเดียคือประเทศที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ระดับดัชนีคุณภาพอากาศของนิวเดลีอยู่ที่ 299 ซึ่งสูงกว่าระดับที่ควรจะเป็นถึง 6 เท่า และยังมีอีก 14 เมืองในประเทศ ที่ติดท็อปในตารางของเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษสูง
 
พืชบนพื้นดินผลิตออกซิเจนให้แก่ชั้นบรรยากาศโลกไม่ถึง 20% เพราะที่เหลืออีกว่า 80%  “แพลงก์ตอนในทะเล” เป็นผู้ผลิด ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลเรื่องภาวะโลกร้อน เมื่อปี 1950 – 2019 พบว่า แพลงก์ตอนได้หายไปจากทะเลแล้วกว่า 40% โดยมีสาเหตุหลักจากความแปรปรวนของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นเพราะภาวะโลกร้อน
Cr.https://www.flagfrog.com/found-cleanest-air-on-earth/ โดย ManoshFiz


สถานที่ที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก

ในงานวิจัยล่าสุดนักบรรพชีวินวิทยาระบุว่าพื้นที่บริเวณหนึ่งในประเทศโมร็อกโกด้านตะวันออกเฉียงใต้ตรงขอบทะเลทรายซาฮาร่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เพราะบริเวณนั้นชุมนุมไปด้วยไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ทั้งที่อยู่บนบกและในน้ำรวมทั้งพวกที่บินได้อยู่เต็มไปหมด

บริเวณดังกล่าวเรียกว่า Kem Kem beds  อยู่ตรงช่วงรอยต่อระหว่างประเทศโมร็อกโกกับประเทศแอลจีเรีย ชั้นหินบริเวณนี้มีอายุอยู่ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีไม่เพียงแต่นักบรรพชีวินวิทยาเท่านั้น ยังรวมถึงนักล่าฟอสซิลในเชิงพาณิชย์ที่หมายถึงซากของไดโนเสาร์โบราณ สัตว์เลื้อยคลาน และสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่กระจัดกระจายไปทั่วโลก 

จากการวิเคราะห์ฟอสซิลที่พบใน Kem Kem beds มาอย่างยาวนาน นักวิจัยเปิดเผยว่าในพื้นที่บริเวณนี้เมื่อราว 100 ล้านปีก่อนมีไดโนเสาร์กินเนื้ออยู่อาศัยรวมกันเป็นจำนวนมาก มีทั้งพวกที่อาศัยอยู่บนบกที่มีขนาดใหญ่มากพอๆกับไดโนเสาร์พันธุ์ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์, พวกไดโนเสาร์นักล่าประเภทที่บินได้ และพวกนักล่าคล้ายจระเข้ซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำ ในช่วงเวลานั้นบริเวณนี้มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นทะเลทรายอย่างในปัจจุบัน
 
งานวิจัยนี้ได้มีการรวบรวมข้อมูลและหลักฐานต่างๆที่มีการค้นพบมาตลอดเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่นักบรรพชีวินวิทยาชาวเยอรมัน Ernst Freiherr Stromer von Reichenbach ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาในปี 1936 เป็นผลงานที่ครอบคลุมมากที่สุดเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ได้จากซากฟอสซิลที่พบในทะเลทรายซาฮาร่า

นักวิจัยบอกว่าระบบนิเวศของ Kem Kem เป็นสถานที่ลึกลับในเชิงนิเวศวิทยาอย่างแท้จริง เพราะระบบนิเวศโดยทั่วไปสัตว์กินพืชจะต้องมีจำนวนมากกว่าสัตว์กินเนื้อ และสัตว์กินเนื้อจะต้องมีหลายๆขนาด โดยมีชนิดที่ขนาดใหญ่สุดชนิดเดียวครองอำนาจเหนือสัตว์ชนิดอื่น แต่ที่ Kem Kem กลับพบฟอสซิลของไดโนเสาร์กินเนื้อมากกว่า และมีไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่หลายชนิดอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เช่น Carcharodontosaurus, Spinosaurus, Abelisaur และ Deltadromeus ซึ่งพวกนี้มีขนาดใหญ่เท่ากับไดโนเสาร์พันธุ์ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์

(Cr.ภาพ deviantart.com)
 
นี่เป็นสิ่งผิดปกติถึงแม้จะเป็นไดโนเสาร์ในยุคโบราณก็ตาม เพราะถ้าหากดูจากไดโนเสาร์พันธุ์ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ซึ่งมีอยู่ในอเมริกาเหนือในอีกหลายสิบล้านปีต่อมาพวกมันก็ครองความยิ่งใหญ่แต่เพียงสายพันธ์ุเดียว มันจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ไดโนเสาร์นักล่าขนาดใหญ่ใน Kem Kem จะกินกันเอง พวกมันน่าจะกินปลาที่มีขนาดใหญ่และมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในบริเวณนี้มากกว่า เช่น ปลาซีลาแคนท์ที่มีขนาดของรถยนต์และปลาฉนาก (sawfish) ที่มีความยาวถึง 25 ฟุต


(ซากฟอสซิล Abelisaurid ที่พบบริเวณนี้ Cr.https://blog.everythingdinosaur.co.uk/ )
“สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยปลาที่มีขนาดมหึมา รวมถึงปลาซีลาแคนท์ยักษ์และปลาปอด” David Martill นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัย Portsmouth กล่าว “และยังมีฉลามน้ำจืดขนาดมหึมาชื่อ Onchopristis ที่มีฟันน่ากลัวเหมือนหนามแต่มันวาวสวยงาม”  
ข้อมูลและภาพจาก cnn, sciencealert
Cr. https://www.takieng.com/stories/19178
 
 


หน้าผาที่หน้าผาที่เสียวที่สุดของฟยอร์ดนอร์เวย์
Trolltunga เป็นภาษานอร์เวย์ แปลว่า “ลิ้นของโทรลล์” (Troll’s Tongue) ตามลักษณะที่เป็นแผ่นหินบางชี้ยื่นออกมาจากผา ที่ความสูง 2,300 ฟุต
(700 เมตร) เหนือทะเลสาบ Ringedalsvatnet ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Sørfjorden Fjord ในเมือง Odda มณฑล Hardanger ทางตะวันตกของประเทศนอร์เวย์ บนยอดผา
นักเดินทางจะได้ชื่นชมทิวทัศน์ของภูมิประเทศแบบเฉพาะที่เรียกกันว่า ฟยอร์ด (Fjord) ซึ่งมีลักษณะเป็นหุบเขาเว้าแหว่งบริเวณปากอ่าว ที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อกว่าหมื่นปีก่อน
 
นอกจากความงามของทัศนียภาพ ความน่าหวาดเสียวของ Trolltunga ยังได้ดึงดูดนักผจญภัยผู้เสพติดอดรีนะลินจากทั่วโลกให้เดินทางมาพิชิต เหล่านักเดินทางบ้าพลังทั้งหลายนิยมมาที่ผาแห่งนี้ เพื่อทำกิจกรรมเสี่ยงตาย เป็นต้นว่า หกสูงที่ปลายหน้าผา นั่งห้อยขาที่ขอบผา หรือบ้างก็โหนบาร์ยิมนาสติก

ถึงแม้ Trolltunga จะเป็นสถานที่ที่ดูเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แต่ที่แห่งนี้ไม่เคยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการตกจากหน้าผาแม้แต่คนเดียว ทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่ราวรั้วกั้นเพื่อความปลอดภัยด้วยซ้ำ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่มองว่าเป็นการทำลายทัศนียภาพของธรรมชาติ  Trolltunga ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมโดยเมื่อปี 2016  มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้ไปกว่า 80,000 คน
Souce: Visit Norway
 Image credit: Unknown
Cr.http://www.culturedcreatures.co/norway-trolltunga/


สถานที่สุดแปลกของโลก
ภูเขาโรไรมา ‘Mount Roraima’ หรือรู้จักกันในชื่อเทปุยโรไรมา หรือเซอโรโรไรมา เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาพากาไรมา Pacaraima  ของที่ราบสูงเทปุย โดยตั้งอยู่บนหินฐานทวีปกายอานา ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ในพื้นที่ 12,000 ตารางไมล์ (ประมาณ 30,000 ตารางกิโลเมตร) ของอุทยานแห่งชาติคาไนมา ทำให้เกิดยอดสูงสุดในที่เขตที่ราบสูงกายอานา  บนพรมแดนซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ เวเนซุเอลา , บราซิล และกายอานา
ยอดเขานี้มีความสูง 2,810 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่วนเอกลักษณ์อันน่าแปลกประหลาด ซึ่งทำให้ภูเขาลูกนี้มีชื่อเสียง คือ ลักษณะของยอดเขาอันแบนราบเรียบราวกับพื้นโต๊ะกินข้าว กว้าง 31 ตารางกิโลเมตร ถูกโอบล้อมด้วยหน้าผาแนวดิ่งสูงถึง 400 เมตรทุกด้าน ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1596 จากลักษณะความสวยงามอันโดดเด่นทางด้านภูมิศาสตร์เช่นนี้ จึงทำให้ภูเขาแห่งนี้มีชื่อเสียง จนกลายมาเป็นจุดหมายปลายทางของนักผจญภัยจำนวนมากในทุกๆ ปี

เป็นภูเขาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งสามารถนับเวลาย้อนหลังไปสักประมาณสองพันล้านปีก่อนนับตั้งแต่ยุคพรีแคมเบรียน   โดยลักษณะเฉพาะของภูเขานั้นเกิดจากชั้นหินหลายชนิด ที่มีความคงทนต่อการกัดเซาะผุพังไม่เท่ากัน เรียงตัวซ้อนกันในแนวราบ การสึกกร่อนของหิน ทำให้ไหล่เขาชันขึ้นไปตามความสูง แล้วยอดเขาจึงมีลักษณะแนวราบคล้ายโต๊ะ

นอกจากจะเป็นสถานที่แห่งสำคัญของนักปีนเขาแล้ว Mount Roraima ก็ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งมีความสำคัญทางธรณีวิทยาที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอย่างสมบูรณ์อยู่ ณ ปัจจุบัน  นอกจากจะมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่แปลกประหลาดแล้ว สถานที่แห่งนี่ยังเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าพื้นเมือง ที่ไม่สามารถพบเจอได้ในภูมิประเทศทั่วไปอาศัยอยูอีกหลายสายพันธุ์
ทั้งนี้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น หลายชนิดควรจะเป็นเพียงแค่ตำนานในหน้าหนังสือ หรือเป็นแค่ซากฟอสซิลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งก็ไม่มีคำตอบว่าพวกมันรอดชีวิต และพวกมันมาอาศัยอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนานได้อย่างไร

บริเวณด้านบนสุดของ Mount Roraima เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ มีลักษณะเป็นแอ่งซึ่งลงไปเล่นน้ำได้  ภูเขานี้ยังสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์จาก Pixar เป็นที่รู้จักกันมากในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง UP อีกด้วย
ที่มา เพจค้นหาสิ่งลึกลับ
cr.ภาพ https://www.vuelaviajes.com/
Cr.https://www.govivigo.com/ideas/649-venezuela-ภูเขาโรไรมา-Mount-Roraima
Cr.https://www.setiusa.net/mount-roraima-เทือกเขาสูงที่สวยงาม/
Cr.https://www.facebook.com/199419610193601/posts/615652155237009/

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่