ร่างจำแลง

ก้าวแรกของผมที่สัมผัสฝ่าเท้าลงในสถานเริงรมย์แห่งนั้น เสียงต่างๆรวมถึงภาพเคลื่อนไหวประดังประเดเข้าในโสตอย่างพร้อมเพรียง สร้างความอึกทึกมึนตึงไปหมด

แสงสีบนเพดานที่กระพริบจากการควบคุมด้วยเทคโนโลยี สลับลำแสงท่ามกลางความมืดจนตาลายจำแนกวัตถุไม่ออก ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เคยชินอย่างผมที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาเป็นหนแรก

เสียงเพลงก็กระหึ่มกระแทกกระทั้นเร้าใจ กระตุ้นให้ทุกอณูส่วนของร่างกายอยากขยับเด้าดิ้นวาดลวดลายจนทรุดกองฮวบกับพื้น ดุจดั่งที่หลายคนบนพื้นเต้นกำลังทำอยู่ หรือมิเช่นนั้นก็หนวกหูรำคาญไปเลยอย่างที่ผมกำลังรู้สึก

ชัยนาทเห็นผมแต่ไกลได้อย่างไรไม่รู้ เขาคงคุ้นเคยกับห้องมืดสลัวที่มีแสงไฟเปลี่ยนสีตวัดกวัดไกวไปมาจนปวดตา จึงเห็นผมได้ไม่ยากเย็น

เขาเป็นเจ้าของงานวันเกิด นั่นคือเหตุผลเดียวที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้จำต้องมาในสถานที่นี้ เนื่องจากในทางโลกเขาเป็นมิตรที่ดี

ขอย้อนบรรยายปูมหลังผมสักนิดเถิด ผมเข้าบวชหน้าไฟตอนปิดภาคเรียนเมื่ออายุ12 เมื่อคุณย่าสิ้นตักษัย ไม่ได้คิดเลยว่าผมจะครองผ้าเหลืองนานต่อไปจากนั้นอีก5ปีด้วยความศรัทธา จนกระทั่งคุณแม่อดรนทนไม่ไหวมาขอขมาให้สึกลาสิกขาเพราะคิดถึงลูกอย่างหักห้ามไม่ได้

ตามหลักพุทธศาสนา บุพการีมีสิทธิ์ขอร้องให้ลูกชายสละเพศบรรชาได้โดยไม่เกิดบาปใดๆ ท่านให้เหตุผลว่า บ้านช่อง กิจการทุกสิ่ง ไร่นาสาโท ใครจะดูแลต่อ พ่อแม่ก็แก่เฒ่าลงทุกวัน

ผมลาปริยัติ สิกขามาเป็นประสกนิกรโอนวุฒิเข้าเรียนในทางโลก พร้อมทั้งช่วยดูแลธุรกิจการสวนไร่นาในขณะที่ร่ำเรียนต่อไปจนจบ

พ่อและแม่ปลาบปลื้มเมื่อผมสำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัย แล้วผมก็กราบขอท่านทั้งสองไปผจญภัยในทางโลกบ้างเพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต

มาได้งานที่บริษัทเดียวกันกับชัยนาท คนๆนี้ถึงแม้บกพร่องในแง่ของศีลธรรมบางอย่างแต่ก็เป็นสหายที่รักจริงใจ ผมรักในน้ำใจเขาบางส่วนจึงต้องมาในงานนี้

ชัยนาทคะยั้นคะยอให้ผมดื่มซึ่งผมก็จิบๆบ้างเพื่อรักษาน้ำใจ ไม่นานนักชัยนาทก็สิ้นสุดความสนใจในตัวผม เนื่องจากต้องชนแก้วกับผู้คนอีกมากหน้าหลายตา

ผมใช้จังหวะช่วงนั้นปลีกตัวออกมา มองสังเกตเห็นข้อเท็จจริงไปทั่ว เกือบทุกคนอยู่ใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์ เข้าประกบและล่อหลอกซึ่งกันและกันไม่ว่าทั้งหญิงและชาย

ในขณะที่ผมกำลังนึกถึงหลักธรรมะที่ได้เล่าเรียนมา ก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้น

“พ่อหนุ่ม พาลุงไปส่งบ้านได้ไหม”

ผมหันไปมองตามเสียง เห็นลุงคนหนึ่งนอนแผ่หร่าร่างกายอย่างหมดสภาพบนโซฟาที่นั่ง ใบหน้าของแกแดงก่ำด้วยแรงแอลกอฮอล์ขับ ผมเห็นแกแล้วเวทนา แกพูดว่า

“เพื่อนหลอกลุงมาเที่ยว พอมันได้อย่างที่หวังก็หนีหายไปเสียหมด ลุงมีเงินนะ จะให้ค่าไปส่ง”

แกชูกระเป๋าขึ้น เห็นปึกของธนบัตรซ้อนกันหนามีแต่ใบแดงๆขึ้นไปทั้งนั้น แต่ผมส่ายหน้า

“มาเถอะครับลุง ผมกำลังจะกลับพอดี มาแต่เพียงเป็นพิธีให้เพื่อนเท่านั้น ไม่ต้องมาให้อะไรผมหรอก บอกที่อยูให้ผมไปถูกก็พอแล้ว เดินไหวไหมครับ”

“ไหว” ลุงแกลุกขึ้นยืนแล้วเซถลาเข้าอ้อมอกผม ทำไมผมได้กลิ่นหอมระรวยเข้ามากระทบจมูก 

ผมประคับประคองลุงมาที่รถ ความรู้สึกส่วนลึกของผมบอกว่าร่างของแกนุ่มนิ่มผิดปกติ ขณะที่ผมเอาแกใส่รถคาดเข็มขัดให้ หากว่าจะเฉลียวใจมองไปรอบๆสักนิดอาจได้ประสบกับสายตาอันหื่นกระหายและเต็มไปด้วยความริษยาจากผู้ชายที่ยืนในลานจอดรถ

หญิงสาวคนหนึ่งในชุดวาบหวิวรัดรึง โชว์สัดส่วนทุกอย่างที่พ้นอาภรณ์วิ่งออกมามองรถที่เคลื่อนออกไป ตาลีตาเหลือกรีบยกโทรศัพท์ส่วนตัวขึ้นพูดอย่างละล่ำละลัก

“นานาใส่ยาในแก้วค็อกเทลตามที่คุณโภชบอกทุกอย่าง แต่มีคนพานางรจนาออกไป”

ผมขับมาถึงที่อยู่ของลุงตามที่บอกไว้ ประตูเหล็กดัดลวดลายม้วนเถ้าสวยงาม ส่วนเบื้องหลังนั้นคือคฤหาสน์ที่โอ่อ่าตระหง่านดุจราชวัง เมื่อถึงที่หมายผมก็หันไปบอกลุง

“ผมมาถึงที่อยู่ตามลุงบอกแล้วนะ บ้านหลังนี้ใช่ไหมลุง”

“อือ” คุณลุงลืมตาปรือหน่วงขึ้นมอง พลางส่งเสียงอ้อแอ้

“ใช่แล้วพ่อหนุ่ม กดกริ่งหน้าประตูเลย เดี๋ยวจะมีคนออกมาเปิดประตูให้”

ผมเดินลงไปกดกริ่งตามที่ลุงบอก สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวัยราวยี่สิบปลายๆในชุดนอนวิ่งหน้าตาตื่นมาที่ประตู 

ตอนแรกเธอมองผมอย่างระแวง แต่เมื่อสายตาเบือนไปที่รถและเห็นร่างที่นั่งง่อนแง่นด้วยความเมา ก็พลันส่งเสียงอุทานออกมา

“คุณรจ”

ผมเห็นอย่างนั้นก็คลายใจได้ว่าไม่ได้พาคนมาส่งมาผิดที่   โดยไม่เอะใจอะไรกับชื่อที่เธอเรียก

“แกให้ผมมาส่งน่ะครับ เอาเป็นว่ามาถึงที่แล้วคุณช่วยพาคุณลุงไปนอน.......”

“ปราง เปิดประตู “ เสียงดังขัดมาจากในรถ “พ่อหนุ่มพาฉันเข้าบ้านหน่อย”

ผมหันไปที่รถ ลุงแกปลดเข็มขัดนิรภัยแล้ว กำลังยงโย่ยงหยกเปิดประตูขยับจะออกมาจากรถ

ผมรีบเข้าไปพยุงแกให้ลุกขึ้น และพาแกเดินมาที่ประตูซึ่งกำลังเลื่อนเปิด ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาตกใจแกมพิศวงคู่นั้นที่มองมายังผมกับลุง

“คุณจะขับรถเข้าไปจอดข้างในเลยก็ได้นะค่ะ จะได้ไม่ต้องพาคุณหนูเดิน......”

“ไป พ่อหนุ่ม พาฉันเข้าบ้าน” ลุงพูดตัดบทขึ้นด้วยเสียงลิ้นไก่สั้น ร่างซวนเซจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ทำให้ผมต้องดึงร่างแกมากระชับแนบตัว ค่อยๆพาเดินไปข้างหน้าสู่ตัวบ้านอย่างระมัดระวัง

หญิงสาวที่เดินตามหลังมองตามด้วยสายตาตื่นตะหนก คิดขึ้นในใจ

“ปกติคุณหนูเย่อหยิ่งจะตาย ไม่เคยพาผู้ชายเข้าบ้าน ไม่แสดงความสนิทสนมกับใคร โถ ผู้ชายคนนี้เธอคงต้องมีใจแน่ ถึงได้ยอมอิงแอบแนบชิดอย่างนี้”

พอผมเดินมาถึงลานบันไดหินอ่อน คุณลุงที่ง่อกแง่กด้วยอาการเมากลับคืนสติขึ้นมาดื้อๆ กระซิบบอกผมด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“ขอบใจโว้ยไอ้หนุ่ม ประเดี๋ยวเมียฉันอาจจะออกมาบ่นก่นว่าอะไร ทำใจเย็นๆไว้. ถึงที่สุดแล้วให้พูดว่า แม่มะเหมี่ยว ฉันคิดถึงเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงแม้ฉันจะจากไกล........”

“คุณ” หญิงสูงวัยคนหนึ่งเดินออกมายืนจังก้าขวางหน้า “ปล่อยมือออกจากคุณหนูได้แล้ว แล้วเข้าไปพบคุณท่าน เธอมีอะไรจะถามคุณ”

พูดจบก็เดินปรี่เข้ามาคว้ากึ่งๆกระชากร่างของลุงไปจากผม โอบประคองไว้เสียเองอย่างทะนุถนอม หญิงสาวที่เปิดประตูให้เมื่อสักครู่รีบเข้ามาช่วยคุณลุงที่ทรงตัวยักแย่ยักยัน

“คุณท่านรออยู่ รีบเข้าไปหา”

หญิงมีอายุคนนั้นหันมาส่งเสียงสำทับหนักๆอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าผมยังละล้าละลัง

ผมเดินเข้าไปในห้องรับรับแขกที่โอ่โถง สิ่งประดับประดาทุกอย่างล้วนประเมินมูลค่าไม่ได้ สายตาผมมาหยุดที่โต๊ะลายทองฝังมุก เพราะข้างหลังโต๊ะมีสตรีวัยกลางคนท่าทางสูงสง่านั่งอยู่ตรงเก้าอี้บุหนังขอบทำด้วยโลหะเลื่อมทอง เพ่งมองมาที่ผมด้วยนัยน์ตาคมกริบ

“เธอรู้จักสนิทสนมกับยายรจตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้ แล้วทำไมเธอเป็นคนมาส่ง ยายนานารับปากรับคำเป็นอย่างดีตอนมารับ ว่าจะเป็นคนพายายรจกลับมาส่งเอง”

ผู้หญิงคนนั้นยิงคำถามใส่ผมอย่างไม่ให้ตั้งตัว ก่อนอื่น ผมยกมือไหว้ท่านตามขนบธรรมเนียมอันดีงาม สงบจิตสงบใจตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ผมไปงานวันเกิดเพื่อนครับ เผอิญเจอ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตั้งใจจะกลับอยู่พอดี คุณลุงขอให้มาส่งผมก็เลย.......”

“เธอพูดอะไรของเธอ” สตรีคนนั้นเสียงเข้มขึ้น หากคิดอะไรได้เสียงนั้นถึงได้ผ่อนลงแต่ยังมีสำเนียงเยาะหยัน

“อ้อ คงจะยังเมาอยู่ล่ะสิท่า เอาเถอะ เธอไปได้แล้ว ถามอะไรต่อก็เห็นจะไม่ได้ความ เอาเป็นว่าฉันขอบใจแล้วกันที่พาลูกสาวฉันมาส่ง แต่อย่าคิดไปไกลอื่น อยู่ห่างๆลูกสาวฉันไว้”

ผมชักเคือง ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง ดีว่ายับยั้งอารมณ์ไว้ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว เลยยกมือไหว้ลาตามมารยาท ขณะจะหันหลังเดินไปให้พ้นๆเสียทีด้วยความฉุน

“ลูกสาวเราดื้อเหลือเกิน ถอดแบบมาจากคุณพี่ไม่มีผิด “ เสียงบ่นพึมพำกับตัวเองนั้นทำให้ผมชะงัก อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

สตรีนางนั้นซบหน้าลงกับฝ่ามือ ตัวเธอสั่นเทาเล็กน้อยอย่างน่าสงสาร หญิงคนนี้คงเข้าใจว่าผมเดินห่างออกไปแล้ว จึงได้หลุดอารมณ์สะทกสะท้อนอ่อนไหวออกมา

“คุณพี่ไม่น่ามาด่วนจากน้องไปเลย คุณพี่คิดถึงน้อง ถึงลูกบ้างหรือเปล่า”

ผมถอนใจเดินกลับมา พยายามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตั้งใจจะถ่ายทอดคำพูดของลุงแล้วจะได้ไปจากบ้านหลังนี้เสียที

“ถ้าคุณผู้หญิงหมายถึงคุณลุงที่ผมเพิ่งพามาส่ง คุณลุงได้บอกกับผมว่า คิดถึงแม่มะเหมี่ยวอยู่ทุกวัน”

สตรีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่ของผมสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองมาทางผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง สีหน้าแสดงออกซึ่งความอัศจรรย์ใจอย่างล้นพ้น ปากของเธอสั่นเล็กน้อย

“ ธะ เธอ รู้ชื่อนี้ได้อย่างไร  มีแต่ฉันกับ..........คุณพี่เท่านั้นที่รู้ และใช้เรียก.......... “
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่