โครงการรักที่พักใจ
บทที่ 3
พนักงานคนใหม่ (2)
“สวัสดีค่ะทุกคน” สาวร่างอวบไหว้รอบทิศทักทายเพื่อนร่วมงานในแผนกพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ราวสิบกว่าคน ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ใบโตไว้บนโต๊ะ แต่ยังไม่ทันหย่อนตัวลงนั่นเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น
“ไง ได้ข่าวเมื่อคืนวิญญาณจาพนมเข้าสิงห์เหรอ”
“ช้างข้าอยู่ไหน...เง้อ...จาเจออะไรกันลุง” สาวร่างอวบหันไปค้อนให้กับชายแก่คราวพ่อที่เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับกาแฟกรุ่นในมือ
“ดื่มสิ แก้ง่วง ลุงชงเองเลยนะ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนอนดึกไม่ใช่เหรอ” ขวัญชัยพนักงานเก่าแก่ที่สุดในแผนกยื่นแก้วกาแฟให้หญิงสาวรุ่นลูกด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณค่ะลุง” ปุณยภายื่นมือรับอย่างว่าง่าย สมองเธอตอนนี้ยังเบลอจากอาการนอนน้อยไม่หาย “ว่าแต่ลุงรู้ได้ไงคะ”
“เขารู้กันทั้งบริษัทแล้วล่ะค่ะคุณน้อง” เสียงแหลมของสาวร่างเล็กดังแทรกขึ้น “สงสารน้องน้ำเนอะ ไม่น่าเจอคนเลวๆ แบบนั้นเลย ผู้ชายเนี่ยมันเลว...เหมือนกันหมดเลยจริงๆ” พูดเสร็จเจ้าหล่อนก็หันไปมองค้อนให้กับชายวัยกลางคนหนึ่งเดียวในวงสนทนา
“เอ้า ไอ้ยิ้ม ทำไมมองลุงแบบนั้นล่ะ ลุงไม่เกี่ยวนะ”
“ยิ้มก็ไม่ว่าอะไรลุงซักหน่อย แหม่ ร้อนตัว” ตาโตจ้องมองผู้อาวุโสกว่าด้วยแววตาหยอกเย้า
“ไม่พูดกับไอ้พวกนี้ละ กลับไปทำงานดีกว่า” รางท้วมหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะะทำงานของตน “เอ้อ รัน เดี๋ยวเอาแฟ้มข้อมูล landbank มาให้ลุงด้วยนะลูก”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะหยิบแฟ้มจากโต๊ะทำงานของตนขึ้นมาถือไว้ “ว่าแต่เจ๊รู้ได้ไงอะ”
“ก็หล่อนไปที่นั่นกับใครละจ๊ะ” พอพูดถึงตรงนี้ปุณยภาก็เข้าใจในทันที
“ออ...พี่ฝน”
“CNN ประจำบริษัท นางรู้ลึก รู้จริง รู้ทุกสิ่งบนเตียงเพื่อนร่วมงาน” ได้ฟังแบบนี้สาวร่างอวบถึงกับส่ายหน้า เธอลืมไปเสียสนิทว่าพกาวรรณไม่เคยปิดเรื่องราวใดๆ ไว้เป็นความลับเลย
หญิงสาวเดินไปยังโต๊ะของขวัญชัย ก่อนจะส่งแฟ้มข้อมูล landbank จังหวัดเชียงใหม่ของทุกธนาคารให้กับเขา
“รันว่ามีหลายที่เลยค่ะที่น่าสนใจ”
“อื้ม ลุงขอเวลาดูแป๊บหนึ่งนะ” ชายวัยกลางคนรับแฟ้มไปเปิดพลิกดูอย่างพิจารณา
หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัวของตน ยกกาแฟขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ แต่แล้วเธอก็แทบสำลัก เมื่อสายตาปะสานเข้ากับบุคคลที่ก้าวเดินเข้ามายังห้องทำงานของตน
“สวัสดีค่ะ ผู้จัดการ” เสียงทักทายจากพนักงานสาวๆ ดังขึ้น แทนทีสายตาของทุกคนจะมองตรงไปยังผู้ที่ตนเอ่ยทักทาย แต่สายตาทุกคู่กลับมองเลยไปยังชายหนุ่มสูงหล่อด้านหลัง
“สวัสดีๆ ทุกคน” พรทัตชายวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกับขวัญชัยเอ่ยทักทายพนักงานของตนอย่างยิ้มแย้ม “อย่างที่เห็นว่าวันนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักพนักงานคนใหม่ที่จะเข้ามาทำงานแทนวรรณิษาที่ลาออกไป” เขากล่าวก่อนที่จะภายมือไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เออคุณช่วยแนะนำตัวเองให้เพื่อนร่วมงานรู้จักหน่อยได้ไหม”
“สวัสดีครับ ผมพีชญะ พงศ์พัฒน์ตระกูล หรือเรียกสั้นๆ ว่าธีร์ก้ได้ครับ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัว มีอะไรก็ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ” กล่าวเสร็จชายหนุ่มก็โค้งตัวลงเล็กน้อย รอยยิ้มบางๆ ทำให้สาวๆ ในแผนกถึงกับกรี๊ดกร๊าด จะมีก็แต่ปุณยภาที่นั่งอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มมองไปรอบห้อง แต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าของตนเป็นใคร รอยยิ้มบางๆ ก็หุบลงทันใด
“ยายนักมวย” เสียงร้องทักของเขาทำให้ทุกคนต้องหันไปตามนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มที่ชี้ไปยังสาวร่างอวบ
“นายเรียกใครว่านักมวยฮะ” เสียงที่ว่าขุ่นยังไม่ได้ครึ่งของอารมณ์ผู้พูด
“จะเรียกใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เธอ” เขาตอบกลับแทบจะทันทีทันใด
“นี่ พูดแบบนี้ อยากมีเรื่องใช่ไหม” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะซวยต้องมาเจอกับผู้ชายคนนี้อีก นึกว่าเธอจะหมดเวรหมดกรรมกับเขาไปตั้งแต่แยกย้ายกันเมื่อคืนซะอีก
“เออ เดี๋ยวๆ เธอสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ” ผู้จัดการเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากคนอื่นๆ ในแผนกเลย
“เปล่าครับ/ค่ะ” ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ออ อย่างนั้นเหรอ” คิ้วหนาที่เริ่มมีสีดอกเทาแทรกปนอยู่เลิกสูงด้วยความสงสัย ก่อนจะคลายลง แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นอีกครั้ง “ช่างเถอะๆ เดี๋ยวคุณนั่งตรงนั้นแล้วกันนะ” ชายอาวุโสภายมือไปยังโต๊ะทำงานเดิมของวรรณิษาที่ตั้งติดอยู่กับโต๊ะทำงานของปุณญภา
“ห๊ะ” ทั้งคู่อุทานด้วยความตกใจ
“มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะผู้จัดการ” ถึงปากจะตอบไปแบบนั้น แต่ใจเธอกลับคิดตรงกันข้าม แค่คิดว่าเธอจะต้องทำงานแผนกเดียวกันกับเขา ไมเกรนก็แทบกำเริบแล้ว ถ้าหากต้องมานั่งข้างกันอีกมะเร็งไม่แทะสมองเธอเลยรึเนี่ย
“ยินดีต้อนรับนะคุณพีชญะ ดีใจที่ได้ทำงานร่วมกัน” พรทัตกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เย็นนี้ทำตัวให้ว่างนะทุกคน เราจะไปเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่กัน” สิ้นคำพูดผู้จัดการสาวๆ ในแผนกทุกคนต่างส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่
“ขอบคุณครับผู้จัดการ” ธรีย์ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้าวไปนั่งตรงเก้าอี้โต๊ะทำงานของตน
“ทำไมเธอถึงโชคร้ายขนาดนี้นะยายรัน” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงของเธอก็ดังพอให้ชายหนุ่มที่กำลังจัดของด้านข้างได้ยิน
“ทำไม การนั่งทำงานข้างฉัน มันทำให้เธอมีปัญหาชีวิตเพิ่มขึ้นรึไง”
“ก็ใช่น่ะสิ” เสียงของปุณยภาที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนที่กำลังแยกย้ายกันไปทำงานต้องหันกลับมามองยังคนทั้งคู่อีกครั้ง
“เธอกลัวที่จะต้องนั่งข้างฉันงั้นสิ”
“ใครบอกว่าฉันกลัว ฉันแค่ไม่อยากจะซวยเพราะนายอีกต่างหาก” ไอ้แค่เรื่องเมื่อคืนมันก็มากเกินไปแล้ว
“ใครกันแน่ที่จะซวย ดูนี่ซะก่อน” ชายหนุ่มชี้ไปที่เสื้อผ้าของตนที่ชุ่มน้ำ
“นายไปเล่นน้ำที่ไหนมาล่ะ”
“พูดมาได้ เธอทำอะไรไว้กับฉันไม่รู้ตัวเลยรึไง”
“ฉันไปทำอะไรนายเมื่อไหร่กัน” เมื่อเช้าตื่นมาเธอก็รีบแต่งตัวออกมาทำงานเลยไม่ได้เจอหรือพูดอะไรกับใครเลยด้วยซ้ำ
“นี่เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าขี่มอเตอร์ไซด์เหยียบน้ำกระเด็นเลอะตัวคนอื่นจนเปียกขนาดนี้น่ะ”
“อย่ามาใส่ร้ายกันลอยๆ แบบนี้นะ”
แต่แล้วก็กลับเป็นปุณยภาซะเองที่ต้องทำหน้าเจื่อน เมื่อเขาสามารถบอกได้ทั้ง ลักษณะรถ ป้ายทะเบียนรถ เสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ และสถานที่ที่เกิดเหตุ เมื่อถูกต้อนจนมุมแบบนี้เธอจึงไม่สามารถเถียงอะไรได้อีก
“แล้วนี่จะไม่คิดขอโทษกันเลยงั้นสิ” ชายหนุ่มถามอย่างคาดคั้น
“ฉัน...ขอ...โทษ...ก็ได้” แต่ละคำช่างหลุดออกมาอย่างยากลำบาก ถึงแม้เธอจะรู้สึกไม่ชอบหน้าเขาซักเท่าไหร่ แต่หากเธอผิดก็พร้อมจะยอมรับผิด ไม่คิดจะเถียงข้างๆ คู่ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
พีชญะยิ้มอย่างพึงพอใจในชัยชนะครั้งนี้ของตน
สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังคู่ปรับป้ายแดง สงสัยครั้งนี้แผนกจะมีมวยถูกคู่เสียแล้ว
“สงสัยเธอกับฉันจะต้องเจอกันอีกนานนะ” เขาส่งยิ้มยียวนไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งทำหน้ามุ่ย
“ย่ะ” เธอหันไปตอบเสียงหนักแน่น ก่อนจะสะบัดหน้าหนี รู้สึกได้ถึงไม่เกรนที่เริ่มปวดตึบในหัว
โครงการรักที่พักใจ (ตอนที่ 3.2 ค่ะ ต่อจากกระทู้ที่แล้ว)
โครงการรักที่พักใจ
บทที่ 3
พนักงานคนใหม่ (2)
“สวัสดีค่ะทุกคน” สาวร่างอวบไหว้รอบทิศทักทายเพื่อนร่วมงานในแผนกพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ราวสิบกว่าคน ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ใบโตไว้บนโต๊ะ แต่ยังไม่ทันหย่อนตัวลงนั่นเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น
“ไง ได้ข่าวเมื่อคืนวิญญาณจาพนมเข้าสิงห์เหรอ”
“ช้างข้าอยู่ไหน...เง้อ...จาเจออะไรกันลุง” สาวร่างอวบหันไปค้อนให้กับชายแก่คราวพ่อที่เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับกาแฟกรุ่นในมือ
“ดื่มสิ แก้ง่วง ลุงชงเองเลยนะ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนอนดึกไม่ใช่เหรอ” ขวัญชัยพนักงานเก่าแก่ที่สุดในแผนกยื่นแก้วกาแฟให้หญิงสาวรุ่นลูกด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณค่ะลุง” ปุณยภายื่นมือรับอย่างว่าง่าย สมองเธอตอนนี้ยังเบลอจากอาการนอนน้อยไม่หาย “ว่าแต่ลุงรู้ได้ไงคะ”
“เขารู้กันทั้งบริษัทแล้วล่ะค่ะคุณน้อง” เสียงแหลมของสาวร่างเล็กดังแทรกขึ้น “สงสารน้องน้ำเนอะ ไม่น่าเจอคนเลวๆ แบบนั้นเลย ผู้ชายเนี่ยมันเลว...เหมือนกันหมดเลยจริงๆ” พูดเสร็จเจ้าหล่อนก็หันไปมองค้อนให้กับชายวัยกลางคนหนึ่งเดียวในวงสนทนา
“เอ้า ไอ้ยิ้ม ทำไมมองลุงแบบนั้นล่ะ ลุงไม่เกี่ยวนะ”
“ยิ้มก็ไม่ว่าอะไรลุงซักหน่อย แหม่ ร้อนตัว” ตาโตจ้องมองผู้อาวุโสกว่าด้วยแววตาหยอกเย้า
“ไม่พูดกับไอ้พวกนี้ละ กลับไปทำงานดีกว่า” รางท้วมหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะะทำงานของตน “เอ้อ รัน เดี๋ยวเอาแฟ้มข้อมูล landbank มาให้ลุงด้วยนะลูก”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะหยิบแฟ้มจากโต๊ะทำงานของตนขึ้นมาถือไว้ “ว่าแต่เจ๊รู้ได้ไงอะ”
“ก็หล่อนไปที่นั่นกับใครละจ๊ะ” พอพูดถึงตรงนี้ปุณยภาก็เข้าใจในทันที
“ออ...พี่ฝน”
“CNN ประจำบริษัท นางรู้ลึก รู้จริง รู้ทุกสิ่งบนเตียงเพื่อนร่วมงาน” ได้ฟังแบบนี้สาวร่างอวบถึงกับส่ายหน้า เธอลืมไปเสียสนิทว่าพกาวรรณไม่เคยปิดเรื่องราวใดๆ ไว้เป็นความลับเลย
หญิงสาวเดินไปยังโต๊ะของขวัญชัย ก่อนจะส่งแฟ้มข้อมูล landbank จังหวัดเชียงใหม่ของทุกธนาคารให้กับเขา
“รันว่ามีหลายที่เลยค่ะที่น่าสนใจ”
“อื้ม ลุงขอเวลาดูแป๊บหนึ่งนะ” ชายวัยกลางคนรับแฟ้มไปเปิดพลิกดูอย่างพิจารณา
หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัวของตน ยกกาแฟขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ แต่แล้วเธอก็แทบสำลัก เมื่อสายตาปะสานเข้ากับบุคคลที่ก้าวเดินเข้ามายังห้องทำงานของตน
“สวัสดีค่ะ ผู้จัดการ” เสียงทักทายจากพนักงานสาวๆ ดังขึ้น แทนทีสายตาของทุกคนจะมองตรงไปยังผู้ที่ตนเอ่ยทักทาย แต่สายตาทุกคู่กลับมองเลยไปยังชายหนุ่มสูงหล่อด้านหลัง
“สวัสดีๆ ทุกคน” พรทัตชายวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกับขวัญชัยเอ่ยทักทายพนักงานของตนอย่างยิ้มแย้ม “อย่างที่เห็นว่าวันนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักพนักงานคนใหม่ที่จะเข้ามาทำงานแทนวรรณิษาที่ลาออกไป” เขากล่าวก่อนที่จะภายมือไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เออคุณช่วยแนะนำตัวเองให้เพื่อนร่วมงานรู้จักหน่อยได้ไหม”
“สวัสดีครับ ผมพีชญะ พงศ์พัฒน์ตระกูล หรือเรียกสั้นๆ ว่าธีร์ก้ได้ครับ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัว มีอะไรก็ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ” กล่าวเสร็จชายหนุ่มก็โค้งตัวลงเล็กน้อย รอยยิ้มบางๆ ทำให้สาวๆ ในแผนกถึงกับกรี๊ดกร๊าด จะมีก็แต่ปุณยภาที่นั่งอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มมองไปรอบห้อง แต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าของตนเป็นใคร รอยยิ้มบางๆ ก็หุบลงทันใด
“ยายนักมวย” เสียงร้องทักของเขาทำให้ทุกคนต้องหันไปตามนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มที่ชี้ไปยังสาวร่างอวบ
“นายเรียกใครว่านักมวยฮะ” เสียงที่ว่าขุ่นยังไม่ได้ครึ่งของอารมณ์ผู้พูด
“จะเรียกใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เธอ” เขาตอบกลับแทบจะทันทีทันใด
“นี่ พูดแบบนี้ อยากมีเรื่องใช่ไหม” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะซวยต้องมาเจอกับผู้ชายคนนี้อีก นึกว่าเธอจะหมดเวรหมดกรรมกับเขาไปตั้งแต่แยกย้ายกันเมื่อคืนซะอีก
“เออ เดี๋ยวๆ เธอสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ” ผู้จัดการเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากคนอื่นๆ ในแผนกเลย
“เปล่าครับ/ค่ะ” ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ออ อย่างนั้นเหรอ” คิ้วหนาที่เริ่มมีสีดอกเทาแทรกปนอยู่เลิกสูงด้วยความสงสัย ก่อนจะคลายลง แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นอีกครั้ง “ช่างเถอะๆ เดี๋ยวคุณนั่งตรงนั้นแล้วกันนะ” ชายอาวุโสภายมือไปยังโต๊ะทำงานเดิมของวรรณิษาที่ตั้งติดอยู่กับโต๊ะทำงานของปุณญภา
“ห๊ะ” ทั้งคู่อุทานด้วยความตกใจ
“มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะผู้จัดการ” ถึงปากจะตอบไปแบบนั้น แต่ใจเธอกลับคิดตรงกันข้าม แค่คิดว่าเธอจะต้องทำงานแผนกเดียวกันกับเขา ไมเกรนก็แทบกำเริบแล้ว ถ้าหากต้องมานั่งข้างกันอีกมะเร็งไม่แทะสมองเธอเลยรึเนี่ย
“ยินดีต้อนรับนะคุณพีชญะ ดีใจที่ได้ทำงานร่วมกัน” พรทัตกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เย็นนี้ทำตัวให้ว่างนะทุกคน เราจะไปเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่กัน” สิ้นคำพูดผู้จัดการสาวๆ ในแผนกทุกคนต่างส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่
“ขอบคุณครับผู้จัดการ” ธรีย์ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้าวไปนั่งตรงเก้าอี้โต๊ะทำงานของตน
“ทำไมเธอถึงโชคร้ายขนาดนี้นะยายรัน” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงของเธอก็ดังพอให้ชายหนุ่มที่กำลังจัดของด้านข้างได้ยิน
“ทำไม การนั่งทำงานข้างฉัน มันทำให้เธอมีปัญหาชีวิตเพิ่มขึ้นรึไง”
“ก็ใช่น่ะสิ” เสียงของปุณยภาที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนที่กำลังแยกย้ายกันไปทำงานต้องหันกลับมามองยังคนทั้งคู่อีกครั้ง
“เธอกลัวที่จะต้องนั่งข้างฉันงั้นสิ”
“ใครบอกว่าฉันกลัว ฉันแค่ไม่อยากจะซวยเพราะนายอีกต่างหาก” ไอ้แค่เรื่องเมื่อคืนมันก็มากเกินไปแล้ว
“ใครกันแน่ที่จะซวย ดูนี่ซะก่อน” ชายหนุ่มชี้ไปที่เสื้อผ้าของตนที่ชุ่มน้ำ
“นายไปเล่นน้ำที่ไหนมาล่ะ”
“พูดมาได้ เธอทำอะไรไว้กับฉันไม่รู้ตัวเลยรึไง”
“ฉันไปทำอะไรนายเมื่อไหร่กัน” เมื่อเช้าตื่นมาเธอก็รีบแต่งตัวออกมาทำงานเลยไม่ได้เจอหรือพูดอะไรกับใครเลยด้วยซ้ำ
“นี่เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าขี่มอเตอร์ไซด์เหยียบน้ำกระเด็นเลอะตัวคนอื่นจนเปียกขนาดนี้น่ะ”
“อย่ามาใส่ร้ายกันลอยๆ แบบนี้นะ”
แต่แล้วก็กลับเป็นปุณยภาซะเองที่ต้องทำหน้าเจื่อน เมื่อเขาสามารถบอกได้ทั้ง ลักษณะรถ ป้ายทะเบียนรถ เสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ และสถานที่ที่เกิดเหตุ เมื่อถูกต้อนจนมุมแบบนี้เธอจึงไม่สามารถเถียงอะไรได้อีก
“แล้วนี่จะไม่คิดขอโทษกันเลยงั้นสิ” ชายหนุ่มถามอย่างคาดคั้น
“ฉัน...ขอ...โทษ...ก็ได้” แต่ละคำช่างหลุดออกมาอย่างยากลำบาก ถึงแม้เธอจะรู้สึกไม่ชอบหน้าเขาซักเท่าไหร่ แต่หากเธอผิดก็พร้อมจะยอมรับผิด ไม่คิดจะเถียงข้างๆ คู่ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
พีชญะยิ้มอย่างพึงพอใจในชัยชนะครั้งนี้ของตน
สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังคู่ปรับป้ายแดง สงสัยครั้งนี้แผนกจะมีมวยถูกคู่เสียแล้ว
“สงสัยเธอกับฉันจะต้องเจอกันอีกนานนะ” เขาส่งยิ้มยียวนไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งทำหน้ามุ่ย
“ย่ะ” เธอหันไปตอบเสียงหนักแน่น ก่อนจะสะบัดหน้าหนี รู้สึกได้ถึงไม่เกรนที่เริ่มปวดตึบในหัว