บทก่อนหน้า
บทนำ
http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/31319220
“เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็ได้ทำงานแล้ว จะรับผ้าพวกนี้จากผมได้หรือยัง” ชายหนุ่มถามยิ้ม ๆ ณัฐญาณ์ซึ่งกำลังอารมณ์ดีที่จะมีอะไรทำมากกว่าเดินไปเดินมาไปวัน ๆ จึงพยักหน้ารับ ใบหน้ายิ้มพราย กล่าวตอบอย่างตื่นเต้น
“รับสิคะ ไหนดูซิ สวยถูกใจหรือเปล่า” ว่าพลางหยิบผ้าในห่อขึ้นมาพิจารณา
ผ้าในห่อเป็นผ้าพื้นหลากสี พับซ้อนกันมาเป็นตั้ง ชิ้นบนสุดซึ่งหญิงสาวหยิบขึ้นพิจารณาเป็นชิ้นแรก เป็นผ้าไหมสีม่วงอ่อนทออย่างประณีต ให้สัมผัสเนียนมือ ณัฐญาณ์เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มและพบว่าเขาจับจ้องเธออยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้ายิ้มละไม ทำให้รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเขาในเวลานี้ทอประกายบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวไม่กล้าสบตา จึงเสมองผ้าในมือ กล่าวเสียงเบา
“สวยจังเลยค่ะ”
“ผ้าไหม ที่เมลเบิร์นมีร้านของพวกคนจีนหลายร้านที่มีผ้าไหมทอมือสวย ๆ” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะกล่าวต่อ
“ภรรยาของคุณอดัมส์เพื่อนของผม กรุณาไปเลือกซื้อผ้าให้กับคุณ ผมเชื่อในรสนิยมของเธอ”
“สวยทุกชิ้นเลยค่ะ เธอเลือกได้ดีมาก” หญิงสาวบอก ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ
“นอกจากผ้าไหมก็มีผ้าซาติน กับผ้าสักหลาด คุณน่าจะปรึกษาเอลิซาเบธได้ว่าจะใช้ผ้าชิ้นไหนสำหรับตัดชุดอะไร” ชายหนุ่มแนะนำ
“แต่ฉันคงตัดเองไม่ได้นะคะวิลเลียม ฉันจะขอให้เอลานอร์ตัดให้ได้ไหมคะ ฉันพยายามแล้ว แต่ดูเหมือนการตัดเสื้อจะยากเกินไปสำหรับฉัน”
ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะเบา ๆ อย่างขบขัน เมื่อได้ยินหญิงสาวสารภาพเช่นนั้น
“แนท คุณคิดจริงจังหรือว่าคุณจำเป็นต้องตัดเสื้อใส่เองให้ได้” ถามน้ำเสียงเจือแววเอ็นดู
“ก็คุณบอกว่าคนทั่วไปต้องตัดเสื้อผ้าใส่เอง” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย เริ่มไม่เข้าใจ ก็เขาเป็นคนบอกเองว่า ที่เมืองนี้ไม่มีร้านตัดเสื้อ ผู้คนในเมืองต้องตัดเสื้อผ้าใส่เอง พอเธอตั้งอกตั้งใจที่จะเรียนตัดเสื้อให้ได้ เขากลับหัวเราะเธอเสียอย่างนั้น
“ก็ใช่ คนทั่วไปจำเป็นต้องตัดเสื้อใส่เอง แต่คุณไม่ใช่คนทั่วไปนี่” ชายหนุ่มตอบ สายตายังเจือแววขบขัน
“อ้าว” อุทานอย่างไม่เข้าใจ กำลังจะอ้าปากถามแล้วว่าหากเธอไม่ใช่คนทั่วไปแล้วเป็นคนอะไร แต่ดูเหมือนอีกคนจะรู้ทัน เขาตอบมาก่อนที่เธอจะถาม
“คุณไม่ใช่คนทั่วไป แต่คุณเป็นคนของผม ผมมั่งคั่งพอที่จะจ่ายค่าตัดเสื้อให้คุณได้ ถ้าคุณตัดเองไม่เป็น”
“เอ๊ะ! ก็ฉันบอกว่าไม่ต้องการรับอะไรจากคุณที่มากเกินความจำเป็นไงคะ” หญิงสาวเริ่มโวยวาย คิดว่าคุยกันเข้าใจแล้ว พอเธอเผลอหน่อย เขาก็จะเล่นบทพ่อบุญทุ่มอีกแล้ว
“ก็เราตกลงกันแล้วว่าคุณจะทำงานให้ผม แลกกับการที่ผมจะดูแลคุณอย่างที่เจ้าบ้านที่ดีพึงกระทำอย่างไรเล่า”
คนได้ฟังถึงกลับกลอกตา หญิงสาวแน่ใจว่าไม่ได้ตกลงกับเขาอย่างนั้นเสียหน่อย แต่ก็ขี้คร้านจะเถียง เพราะดูเหมือนเขาจะถือเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีของเขาเหลือเกิน กับการที่จะดูแลคนที่เขาเรียกว่า ‘แขก’ อย่างเธอให้อยู่สุขสบาย ไหน ๆ ตอนนี้เขาก็ยอมให้เธอช่วยงานแล้ว ถือว่าได้แค่นี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย หญิงสาวจึงสงบปากสงบคำ และยอมให้เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีอย่างที่เขาต้องการ
“ฉันจะได้เริ่มทำงานเมื่อไรคะ” หญิงสาวถาม หลังจากพิจารณาผ้าในกองตรงหน้าจนพอใจแล้ว
“วันที่คุณไม่ต้องสอนที่โรงเรียน”
“ฉันสอนที่โรงเรียนเฉพาะเช้าวันจันทร์ถึงวันพุธค่ะ ตอนบ่ายก็ว่างแล้ว ส่วนพฤหัสกับศุกร์ทำงานให้คุณได้เต็มวัน แล้วเสาร์กับอาทิตย์... เอ๊ะ ที่นี่เสาร์ – อาทิตย์เป็นวันหยุดหรือเปล่าคะ” ถามอย่างไม่แน่ใจว่าคนในสมัยโบราณจะหยุดงานในวันสุดสัปดาห์เช่นปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้อีกครั้ง
“คนสมัยเก่าอย่างเราก็มีวันหยุดเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มเย้า ณัฐญาณ์ยิ้มเก้อ ๆ แก้ตัวเสียงอ้อมแอ้ม
“ก็เผื่อคนโบราณจะหยุดไม่เหมือนคนสมัยใหม่ไงคะ” ตอบไปแล้วก็อยากกัดลิ้นตนเอง เพราะชายหนุ่มถามกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สำหรับคุณ ผมคงเป็นแค่คนโบราณใช่ไหม”
“ก็... เอ่อ... ขอโทษค่ะหากทำให้คุณไม่พอใจ แต่ถ้าจะนับกันจริง ๆ คุณก็อายุมากว่าฉันร้อยกว่าปีเชียวนะคะ” ดูเอาเถอะ ควรจะหยุดพูดเรื่องโบราณไม่โบราณนี่ เธอกลับไปย้ำกับเขาว่าเขาแก่กว่าเธอเป็นร้อยปีเสียอย่างนั้น แล้วดูใบหน้าเรียบเฉยนั่นสิ คราวนี้ดูบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
“วิลคะ...” ณัฐญาณ์เรียกเสียงงอนง้อ มือบางวางลงบนมือใหญ่
“โกรธหรือคะ อย่าโกรธเลยนะ ฉันไม่ได้ว่าคุณแก่เสียหน่อย”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่รู้ตัวว่าผมโบราณเกินไปสำหรับคนสมัยใหม่อย่างคุณ” โบราณเกินไปอย่างนั้นหรือ เขาพูดอะไรของเขา โบราณเกินไป... เกินไปสำหรับอะไรกัน
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าฉันขอโทษ และฉันจะไม่เรียกคุณว่าคนโบราณอีกดีไหมคะ
“ขอโทษทำไม ก็ผมเป็นคนโบราณจริง ๆ” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะลุกขึ้น หันมาถามหญิงสาวที่ยังคงนั่งอยู่
“จะไปห้องอาหารด้วยกันไหม”
“ไปสิคะ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน มองเห็นคนตัวโตกว่ายื่นแขนขวามาให้ จึงวางมือลงไป ก่อนจะเดินเคียงกันไปยังห้องอาหาร
แม้ดูเหมือนจะไม่พอใจหรือน้อยใจกับคำพูดของเธอ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยลืมมารยาทของเขาเลยสักครั้ง แล้วมาทำเป็นโกรธที่ถูกเรียกคนโบราณ ก็ดูความมีพิธีรีตองของเขาสิ หนุ่มสมัยใหม่ที่ไหนทำแบบนี้บ้าง และความคิดนั่นก็ทำให้คนแอบนินทาชายหนุ่มอยู่ในใจมีรอยยิ้มเบาบางประดับใบหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ช่วงนี้เราจะมีเรือเข้ามารับน้ำมันและกระดูกวาฬจากเราค่อนข้างมาก” ชายหนุ่มบอกกับพนักงานคนใหม่ หลังจากตกลงวันทำงานได้ว่าหญิงสาวจะมาช่วยเขาทำงานในส่วนเอกสารทุกวันพฤหัสบดีและศุกร์ และตอนบ่ายของวันจันทร์ – พุธหากมีเรื่องเร่งด่วนให้ทำ และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่หญิงสาวเริ่มทำงาน โดยมีข้อแม้ว่า เธอจะต้องนั่งทำงานอยู่แต่ในห้องทำงานบนบ้านเท่านั้น ห้ามเข้าไปยังสถานีแปรรูปเด็ดขาดหากไม่มีชายหนุ่มไปด้วย โดยเขาให้เหตุผลกับเธอว่า ที่สถานีแปรรูปมีแต่คนงานผู้ชาย หากหญิงสาวจะเข้าไปเพียงลำพังนั้นจะเป็นการ ‘ไม่งาม’ ซึ่งคนฟังก็ได้แต่กลอกตากับธรรมเนียมโบราณที่เธอยังคงไม่คุ้นเคย แต่หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะไม่ปฏิบัติตามแต่อย่างใด เพราะเข้าใจดีว่า เมื่อเธอมาอาศัยอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมที่นี่ ก็ควรต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานอันดีงามของสังคม แม้จะเห็นว่ามันไร้สาระเพียงใดก็ตาม
“ฤดูกาลที่ผ่านมาค่อนข้างเป็นฤดูกาลที่ดี เราจับวาฬได้ถึง ๓๕๐ ตัว ได้น้ำมันวาฬราว ๆ เกือบเก้าพันถัง พวกลูกเรือยิ้มกันทีเดียวเพราะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ” ชายหนุ่มเล่าใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อ้าว ถ้าจับวาฬได้มาก คนงานก็มีรายได้มากหรือคะ ฉันนึกว่าคุณจ่ายพวกเขาเป็นเงินเดือน”
“ไม่หรอก เราจ่ายแบบแบ่งส่วน ถ้าจับวาฬได้มาก ลูกเรือก็ได้ส่วนแบ่งมาก ถ้าฤดูกาลไหนจับวาฬไม่ได้ ก็อดกันทุกคน รวมทั้งผมด้วย” ชายหนุ่มว่า ในใจนึกไปถึงฤดูกาลที่จับวาฬได้เพียงสิบตัว สำหรับเขาไม่กระทบกระเทือนมาก เพราะยังมีเงินทุนสำรอง แต่กับพวกลูกเรือ หากเขาจะหักเงินค่าเสื้อผ้าและสิ่งของอื่น ๆ ก็แทบไม่เหลือเงินกลับไปหาครอบครัวเลยทีเดียว ปีนั้นเขาจึงให้เสื้อผ้าและของใช้จำเป็นสำหรับลูกเรือฟรี ๆ เพราะบางครั้ง การซื้อใจลูกเรือก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนายจ้างอย่างเขา หากต้องการคนที่ทำงานให้ด้วยใจ
“นี่คือออร์เดอร์ที่เราได้รับในปีนี้” ชายหนุ่มยื่นกระดาษที่มีลายมือเล่นหางสวยงามให้หญิงสาว และอธิบายเมื่อเห็นสายตาแสดงคำถาม
“เป็นโทรเลขจากบริษัทเดินเรือ เรือพวกนี้จะขนของไปขายยังต่างประเทศ ส่วนใหญ่คือไปอังกฤษ น้ำมันวาฬที่นั่น โดยเฉพาะวาฬหัวทุย (Sperm Whale) ราคาดีมาก นอกจากน้ำมันวาฬแล้วเราก็ขายกระดูกวาฬด้วย”
“คุณจะให้ฉันทำอะไรคะ”
“คุณทำบัญชีเป็นไหม”
“ถ้าเป็นบัญชีง่าย ๆ ก็พอทำได้ค่ะ เพราะที่บ้าน ฉันทำบัญชีสำหรับงานของตนเองเช่นกัน” หญิงสาวตอบ เธอทำงานเป็นฟรีแลนซ์ จึงต้องจัดการดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายและภาษีของตนเอง ซึ่งเป็นงานง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ความรู้ทางด้านบัญชีชั้นสูงมากนัก
“ผมอยากให้คุณรวบรวมออเดอร์พวกนี้ให้เป็นหมวดหมู่ สรุปรายการสำหรับเรือแต่ละบริษัท วันที่เรือจะเทียบท่า และทำบัญชีรายรับจากค่าสินค้าทั้งหมด” ชายหนุ่มบอก เขาหยิบแฟ้มที่วางอยู่บนชั้นใส่เอกสารข้างโต๊ะทำงานมาเปิด พลางบอกหญิงสาว
“ส่วนพวกนี้เป็นรายการสินค้าที่เราต้องสั่งเพื่อเตรียมตัวสำหรับออกเรือในฤดูกาลถัดไป พวกอาหารปกติผมจะใช้รายการเดิม แต่พวกเสื้อผ้า ของใช้ของลูกเรือ ผมจะไปถามลูกเรือก่อนว่าใครต้องการอะไรบ้าง เพราะพวกเขาต้องจ่ายเงินเอง เราจะจัดหาให้เพียงอาหารเท่านั้น และหลังจากงานที่สถานีจบลง ผมจะได้ไปสั่งของพวกนี้กับร้านที่เมลเบิร์น คงสักเดือนหน้านั่นล่ะ ผมจะได้พาคุณไปเที่ยวเมลเบิร์นด้วย และพวกลูกเรือก็จะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย”
“เดือนหน้าก็พฤศจิกายน คุณจะออกเรือแล้วหรือคะ”
“ยังหรอก ฤดูกาลล่าวาฬจะเริ่มต้นในฤดูหนาว ผมจะออกเรือต้นเดือนมิถุนายนและกลับเข้าฝั่งปลายเดือนสิงหาคม แต่ต้องไปสั่งของไว้ก่อน เพราะเป็นออเดอร์ใหญ่เราต้องให้เวลากับทางร้านจัดหาของด้วย”
ณัฐญาณ์ก้มลงอ่านรายการแรกในแฟ้มตรงหน้า
“แป้งสาลี ๒ ตัน” ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มตาโต
“สองตันเชียวหรือคะ”
วิลเลียมยิ้มสีหน้าเอ็นดู ก่อนจะตอบ
“คุณคิดว่าระยะเวลาสามเดือน ควรจะใช้แป้งสาลีเท่าไรจึงจะพอสำหรับคนเกือบสามสิบคนบนเรือ”
“ไม่ทราบสิคะ ฉันไม่เคยนึกถึงเลย” หญิงสาวว่า เธอจะไปรู้ได้อย่างไร แต่แป้งสาลีสองตัน หญิงสาวรู้สึกว่ามันมหาศาลทีเดียว
“เอาล่ะ ผมจะทิ้งคุณไว้ที่นี่ หากมีปัญหาอะไร ให้แจ้งกับเอลานอร์ เธอจะไปบอกผมเอง” ชายหนุ่มบอก
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะวิลเลียมที่ให้โอกาสฉันได้ทำงานให้คุณ”
“ยินดีครับ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบใจที่ต้องใช้งานคุณก็ตาม” ชายหนุ่มตอบ เขาไม่ชอบใจจริง ๆ กับการที่หญิงสาวจะต้องทำงานให้เขา เธอควรจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย ไม่ใช่มาเป็นคนงานคนหนึ่งของเขาเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นความต้องการของเธอ และดูเหมือนการทำงานจะมีความสำคัญต่อหญิงสาวเป็นอย่างมาก เขาจึงจำเป็นต้องให้เธอได้ทำตามที่ต้องการ
“คุณไม่ได้ใช้งานฉันฟรี ๆ นี่คะ ฉันค่าตัวแพงนะจะบอกให้” หญิงสาวว่าล้อ ๆ นึกถึงสารพัดสิ่งของที่เขาสรรหามาให้เธอ ดูแล้วค่าตัวสำหรับทำงานพาร์ทไทม์ของเธอจะมากกว่างานแปลและงานล่ามที่ทำที่บ้านเสียด้วยซ้ำกระมัง
“คุณไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้ธุรกิจของคุณเสียหาย แล้วเจอกันเย็นนี้ค่ะ” ว่าพลางเดินไปส่งชายหนุ่มที่หน้าประตู
“แล้วเจอกัน นาทาย่าห์” ชายหนุ่มว่าพลางโค้งให้อย่างสุภาพ
“บายค่ะวิล” โบกมือให้ชายหนุ่มที่หมุนตัวเดินจากไป ณัฐญาณ์ยืนรอจนชายหนุ่มลับสายตาไปแล้วจึงหันกลับไปยังห้องทำงาน
หญิงสาวรู้สึกดีกับตนเองจนถึงกับฮัมเพลงเบา ๆ ขณะนั่งทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากชายหนุ่มเลยทีเดียว
สุดปลายฝัน บทที่ ๗
บทนำ http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/31319220
“เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็ได้ทำงานแล้ว จะรับผ้าพวกนี้จากผมได้หรือยัง” ชายหนุ่มถามยิ้ม ๆ ณัฐญาณ์ซึ่งกำลังอารมณ์ดีที่จะมีอะไรทำมากกว่าเดินไปเดินมาไปวัน ๆ จึงพยักหน้ารับ ใบหน้ายิ้มพราย กล่าวตอบอย่างตื่นเต้น
“รับสิคะ ไหนดูซิ สวยถูกใจหรือเปล่า” ว่าพลางหยิบผ้าในห่อขึ้นมาพิจารณา
ผ้าในห่อเป็นผ้าพื้นหลากสี พับซ้อนกันมาเป็นตั้ง ชิ้นบนสุดซึ่งหญิงสาวหยิบขึ้นพิจารณาเป็นชิ้นแรก เป็นผ้าไหมสีม่วงอ่อนทออย่างประณีต ให้สัมผัสเนียนมือ ณัฐญาณ์เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มและพบว่าเขาจับจ้องเธออยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้ายิ้มละไม ทำให้รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเขาในเวลานี้ทอประกายบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวไม่กล้าสบตา จึงเสมองผ้าในมือ กล่าวเสียงเบา
“สวยจังเลยค่ะ”
“ผ้าไหม ที่เมลเบิร์นมีร้านของพวกคนจีนหลายร้านที่มีผ้าไหมทอมือสวย ๆ” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะกล่าวต่อ
“ภรรยาของคุณอดัมส์เพื่อนของผม กรุณาไปเลือกซื้อผ้าให้กับคุณ ผมเชื่อในรสนิยมของเธอ”
“สวยทุกชิ้นเลยค่ะ เธอเลือกได้ดีมาก” หญิงสาวบอก ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ
“นอกจากผ้าไหมก็มีผ้าซาติน กับผ้าสักหลาด คุณน่าจะปรึกษาเอลิซาเบธได้ว่าจะใช้ผ้าชิ้นไหนสำหรับตัดชุดอะไร” ชายหนุ่มแนะนำ
“แต่ฉันคงตัดเองไม่ได้นะคะวิลเลียม ฉันจะขอให้เอลานอร์ตัดให้ได้ไหมคะ ฉันพยายามแล้ว แต่ดูเหมือนการตัดเสื้อจะยากเกินไปสำหรับฉัน”
ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะเบา ๆ อย่างขบขัน เมื่อได้ยินหญิงสาวสารภาพเช่นนั้น
“แนท คุณคิดจริงจังหรือว่าคุณจำเป็นต้องตัดเสื้อใส่เองให้ได้” ถามน้ำเสียงเจือแววเอ็นดู
“ก็คุณบอกว่าคนทั่วไปต้องตัดเสื้อผ้าใส่เอง” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย เริ่มไม่เข้าใจ ก็เขาเป็นคนบอกเองว่า ที่เมืองนี้ไม่มีร้านตัดเสื้อ ผู้คนในเมืองต้องตัดเสื้อผ้าใส่เอง พอเธอตั้งอกตั้งใจที่จะเรียนตัดเสื้อให้ได้ เขากลับหัวเราะเธอเสียอย่างนั้น
“ก็ใช่ คนทั่วไปจำเป็นต้องตัดเสื้อใส่เอง แต่คุณไม่ใช่คนทั่วไปนี่” ชายหนุ่มตอบ สายตายังเจือแววขบขัน
“อ้าว” อุทานอย่างไม่เข้าใจ กำลังจะอ้าปากถามแล้วว่าหากเธอไม่ใช่คนทั่วไปแล้วเป็นคนอะไร แต่ดูเหมือนอีกคนจะรู้ทัน เขาตอบมาก่อนที่เธอจะถาม
“คุณไม่ใช่คนทั่วไป แต่คุณเป็นคนของผม ผมมั่งคั่งพอที่จะจ่ายค่าตัดเสื้อให้คุณได้ ถ้าคุณตัดเองไม่เป็น”
“เอ๊ะ! ก็ฉันบอกว่าไม่ต้องการรับอะไรจากคุณที่มากเกินความจำเป็นไงคะ” หญิงสาวเริ่มโวยวาย คิดว่าคุยกันเข้าใจแล้ว พอเธอเผลอหน่อย เขาก็จะเล่นบทพ่อบุญทุ่มอีกแล้ว
“ก็เราตกลงกันแล้วว่าคุณจะทำงานให้ผม แลกกับการที่ผมจะดูแลคุณอย่างที่เจ้าบ้านที่ดีพึงกระทำอย่างไรเล่า”
คนได้ฟังถึงกลับกลอกตา หญิงสาวแน่ใจว่าไม่ได้ตกลงกับเขาอย่างนั้นเสียหน่อย แต่ก็ขี้คร้านจะเถียง เพราะดูเหมือนเขาจะถือเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีของเขาเหลือเกิน กับการที่จะดูแลคนที่เขาเรียกว่า ‘แขก’ อย่างเธอให้อยู่สุขสบาย ไหน ๆ ตอนนี้เขาก็ยอมให้เธอช่วยงานแล้ว ถือว่าได้แค่นี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย หญิงสาวจึงสงบปากสงบคำ และยอมให้เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีอย่างที่เขาต้องการ
“ฉันจะได้เริ่มทำงานเมื่อไรคะ” หญิงสาวถาม หลังจากพิจารณาผ้าในกองตรงหน้าจนพอใจแล้ว
“วันที่คุณไม่ต้องสอนที่โรงเรียน”
“ฉันสอนที่โรงเรียนเฉพาะเช้าวันจันทร์ถึงวันพุธค่ะ ตอนบ่ายก็ว่างแล้ว ส่วนพฤหัสกับศุกร์ทำงานให้คุณได้เต็มวัน แล้วเสาร์กับอาทิตย์... เอ๊ะ ที่นี่เสาร์ – อาทิตย์เป็นวันหยุดหรือเปล่าคะ” ถามอย่างไม่แน่ใจว่าคนในสมัยโบราณจะหยุดงานในวันสุดสัปดาห์เช่นปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้อีกครั้ง
“คนสมัยเก่าอย่างเราก็มีวันหยุดเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มเย้า ณัฐญาณ์ยิ้มเก้อ ๆ แก้ตัวเสียงอ้อมแอ้ม
“ก็เผื่อคนโบราณจะหยุดไม่เหมือนคนสมัยใหม่ไงคะ” ตอบไปแล้วก็อยากกัดลิ้นตนเอง เพราะชายหนุ่มถามกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สำหรับคุณ ผมคงเป็นแค่คนโบราณใช่ไหม”
“ก็... เอ่อ... ขอโทษค่ะหากทำให้คุณไม่พอใจ แต่ถ้าจะนับกันจริง ๆ คุณก็อายุมากว่าฉันร้อยกว่าปีเชียวนะคะ” ดูเอาเถอะ ควรจะหยุดพูดเรื่องโบราณไม่โบราณนี่ เธอกลับไปย้ำกับเขาว่าเขาแก่กว่าเธอเป็นร้อยปีเสียอย่างนั้น แล้วดูใบหน้าเรียบเฉยนั่นสิ คราวนี้ดูบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
“วิลคะ...” ณัฐญาณ์เรียกเสียงงอนง้อ มือบางวางลงบนมือใหญ่
“โกรธหรือคะ อย่าโกรธเลยนะ ฉันไม่ได้ว่าคุณแก่เสียหน่อย”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่รู้ตัวว่าผมโบราณเกินไปสำหรับคนสมัยใหม่อย่างคุณ” โบราณเกินไปอย่างนั้นหรือ เขาพูดอะไรของเขา โบราณเกินไป... เกินไปสำหรับอะไรกัน
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าฉันขอโทษ และฉันจะไม่เรียกคุณว่าคนโบราณอีกดีไหมคะ
“ขอโทษทำไม ก็ผมเป็นคนโบราณจริง ๆ” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะลุกขึ้น หันมาถามหญิงสาวที่ยังคงนั่งอยู่
“จะไปห้องอาหารด้วยกันไหม”
“ไปสิคะ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน มองเห็นคนตัวโตกว่ายื่นแขนขวามาให้ จึงวางมือลงไป ก่อนจะเดินเคียงกันไปยังห้องอาหาร
แม้ดูเหมือนจะไม่พอใจหรือน้อยใจกับคำพูดของเธอ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยลืมมารยาทของเขาเลยสักครั้ง แล้วมาทำเป็นโกรธที่ถูกเรียกคนโบราณ ก็ดูความมีพิธีรีตองของเขาสิ หนุ่มสมัยใหม่ที่ไหนทำแบบนี้บ้าง และความคิดนั่นก็ทำให้คนแอบนินทาชายหนุ่มอยู่ในใจมีรอยยิ้มเบาบางประดับใบหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ช่วงนี้เราจะมีเรือเข้ามารับน้ำมันและกระดูกวาฬจากเราค่อนข้างมาก” ชายหนุ่มบอกกับพนักงานคนใหม่ หลังจากตกลงวันทำงานได้ว่าหญิงสาวจะมาช่วยเขาทำงานในส่วนเอกสารทุกวันพฤหัสบดีและศุกร์ และตอนบ่ายของวันจันทร์ – พุธหากมีเรื่องเร่งด่วนให้ทำ และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่หญิงสาวเริ่มทำงาน โดยมีข้อแม้ว่า เธอจะต้องนั่งทำงานอยู่แต่ในห้องทำงานบนบ้านเท่านั้น ห้ามเข้าไปยังสถานีแปรรูปเด็ดขาดหากไม่มีชายหนุ่มไปด้วย โดยเขาให้เหตุผลกับเธอว่า ที่สถานีแปรรูปมีแต่คนงานผู้ชาย หากหญิงสาวจะเข้าไปเพียงลำพังนั้นจะเป็นการ ‘ไม่งาม’ ซึ่งคนฟังก็ได้แต่กลอกตากับธรรมเนียมโบราณที่เธอยังคงไม่คุ้นเคย แต่หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะไม่ปฏิบัติตามแต่อย่างใด เพราะเข้าใจดีว่า เมื่อเธอมาอาศัยอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมที่นี่ ก็ควรต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานอันดีงามของสังคม แม้จะเห็นว่ามันไร้สาระเพียงใดก็ตาม
“ฤดูกาลที่ผ่านมาค่อนข้างเป็นฤดูกาลที่ดี เราจับวาฬได้ถึง ๓๕๐ ตัว ได้น้ำมันวาฬราว ๆ เกือบเก้าพันถัง พวกลูกเรือยิ้มกันทีเดียวเพราะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ” ชายหนุ่มเล่าใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อ้าว ถ้าจับวาฬได้มาก คนงานก็มีรายได้มากหรือคะ ฉันนึกว่าคุณจ่ายพวกเขาเป็นเงินเดือน”
“ไม่หรอก เราจ่ายแบบแบ่งส่วน ถ้าจับวาฬได้มาก ลูกเรือก็ได้ส่วนแบ่งมาก ถ้าฤดูกาลไหนจับวาฬไม่ได้ ก็อดกันทุกคน รวมทั้งผมด้วย” ชายหนุ่มว่า ในใจนึกไปถึงฤดูกาลที่จับวาฬได้เพียงสิบตัว สำหรับเขาไม่กระทบกระเทือนมาก เพราะยังมีเงินทุนสำรอง แต่กับพวกลูกเรือ หากเขาจะหักเงินค่าเสื้อผ้าและสิ่งของอื่น ๆ ก็แทบไม่เหลือเงินกลับไปหาครอบครัวเลยทีเดียว ปีนั้นเขาจึงให้เสื้อผ้าและของใช้จำเป็นสำหรับลูกเรือฟรี ๆ เพราะบางครั้ง การซื้อใจลูกเรือก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนายจ้างอย่างเขา หากต้องการคนที่ทำงานให้ด้วยใจ
“นี่คือออร์เดอร์ที่เราได้รับในปีนี้” ชายหนุ่มยื่นกระดาษที่มีลายมือเล่นหางสวยงามให้หญิงสาว และอธิบายเมื่อเห็นสายตาแสดงคำถาม
“เป็นโทรเลขจากบริษัทเดินเรือ เรือพวกนี้จะขนของไปขายยังต่างประเทศ ส่วนใหญ่คือไปอังกฤษ น้ำมันวาฬที่นั่น โดยเฉพาะวาฬหัวทุย (Sperm Whale) ราคาดีมาก นอกจากน้ำมันวาฬแล้วเราก็ขายกระดูกวาฬด้วย”
“คุณจะให้ฉันทำอะไรคะ”
“คุณทำบัญชีเป็นไหม”
“ถ้าเป็นบัญชีง่าย ๆ ก็พอทำได้ค่ะ เพราะที่บ้าน ฉันทำบัญชีสำหรับงานของตนเองเช่นกัน” หญิงสาวตอบ เธอทำงานเป็นฟรีแลนซ์ จึงต้องจัดการดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายและภาษีของตนเอง ซึ่งเป็นงานง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ความรู้ทางด้านบัญชีชั้นสูงมากนัก
“ผมอยากให้คุณรวบรวมออเดอร์พวกนี้ให้เป็นหมวดหมู่ สรุปรายการสำหรับเรือแต่ละบริษัท วันที่เรือจะเทียบท่า และทำบัญชีรายรับจากค่าสินค้าทั้งหมด” ชายหนุ่มบอก เขาหยิบแฟ้มที่วางอยู่บนชั้นใส่เอกสารข้างโต๊ะทำงานมาเปิด พลางบอกหญิงสาว
“ส่วนพวกนี้เป็นรายการสินค้าที่เราต้องสั่งเพื่อเตรียมตัวสำหรับออกเรือในฤดูกาลถัดไป พวกอาหารปกติผมจะใช้รายการเดิม แต่พวกเสื้อผ้า ของใช้ของลูกเรือ ผมจะไปถามลูกเรือก่อนว่าใครต้องการอะไรบ้าง เพราะพวกเขาต้องจ่ายเงินเอง เราจะจัดหาให้เพียงอาหารเท่านั้น และหลังจากงานที่สถานีจบลง ผมจะได้ไปสั่งของพวกนี้กับร้านที่เมลเบิร์น คงสักเดือนหน้านั่นล่ะ ผมจะได้พาคุณไปเที่ยวเมลเบิร์นด้วย และพวกลูกเรือก็จะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย”
“เดือนหน้าก็พฤศจิกายน คุณจะออกเรือแล้วหรือคะ”
“ยังหรอก ฤดูกาลล่าวาฬจะเริ่มต้นในฤดูหนาว ผมจะออกเรือต้นเดือนมิถุนายนและกลับเข้าฝั่งปลายเดือนสิงหาคม แต่ต้องไปสั่งของไว้ก่อน เพราะเป็นออเดอร์ใหญ่เราต้องให้เวลากับทางร้านจัดหาของด้วย”
ณัฐญาณ์ก้มลงอ่านรายการแรกในแฟ้มตรงหน้า
“แป้งสาลี ๒ ตัน” ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มตาโต
“สองตันเชียวหรือคะ”
วิลเลียมยิ้มสีหน้าเอ็นดู ก่อนจะตอบ
“คุณคิดว่าระยะเวลาสามเดือน ควรจะใช้แป้งสาลีเท่าไรจึงจะพอสำหรับคนเกือบสามสิบคนบนเรือ”
“ไม่ทราบสิคะ ฉันไม่เคยนึกถึงเลย” หญิงสาวว่า เธอจะไปรู้ได้อย่างไร แต่แป้งสาลีสองตัน หญิงสาวรู้สึกว่ามันมหาศาลทีเดียว
“เอาล่ะ ผมจะทิ้งคุณไว้ที่นี่ หากมีปัญหาอะไร ให้แจ้งกับเอลานอร์ เธอจะไปบอกผมเอง” ชายหนุ่มบอก
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะวิลเลียมที่ให้โอกาสฉันได้ทำงานให้คุณ”
“ยินดีครับ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบใจที่ต้องใช้งานคุณก็ตาม” ชายหนุ่มตอบ เขาไม่ชอบใจจริง ๆ กับการที่หญิงสาวจะต้องทำงานให้เขา เธอควรจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย ไม่ใช่มาเป็นคนงานคนหนึ่งของเขาเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นความต้องการของเธอ และดูเหมือนการทำงานจะมีความสำคัญต่อหญิงสาวเป็นอย่างมาก เขาจึงจำเป็นต้องให้เธอได้ทำตามที่ต้องการ
“คุณไม่ได้ใช้งานฉันฟรี ๆ นี่คะ ฉันค่าตัวแพงนะจะบอกให้” หญิงสาวว่าล้อ ๆ นึกถึงสารพัดสิ่งของที่เขาสรรหามาให้เธอ ดูแล้วค่าตัวสำหรับทำงานพาร์ทไทม์ของเธอจะมากกว่างานแปลและงานล่ามที่ทำที่บ้านเสียด้วยซ้ำกระมัง
“คุณไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้ธุรกิจของคุณเสียหาย แล้วเจอกันเย็นนี้ค่ะ” ว่าพลางเดินไปส่งชายหนุ่มที่หน้าประตู
“แล้วเจอกัน นาทาย่าห์” ชายหนุ่มว่าพลางโค้งให้อย่างสุภาพ
“บายค่ะวิล” โบกมือให้ชายหนุ่มที่หมุนตัวเดินจากไป ณัฐญาณ์ยืนรอจนชายหนุ่มลับสายตาไปแล้วจึงหันกลับไปยังห้องทำงาน
หญิงสาวรู้สึกดีกับตนเองจนถึงกับฮัมเพลงเบา ๆ ขณะนั่งทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากชายหนุ่มเลยทีเดียว