ในช่วงนี้ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง (Season Change) ฝนตกบ่อย อากาศชื้น
คุณพ่อคุณแม่ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม กับโรคติดเชื้อต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคระบบทางเดินหายใจทั้งไข้หวัด คออักเสบ และปอดบวม
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ชื้นและเย็น เป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ดียิ่งขึ้น
และเด็กๆก็เริ่มเปิดเทอม ไปโรงเรียนกันแล้ว การที่เด็กจากหลายๆที่ไปอยู่รวมกันไม่ว่าจะเป็นเนอสเซอรี่หรือที่โรงเรียน ยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ให้มีการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นหากเรารู้เท่าทัน จะช่วยดูแลและป้องกันโรค ให้มีการแพร่ระบาดน้อยลงได้
5 กลุ่มโรคที่พบบ่อย ในฤดูฝนมีดังนี้
1. กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ที่พบบ่อยได้แก่ ท้องเสีย ท้องร่วง โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ สาเหตุเกิดจากกินอาหารดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือกินอาหารสุกๆ ดิบๆ
2. กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือโรคเลปโตสไปโรซิส หรือไข้ฉี่หนู อาการเด่นคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน
3. กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยได้แก่โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย
4. กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ได้แก่ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ไข้สมองอักเสบเจอี(Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค และโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ทั้ง 3 โรคนี้อาการเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้
5. โรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
อาการนำของโรคติดเชื้อที่เป็นลักษณะเด่นหลักๆ คือ อาการไข้ ดังนั้นสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีเด็กเล็กในบ้านในช่วงนี้หากเด็กมีไข้สูง และเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น หรือไข้ยังไม่ลดภายใน 3 วัน แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง ข้อควรระวังสำคัญคือ ห้ามใช้ยาจำพวกแอสไพรินอย่างเด็ดขาด เพราะยาชนิดนี้มีอันตรายกับบางโรค โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่และโรคไข้ฉี่หนู เพราะโรคทั้ง 3 ทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆในร่างกายอยู่แล้วหากได้รับยาแอสไพรินซึ่งมีสารป้องกันเส้นเลือดแข็งตัวจะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นและจะทำให้เสียชีวิตจากโรคได้
อย่างไรก็ตามในช่วงฝนนี้ เราสามารถป้องกันโรคต่างๆ เหล่านี้ได้โดยดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายเป็นประจำและล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ กำจัดน้ำขังในบริเวณบ้านเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ดูแลตัวเองและเด็กๆ ไม่ให้ถูกยุงกัด ไม่ควรออกไปเดินลุยในพื้นที่น้ำขังและล้างเท้าฟอกสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอหลังออกไปเดินในพื้นที่ชื้นแฉะหลังฝนตกใหม่ๆ
#โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์
#โรงพยาบาลสินแพทย์
#เบื้องหลังทุกการรักษา คือความใส่ใจ
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่
https://bit.ly/323SVX2 
ฤดูฝน ฝนตกบ่อย โรคอะไรบ้างที่ต้องเฝ้าระวังในเด็ก ?
คุณพ่อคุณแม่ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม กับโรคติดเชื้อต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคระบบทางเดินหายใจทั้งไข้หวัด คออักเสบ และปอดบวม
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ชื้นและเย็น เป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ดียิ่งขึ้น
และเด็กๆก็เริ่มเปิดเทอม ไปโรงเรียนกันแล้ว การที่เด็กจากหลายๆที่ไปอยู่รวมกันไม่ว่าจะเป็นเนอสเซอรี่หรือที่โรงเรียน ยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ให้มีการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นหากเรารู้เท่าทัน จะช่วยดูแลและป้องกันโรค ให้มีการแพร่ระบาดน้อยลงได้
5 กลุ่มโรคที่พบบ่อย ในฤดูฝนมีดังนี้
1. กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ที่พบบ่อยได้แก่ ท้องเสีย ท้องร่วง โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ สาเหตุเกิดจากกินอาหารดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือกินอาหารสุกๆ ดิบๆ
2. กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือโรคเลปโตสไปโรซิส หรือไข้ฉี่หนู อาการเด่นคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน
3. กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยได้แก่โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย
4. กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ได้แก่ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ไข้สมองอักเสบเจอี(Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค และโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ทั้ง 3 โรคนี้อาการเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้
5. โรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
อาการนำของโรคติดเชื้อที่เป็นลักษณะเด่นหลักๆ คือ อาการไข้ ดังนั้นสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีเด็กเล็กในบ้านในช่วงนี้หากเด็กมีไข้สูง และเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น หรือไข้ยังไม่ลดภายใน 3 วัน แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง ข้อควรระวังสำคัญคือ ห้ามใช้ยาจำพวกแอสไพรินอย่างเด็ดขาด เพราะยาชนิดนี้มีอันตรายกับบางโรค โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่และโรคไข้ฉี่หนู เพราะโรคทั้ง 3 ทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆในร่างกายอยู่แล้วหากได้รับยาแอสไพรินซึ่งมีสารป้องกันเส้นเลือดแข็งตัวจะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นและจะทำให้เสียชีวิตจากโรคได้
อย่างไรก็ตามในช่วงฝนนี้ เราสามารถป้องกันโรคต่างๆ เหล่านี้ได้โดยดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายเป็นประจำและล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ กำจัดน้ำขังในบริเวณบ้านเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ดูแลตัวเองและเด็กๆ ไม่ให้ถูกยุงกัด ไม่ควรออกไปเดินลุยในพื้นที่น้ำขังและล้างเท้าฟอกสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอหลังออกไปเดินในพื้นที่ชื้นแฉะหลังฝนตกใหม่ๆ
#โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์
#โรงพยาบาลสินแพทย์
#เบื้องหลังทุกการรักษา คือความใส่ใจ
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/323SVX2