อาจฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่การกลับมาในครั้งที่ 2 ของเสือแทสเมเนียที่สูญพันธุ์ไปแล้วนี้ ได้ขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเล็กน้อย
ด้วยการทำแผนที่จีโนมที่ประสบความสำเร็จของความสัมพันธ์ของการดำรงชีวิตที่ใกล้ที่สุด นั่นคือ numbat ญาติสนิทที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่
นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐ Western Australia มีเกาะที่สำคัญหลายเกาะ แต่เมื่อหกพันปีที่แล้ว เกาะเหล่านี้ที่เป็นยอดเขาโผล่ขึ้นมาจากที่ราบชายฝั่งทะเลอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต หนึ่งในนั้นคือเกาะ Dampier Archipelago นอกจากจะมีโขดหินขนาดใหญ่และอุดมด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมักร่วงลงสู่ผืนน้ำสีฟ้าครามสดใสของมหาสมุทรอินเดีย บนหินสีแดงเข้มดังกล่าวยังถูกบันทึกสัตว์ด้วยการแกะสลักเป็นภาพสกัดหินโดยชาวอะบอริจินด้วย
ในบรรดาภาพสัตว์ต่างๆ มี Thylacine ( Thylacinus cynocephalus ) หรือที่เรียกว่า "เสือแทสเมเนียน" มากกว่า 20 ตัว สัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องเหมือนหมาป่าและกินเนื้อเป็นอาหารเหล่านี้ แบกลูกของมันไว้ในกระเป๋าเหมือนจิงโจ้ มีลายเหมือนเสือบนหลัง และมีขากรรไกรที่สามารถอ้าปากกว้างได้ถึง 120° ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งครั้งหนึ่ง พวกมันเคยพบเห็นได้ทั่วไปในออสเตรเลียและนิวกินี
thylacine นั้นหายไปจากแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลียเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว อาจเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและการสูญเสียพืชพันธุ์ที่หนาแน่น แม้มันจะยึดพื้นที่หลักในป่าแทสเมเนีย แต่ก็ถูกล่าจนสูญพันธุ์โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปในช่วงปี 1800 โดยตัวสุดท้ายที่รู้จักเสียชีวิตที่สวนสัตว์ Beaumaris ใน Hobart ในปี 1936 รวมถึงญาติของวอมแบทที่มีขนาดเท่ารถยนต์ นักล่าที่เหมือนสิงโต และนกยักษ์ที่บินไม่ได้ ล้วนเป็นสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ของออสเตรเลีย แต่ Thylacine ถือเป็นสิ่งพิเศษในจิตสำนึกสาธารณะ ที่มี 'การพบเห็น' และการทำภารกิจเพื่อค้นหาหลักฐานของ thylacine ที่มีชีวิตอยู่บ่อยครั้ง ด้วยหวังว่ามันจะไม่หายไปจริงๆ
Historical thylacine (Tasmanian Tiger) Beaumaris Zoo (Hobart), 1933
เสือแทสเมเนียนตัวสุดท้ายที่ชื่อ Benjamin แม้ว่าจะยังไม่ระบุเพศ แต่ใช้เวลา 2-3 ปีหลังลูกกรงในสวนสัตว์ก่อนจะตายในคืนอันหนาวเหน็บ
thylacine หรือเสือแทสเมเนียน เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่โดดเด่นที่สุดของออสเตรเลีย แม้ว่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กระเป๋าหน้าท้องและลายทางที่เรียวยาวยังคงรักษาตำแหน่งในตำนานของออสเตรเลียไว้ แม้จะมีการอ้างว่าพบเห็นอย่างต่อเนื่องซึ่งดึงดูดใจสาธารณชนและสื่อต่างๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปี 2021 (กลุ่มหนึ่งอ้างว่าเห็น "เสือแทสซี่" โผล่พ้นป่าในออสเตรเลีย) แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยันที่แน่นอน
ตอนนี้ กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Melbourne วางแผนที่จะนำ thylacine กลับคืนมาจากการสูญพันธ์ผ่านการโคลนที่เป็นไปได้ โดยเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2022 ที่ผ่านมา พวกเขาได้ประกาศการก่อตั้งห้องปฏิบัติการวิจัยระดับโลก Thylacine Integrated Genetic Restoration Research (TIGRR) จากการบริจาคเพื่อการกุศลมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับวิทยาศาสตร์การอนุรักษ์การสูญพันธุ์และวิทยาการสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง
Pro.Andrew Pask นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการสัตว์กระเป๋าหน้าท้องและผู้เชี่ยวชาญด้าน thylacine ที่มหาวิทยาลัย Melbourne จะเป็นผู้นำโครงการนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่า ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของการวิจัยคือการนำพวกมันคืนชีพจากความตาย และห้องปฏิบัติการ TIGRR จะพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถบรรลุการสูญพันธุ์ของ thylacine รวมถึงจะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการอนุรักษ์สายพันธุ์กระเป๋าหน้าท้องอื่นๆ ที่ถูกคุกคามด้วย
thylacine ตัวน้อยที่เก็บรักษาไว้ซึ่งมี DNA เพียงพอที่จะเปิดเผยจีโนมทั้งหมดของมัน
Cr.พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์แทสเมเนียน
ก่อนหน้านี้ มีการเรียกร้องให้คืนชีพ thylacine นานกว่าสองทศวรรษแล้ว โดยครั้งแรกในปี 1999 เมื่อนักบรรพชีวินวิทยา Michael Archer เข้ารับตำแหน่ง
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียนและทุ่มงบประมาณ 57 ล้านดอลลาร์ในโครงการที่หวังจะ clone สัตว์กระเป๋าหน้าท้องอันเป็นสัญลักษณ์จากตัวอย่างเก่าที่อยู่ในขวดแก้ว ตอนนั้นโครงการถูกเรียกว่า " fantasy " เพราะจินตนาการเหมือนกับในหนัง Jurassic Park และครั้งที่สองในปี 2005 แต่การวิจัยหยุดลงเนื่องจากตัวอย่าง DNA มีคุณภาพต่ำ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สองทศวรรษแห่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญหลังจากค้นพบผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงในการแก้ไขยีน ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคิดการใหญ่เกี่ยวกับ "การสูญพันธุ์" ซึ่งเป็นกระบวนการในการนำสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับมาจากความตาย การปฏิวัติครั้งสำคัญนี้ต้องขอบคุณ CRISPR ระบบชีวภาพสำหรับตัดต่อยีน (gene editing) และวาง DNA อันทรงพลัง ที่ได้นำเสนอวิธีการสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในการสร้างรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว
และด้วยเทคโนโลยีนี้เอง จะเป็นหัวใจสำคัญของข้อเสนอที่จะนำ Woolly Mammoth กลับมาภายในปี 2027 ที่นำโดย Colossal บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในเดือนก.ย. ปลายปีนี้ บริษัทประกาศว่าจะได้รับเงินทุน 15 ล้านดอลลาร์สำหรับความพยายามมีลูกของมันตัวแรกภายใน "4 - 6 ปี" เพื่อนำฝูงแมมมอธกลับคืนสู่อาร์กติก
ต้นไม้สายวิวัฒนาการแสดงความสัมพันธ์ของ thylacine กับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง (Dasyurid Marsupials) อื่นๆ
Cr.University of Melbourne
ในขณะที่ ตัวอย่างของ thylacines มีประมาณ 450 ตัวอย่างอยู่ในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นผิวหนังและกระดูก แต่มี 13 ตัวอย่างรวมทั้ง joeys ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีที่พิพิธภัณฑ์ Melbourne โดยถูกดองไว้ในแอลกอฮอล์หรือฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่ง Pask และทีมได้ประกาศไว้ในปี 2017 ว่าการจัดลำดับจีโนมทั้งหมดประสบความสำเร็จ และเป็นจีโนมที่สมบูรณ์ที่สุดที่ได้จากสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของ joeys ใน Melbourne อาจถูกตัดให้สั้นลงในการนี้ แต่ DNA ของมันอาจเป็นพิมพ์เขียวในการชุบชีวิตทั้งสายพันธุ์ แม้ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่ตามที่ Michael Archer นักบรรพชีวินวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย New South Wales ผู้ที่อุทิศตนเพื่อขจัดการสูญพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้วที่จะจินตนาการถึงการกลับมาของสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นเป็นเวลาหลายร้อย หลายพันปี
สำหรับ Archer เขาอาจเป็นคนแรกที่กล้าฝันที่จะโคลน thylacines หลังจากในปี 1996 เมื่อแกะ Dolly สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวแรกที่ถูกโคลนจากเซลล์ที่โตเต็มวัย เขาจึงประกาศว่าจะนำมันกลับมาอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่แค่นั้น แต่การโคลน thylacines ทำไม่ง่ายเหมือนกับ Dolly เพราะตัวอย่าง DNA ของมันที่พิพิธภัณฑ์ไม่ใช่นิวเคลียสหรือไข่ที่มีชีวิตซึ่งเป็นส่วนผสมที่จำเป็น ดังนั้น ต้องใช้ DNA ของญาติสนิทที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป จากนั้นก็จะใช้เป็นแม่แบบเพื่อสร้าง thylacines ต่อไป
การแสดงกราฟิกของโครงสร้างภายในของ thylacine joeys /Cr. TIGRR
ในกรณีนี้ ญาติที่ใกล้ชิดที่สุดคือ Dunnart หนูที่มีกระเป๋าหน้าท้อง ขั้นตอนต่อไปคือการเปรียบเทียบพิมพ์เขียวทั้งสองและมองหาจีโนมที่แตกต่าง จากนั้นก็เข้าไปในเซลล์ที่มีชีวิตจากหนู และเริ่มแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งการแก้ไขยีนประเภทนี้สามารถทำได้จากเทคโนโลยี CRISPR-Cas9 เท่านั้น (ชุดเครื่องมือล่าสุดของพันธุวิศวกรรม - ชุดของเอนไซม์ที่ใช้แบคทีเรียเพื่อตัดกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มของ DNA และแทนที่ด้วยส่วนอื่นๆ)
ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีการแก้ไขยีนนี้ ทีมงานเชื่อว่าจะสามารถแปลงเซลล์ของ Dunnart ให้เป็นเซลล์ thylacines ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าวิทยาศาสตร์บางส่วนจะต้องได้รับการขัดเกลาในอีก 10 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ทำให้เกิดความกังวลต่อนักวิจัยด้านการอนุรักษ์บางคน ที่แนะนำว่า การใช้เงินจำนวนมากในการนำสัตว์กลับมาจากความตาย อาจส่งผลให้สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และอีกหลายโครงการโต้แย้งว่าน่าจะช่วยอีกหลายสปีชีที่กำลังสูญพันธุ์มากกว่า
thylacines นั้นเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบที่น่าเศร้าสำหรับผลกระทบอันเลวร้ายของการตั้งถิ่นฐานบนเกาะที่มีความอุดมสมบูรณ์ของชาวยุโรปในออสเตรเลีย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกล่าจนสูญพันธุ์เพราะคิดว่าจะกินแกะ ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของอาณานิคม (การวิจัยในภายหลังเปิดเผยว่าเสือไม่ใช่
ผู้ล่าแกะเลยแต่ก็สายเกินไป) นอกจากบนเกาะ thylacines ยังอาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลียเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน จากการค้นพบโครงกระดูกที่พบใน New South Wales และภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของมันยังพบเห็นได้ในศิลปะหินโบราณของชาวอะบอริจินทั่วทั้งทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในออสเตรเลียตะวันตกและดินแดนทางเหนือ
ครั้งหนึ่ง Numbats ที่กำลังจะสูญพันธุ์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เคยเดินเตร่ไปทั่วทางตอนใต้ของออสเตรเลีย
"สิ่งมีชีวิตลึกลับ" ทั้งสองนี้นอกจากจะมีลายทางเหมือนกัน มากถึง 95% ของ DNA ของพวกมันก็เหมือนกันด้วย
thylacines โบราณที่สลักอยู่บนหินบนคาบสมุทร Burrup / Cr.Nick Rains / Australian Geographic
Cr.
http://www.sci-news.com/biology/thylacine-de-extinction-10608.html
Cr.
https://cosmosmagazine.com/nature/evolution/thylacine-tasmanian-tiger-de-extinction/Amalyah Hart/ 2022
Cr.
https://cosmosmagazine.com/nature/animals/return-of-the-living-thylacine/John Pickrell /2022
Cr.
https://www.cnet.com/science/biology/australian-scientists-plan-to-resurrect-the-extinct-tasmanian-tiger/Jackson Ryan/2022
Cr.
https://www.kidsnews.com.au/animals/numbat-genome-mapping-could-lead-to-return-of-the-thylacine/news-story/c424294e0e21d0cb9cb965706bbfce78 /Duncan Murray,
Cr.
https://blog.ted.com/7-reasons-why-we-should-bring-back-the-tasmanian-tiger/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
การกลับมาของ " Thylacine " ที่มีชีวิต
ในบรรดาภาพสัตว์ต่างๆ มี Thylacine ( Thylacinus cynocephalus ) หรือที่เรียกว่า "เสือแทสเมเนียน" มากกว่า 20 ตัว สัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องเหมือนหมาป่าและกินเนื้อเป็นอาหารเหล่านี้ แบกลูกของมันไว้ในกระเป๋าเหมือนจิงโจ้ มีลายเหมือนเสือบนหลัง และมีขากรรไกรที่สามารถอ้าปากกว้างได้ถึง 120° ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งครั้งหนึ่ง พวกมันเคยพบเห็นได้ทั่วไปในออสเตรเลียและนิวกินี
thylacine นั้นหายไปจากแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลียเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว อาจเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและการสูญเสียพืชพันธุ์ที่หนาแน่น แม้มันจะยึดพื้นที่หลักในป่าแทสเมเนีย แต่ก็ถูกล่าจนสูญพันธุ์โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปในช่วงปี 1800 โดยตัวสุดท้ายที่รู้จักเสียชีวิตที่สวนสัตว์ Beaumaris ใน Hobart ในปี 1936 รวมถึงญาติของวอมแบทที่มีขนาดเท่ารถยนต์ นักล่าที่เหมือนสิงโต และนกยักษ์ที่บินไม่ได้ ล้วนเป็นสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ของออสเตรเลีย แต่ Thylacine ถือเป็นสิ่งพิเศษในจิตสำนึกสาธารณะ ที่มี 'การพบเห็น' และการทำภารกิจเพื่อค้นหาหลักฐานของ thylacine ที่มีชีวิตอยู่บ่อยครั้ง ด้วยหวังว่ามันจะไม่หายไปจริงๆ
thylacine หรือเสือแทสเมเนียน เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่โดดเด่นที่สุดของออสเตรเลีย แม้ว่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กระเป๋าหน้าท้องและลายทางที่เรียวยาวยังคงรักษาตำแหน่งในตำนานของออสเตรเลียไว้ แม้จะมีการอ้างว่าพบเห็นอย่างต่อเนื่องซึ่งดึงดูดใจสาธารณชนและสื่อต่างๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปี 2021 (กลุ่มหนึ่งอ้างว่าเห็น "เสือแทสซี่" โผล่พ้นป่าในออสเตรเลีย) แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยันที่แน่นอน
ตอนนี้ กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Melbourne วางแผนที่จะนำ thylacine กลับคืนมาจากการสูญพันธ์ผ่านการโคลนที่เป็นไปได้ โดยเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2022 ที่ผ่านมา พวกเขาได้ประกาศการก่อตั้งห้องปฏิบัติการวิจัยระดับโลก Thylacine Integrated Genetic Restoration Research (TIGRR) จากการบริจาคเพื่อการกุศลมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับวิทยาศาสตร์การอนุรักษ์การสูญพันธุ์และวิทยาการสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง
Pro.Andrew Pask นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการสัตว์กระเป๋าหน้าท้องและผู้เชี่ยวชาญด้าน thylacine ที่มหาวิทยาลัย Melbourne จะเป็นผู้นำโครงการนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่า ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของการวิจัยคือการนำพวกมันคืนชีพจากความตาย และห้องปฏิบัติการ TIGRR จะพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถบรรลุการสูญพันธุ์ของ thylacine รวมถึงจะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการอนุรักษ์สายพันธุ์กระเป๋าหน้าท้องอื่นๆ ที่ถูกคุกคามด้วย
ก่อนหน้านี้ มีการเรียกร้องให้คืนชีพ thylacine นานกว่าสองทศวรรษแล้ว โดยครั้งแรกในปี 1999 เมื่อนักบรรพชีวินวิทยา Michael Archer เข้ารับตำแหน่ง
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียนและทุ่มงบประมาณ 57 ล้านดอลลาร์ในโครงการที่หวังจะ clone สัตว์กระเป๋าหน้าท้องอันเป็นสัญลักษณ์จากตัวอย่างเก่าที่อยู่ในขวดแก้ว ตอนนั้นโครงการถูกเรียกว่า " fantasy " เพราะจินตนาการเหมือนกับในหนัง Jurassic Park และครั้งที่สองในปี 2005 แต่การวิจัยหยุดลงเนื่องจากตัวอย่าง DNA มีคุณภาพต่ำ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สองทศวรรษแห่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญหลังจากค้นพบผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงในการแก้ไขยีน ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคิดการใหญ่เกี่ยวกับ "การสูญพันธุ์" ซึ่งเป็นกระบวนการในการนำสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับมาจากความตาย การปฏิวัติครั้งสำคัญนี้ต้องขอบคุณ CRISPR ระบบชีวภาพสำหรับตัดต่อยีน (gene editing) และวาง DNA อันทรงพลัง ที่ได้นำเสนอวิธีการสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในการสร้างรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว
และด้วยเทคโนโลยีนี้เอง จะเป็นหัวใจสำคัญของข้อเสนอที่จะนำ Woolly Mammoth กลับมาภายในปี 2027 ที่นำโดย Colossal บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในเดือนก.ย. ปลายปีนี้ บริษัทประกาศว่าจะได้รับเงินทุน 15 ล้านดอลลาร์สำหรับความพยายามมีลูกของมันตัวแรกภายใน "4 - 6 ปี" เพื่อนำฝูงแมมมอธกลับคืนสู่อาร์กติก
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของ joeys ใน Melbourne อาจถูกตัดให้สั้นลงในการนี้ แต่ DNA ของมันอาจเป็นพิมพ์เขียวในการชุบชีวิตทั้งสายพันธุ์ แม้ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่ตามที่ Michael Archer นักบรรพชีวินวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย New South Wales ผู้ที่อุทิศตนเพื่อขจัดการสูญพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้วที่จะจินตนาการถึงการกลับมาของสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นเป็นเวลาหลายร้อย หลายพันปี
สำหรับ Archer เขาอาจเป็นคนแรกที่กล้าฝันที่จะโคลน thylacines หลังจากในปี 1996 เมื่อแกะ Dolly สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวแรกที่ถูกโคลนจากเซลล์ที่โตเต็มวัย เขาจึงประกาศว่าจะนำมันกลับมาอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่แค่นั้น แต่การโคลน thylacines ทำไม่ง่ายเหมือนกับ Dolly เพราะตัวอย่าง DNA ของมันที่พิพิธภัณฑ์ไม่ใช่นิวเคลียสหรือไข่ที่มีชีวิตซึ่งเป็นส่วนผสมที่จำเป็น ดังนั้น ต้องใช้ DNA ของญาติสนิทที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป จากนั้นก็จะใช้เป็นแม่แบบเพื่อสร้าง thylacines ต่อไป
ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีการแก้ไขยีนนี้ ทีมงานเชื่อว่าจะสามารถแปลงเซลล์ของ Dunnart ให้เป็นเซลล์ thylacines ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าวิทยาศาสตร์บางส่วนจะต้องได้รับการขัดเกลาในอีก 10 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ทำให้เกิดความกังวลต่อนักวิจัยด้านการอนุรักษ์บางคน ที่แนะนำว่า การใช้เงินจำนวนมากในการนำสัตว์กลับมาจากความตาย อาจส่งผลให้สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และอีกหลายโครงการโต้แย้งว่าน่าจะช่วยอีกหลายสปีชีที่กำลังสูญพันธุ์มากกว่า
thylacines นั้นเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบที่น่าเศร้าสำหรับผลกระทบอันเลวร้ายของการตั้งถิ่นฐานบนเกาะที่มีความอุดมสมบูรณ์ของชาวยุโรปในออสเตรเลีย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกล่าจนสูญพันธุ์เพราะคิดว่าจะกินแกะ ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของอาณานิคม (การวิจัยในภายหลังเปิดเผยว่าเสือไม่ใช่
ผู้ล่าแกะเลยแต่ก็สายเกินไป) นอกจากบนเกาะ thylacines ยังอาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลียเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน จากการค้นพบโครงกระดูกที่พบใน New South Wales และภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของมันยังพบเห็นได้ในศิลปะหินโบราณของชาวอะบอริจินทั่วทั้งทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในออสเตรเลียตะวันตกและดินแดนทางเหนือ
Cr.http://www.sci-news.com/biology/thylacine-de-extinction-10608.html
Cr.https://cosmosmagazine.com/nature/evolution/thylacine-tasmanian-tiger-de-extinction/Amalyah Hart/ 2022
Cr.https://cosmosmagazine.com/nature/animals/return-of-the-living-thylacine/John Pickrell /2022
Cr.https://www.cnet.com/science/biology/australian-scientists-plan-to-resurrect-the-extinct-tasmanian-tiger/Jackson Ryan/2022
Cr.https://www.kidsnews.com.au/animals/numbat-genome-mapping-could-lead-to-return-of-the-thylacine/news-story/c424294e0e21d0cb9cb965706bbfce78 /Duncan Murray,
Cr.https://blog.ted.com/7-reasons-why-we-should-bring-back-the-tasmanian-tiger/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)