บทก่อนหน้า
บทนำ
http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/31319220
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/31337858
บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/31362571
บทที่ ๙
http://ppantip.com/topic/31377764
บทที่ ๑๐
http://ppantip.com/topic/31398623
บทที่ ๑๑
http://ppantip.com/topic/31409848
บทที่ ๑๒
http://ppantip.com/topic/31428977
บทที่ ๑๓
http://ppantip.com/topic/31455877
เขาอยู่ตรงนั้น ณัฐญาณ์มองเห็นเขาแล้ว จากที่ตอนแรกรู้สึกตะหนกเมื่อมองไม่เห็นชายหนุ่มอยู่ในกลุ่มลูกเรือที่กำลังขึ้นจากเรือ
“...การล่าวาฬเป็นงานที่อันตรายมาก ผมไม่ทราบว่าจะได้กลับมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า ผมอาจจะตายในทะเลก็ได้”
ยังจำได้ดีถึงคำพูดของเขา และนั่นก็ทำให้นอกจากจะคิดถึงเขาแล้วยังผสมรวมกับความเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับชายหนุ่ม ยิ่งพอเธอมายืนรออยู่บนสะพานท่าเรือ แต่มองไม่เห็นเขาในท่ามกลางลูกเรือ ก็ยิ่งทำให้ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวเหลือเกิน... กลัวเขาจะไม่ได้กลับมา...
จนกระทั่งพวกลูกเรือก้าวขึ้นจากเรือกันเกือบหมด เธอก็มองเห็นร่างสูงทำท่าจะเดินกลับไปยังท้ายเรือ จากนั้นมองเห็นเขาชะงักไป ก่อนจะหันมองตรงมายังเธอ และในตอนนั้นเองที่ดวงตาสองคู่ประสานกัน เขามองเห็นเธอแล้ว! และเขาก็กำลังเดินตรงมา... ก้าวเร็ว ๆ ราวกับตัวปลิว... ตรงมาหาเธอ
เขากลับมาแล้ว ชายผู้เป็นดวงใจ เขาอยู่ตรงนี้เอง อยู่ตรงหน้าเธอห่างไปแค่เพียงเอื้อมถึง ใบหน้าคมสันมองดูคร้ามแดด หากแต่ไม่ทำให้ความหล่อเหลาของเขาลดลงเลย มีแต่จะทำให้ดูแข็งแกร่งสมชายมากยิ่งขึ้น ผมสีบลอนด์ทองของเขายาวขึ้น แต่ยังคงหวีเรียบแปล้เช่นเคย ใบหน้าโกนหนวดเกลี้ยงเกลา หากยังมองเห็นไรเคราเขียว ๆ น่ามอง เขาใส่เสื้อโคทยาว ภายใต้ปกเสื้อ มองเห็นผ้าพันคอไหมพรมขนแกะสีน้ำทะเลที่เธอถักให้เขาพันอยู่ ดวงตาสีเดียวกับน้ำทะเลลึกจ้องมองเธอด้วยประกายตาลึกล้ำ ที่ดูเหมือนจะมีพลังที่แทบจะทำให้เธอหลอมละลาย
“แนท ผมหวังว่าคุณจะสบายดี” เขาทักทายอย่างมีพิธีรีตอง สายตาคมล้ำลึกคู่นั้นไม่คลาดไปจากใบหน้าเธอแม้เพียงวินาทีเดียว มือใหญ่ยื่นมาจับมือเธอแล้วยกขึ้นจุมพิตแผ่วเบา ณัฐญาณ์รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายปวดร้าวไปหมด เพราะต้องห้ามตัวเองไม่ให้โถมตัวเข้าหาเขา ซึ่งดูเหมือนอีกคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน สายตาของเขาเปิดเปลือยความรู้สึกทุกอย่างให้เธอรู้อย่างไม่ปิดบัง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะวิล” ได้ยินเสียงอันสั่นพร่าของตนเอง รู้สึกถึงอารมณ์ความรู้สึกภายในอันหลากหลาย ทั้งดีใจ โล่งใจ โหยหา ตีกันมั่วจนไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร กว่าจะรู้ตัว น้ำตาก็หลั่งไหลเต็มสองข้างแก้มเสียแล้ว
มือที่เพิ่งจะปล่อยจากมือเธอเปลี่ยนมาเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มก้มลงพูดเสียงอ่อนเบา
“เข้าบ้านกันเถอะครับแนท”
ณัฐญาณ์ยกมือขึ้นเกี่ยวแขนชายหนุ่มที่ยื่นมาให้ เงยหน้าขึ้นถามอย่างแปลกใจ เมื่อคนข้างกายมีเพียงตัวเปล่า ปราศจากข้าวของอย่างคนอื่น ๆ
“ข้าวของของคุณล่ะคะ”
“อยู่บนเรือ เดี๋ยวก็มีคนจัดการยกไปให้ ไปกันเถอะครับ” เขาว่าก่อนจะพาเธอเดินขึ้นจากสะพานท่าเรือ ตรงไปยังอาคารสถานีที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือมากนัก หากแต่ความรู้สึกของคนที่อยากจะไปให้ถึง ‘บ้าน’ เพื่อจะได้พ้นไปจากสายตาสาธารณะกลับรู้สึกว่ามันอยู่ไกลเหลือเกิน
เมื่อขึ้นมาบนบ้านได้ ณัฐญาณ์คิดว่าชายหนุ่มจะพาเธอเดินไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นห้องที่ปกติเขาและเธอจะใช้เวลาตามลำพังด้วยกัน หากคนตัวสูงข้างกายกลับพาเดินเลยไป จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนใหญ่ ชายหนุ่มก้มลงสบตากับคนที่เกี่ยวแขนอยู่ กล่าวเสียงเบา
“ให้อภัยการกระทำอันเอาแต่ใจของผมเถอะนะครับนาทาย่าห์ แต่ผมคิดถึงคุณแทบบ้าแล้ว” สิ้นคำ ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอน พาคนข้างกายก้าวเข้าไป ก่อนจะปิดประตูตามหลัง และยังไม่ทันที่ประตูจะปิดสนิทดี แขนข้างที่ว่างก็วาดมาเกี่ยวเอวบางเข้าไปแนบชิดในทันที
ณัฐญาณ์เข้าใจในตอนนั้นเองว่า ‘การกระทำอันเอาแต่ใจ’ ของเขาคืออะไร แต่เธอจะไปถือโทษโกรธเคืองเขาได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นการกระทำที่เป็นการ ‘เอาแต่ใจ’ ของเธอด้วยเช่นกัน
ร่างบางที่ขืนตัวเองไว้นับตั้งแต่พบเขาที่ท่าเรือ ถูกปลดปล่อยให้ทำตามความปรารถนาของหัวใจ แขนเรียวยกขึ้นโอบกอดร่างใหญ่ไว้เต็มความรู้สึก ริมฝีปากอิ่มเผยอรับสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นร้อนที่ส่งมาให้อย่างทันท่วงที และสัมผัสที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ห่วงหา และความสุขความยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งก็ดำเนินต่อไปอีกยาวนาน จนกระทั่งณัฐญาณ์รู้สึกว่าแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนอนกว้างโดยมีร่างใหญ่แนบชิดตามลงมา นั่นเองที่หญิงสาวชะงักไป ก็จริงที่เธอคิดถึงเขา โหยหาสัมผัสของเขา และยินดียิ่งนักที่ได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นและรับสัมผัสฉ่ำหวานเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่คิดว่าการเดินไปกับเขาจนสุดทางเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และดูเหมือนอีกคนจะรับรู้ถึงอาการชะงักงันของเธอ เพราะเขากระซิบแผ่วเบา
“ไว้ใจผมนะครับ นาทาย่าห์ ผมสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินคุณมากกว่าที่จำเป็น”
เธอไว้ใจเขา... เธอรู้ว่าวิลเลียม แคมพ์เบลล์ เป็นคนรักษาคำพูด เมื่อเขาบอกว่าจะไม่ล่วงเกินเธอมากไปกว่าที่จำเป็น เขาก็จะทำตามนั้น หญิงสาวจึงปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสัมผัสของเขา ให้สาสมกับที่ต้องทนคิดถึงอย่างโหยหาอยู่ตั้งสามเดือน และกว่าสัมผัส ‘ที่จำเป็น’ จะหยุดลง ก็กินเวลาไปอีกนานโขทีเดียว
“ผมไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงราวละเมอ อ้อมแขนแกร่งยังไม่ปล่อยจากร่างบาง ริมฝีปากอุ่นยังพรมไปทั่วไปหน้า และหยุดลงที่หน้าผากมน
“ไม่ค่ะ ฉันฝันถึงคุณมามากพอแล้ว ฉันไม่ยอมให้คราวนี้เป็นเพียงความฝันอีกแน่” ณัฐญาณ์ว่ายิ้ม ๆ เขาคงไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ห่างกัน เธอฝันถึงเขาแทบจะทุกคืน
“นาทาย่าห์ ผมฝันถึงคุณทุกคืน ถึงได้กลัวนักว่าคราวนี้ก็จะเป็นเพียงความฝันอีก”
“ไม่ค่ะวิล คราวนี้เป็นความจริง” หญิงสาวยืนยัน ทั้งกับเขาและกับตนเอง จบเสียทีกับการรอคอย เขากลับมาแล้ว เธอจะไม่ได้เพียงฝันถึงเขาอีกแล้ว
“อยู่กับผมที่นี่นะครับแนท ผมจินตนาการชีวิตที่ไม่มีคุณไม่ออกเลย” ชายหนุ่มพูดในสิ่งที่อยู่ในความคิดมานานนับตั้งแต่เขาออกเรือไป แค่สามเดือนที่ไม่ได้เจอกันเขาก็แทบบ้า แล้วหากว่าเธอจะจากไปตลอดกาล เขาจะอยู่ได้อย่างไร
คนได้ฟังนิ่งเงียบไปสักพัก หน่วยตาคมหวานจ้องมองดวงตาสีฟ้าที่ฉายแววเว้าวอนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถามเสียงเบา
“คุณแน่ใจหรือคะวิล”
“ผมไม่เคยแน่ใจกับอะไรเท่านี้มาก่อน ผมเคยตั้งใจที่จะไม่เห็นแก่ตัวโดยการขอให้คุณอยู่ที่นี่ แต่... แนท... ผมไม่รู้จะมีชีวิตอยู่อย่างไรหากไม่มีคุณ อยู่ที่นี่กับผมเถอะนะครับ ผม... รักคุณ”
ถ้อยคำรักที่ออกจากปากของชายหนุ่ม ทำให้คนฟังรู้สึกเต็มตื้นในอก เธอก็รักเขา รักผู้ชายที่ดูแลเธอมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน และเพียงสามเดือนที่เขาอยู่ไกล เธอก็รู้สึกราวกับทำหัวใจหล่นหาย เธอจินตนาการถึงชีวิตที่เหลืออยู่ที่ปราศจากเขาไม่ออกเลยเช่นกัน จึงตอบรับอย่างตัดสินใจได้ คนเรามีเพียงชีวิตเดียว ทำไมจึงจะไม่ควรทำตามที่หัวใจเรียกร้องเล่า
“ฉันก็รักคุณค่ะวิล ฉันจะอยู่กับคุณ”
คำตอบของหญิงสาวทำเอาคนที่รอฟังถึงกับกระชับอ้อมกอดแน่นอย่างยินดี และมอบจุมพิตอ่อนหวานให้อีกครั้ง
“ระหว่างที่ผมไม่อยู่ คุณทำอะไรบ้าง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง หลังจุมพิตที่ทำให้เลือดในกายร้อนผ่าวหยุดลง อ้อมแขนแกร่งยังกอดคนตัวบางไว้หลวม ๆ ใบหน้าซุกไซ้ไปตามใบหูและลำคออย่างหลงใหล
“ฉันเก็บดอกไม้มาทำน้ำหอมค่ะ” บอกอย่างกระตือรือร้น
“ตัวคุณหอม... น่าหลงใหล กลิ่นน้ำหอมที่คุณทำเองหรือ” ชายหนุ่มถาม ขณะซุกใบหน้าสูดกลิ่นหอมหวานของดอกไม้บริเวณระหว่างกกหูและซอกคอของหญิงสาว
“ใช่ค่ะ คุณ... ชอบไหมคะ”
“หอม... หวาน... เหมือนคุณ” ชายหนุ่มว่า ส่งสายตาเจ้าชู้ คนถูกชมถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว คนเคร่งธรรมเนียม... บทจะเจ้าชู้ก็ดูจะไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว
“กลิ่นการ์ดีเนีย ฉันผสมกับมะลินิด ๆ ได้กลิ่นนี้ที่ถูกใจฉันที่สุดในตอนนี้ แต่ก็ยังทดลองผสมไปเรื่อย ๆ ค่ะ จนกว่าจะได้กลิ่นที่ลงตัวที่สุด” หญิงสาวอธิบาย
“กลิ่นนี้เหมาะกับคุณ ผมชอบ” ชายหนุ่มว่า สีหน้าจริงจังขึ้น
“ว่าแต่... วิลคะ เราออกไปข้างนอกดีไหมคะ หายเข้ามาในนี้นาน ๆ ดูน่าเกลียด” ณัฐญาณ์เปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง หลังจากอารมณ์อันรุนแรงของความรักความคิดถึงผ่านไป ก็ดูเหมือนสติและความรู้ผิดชอบชั่วดีจะเข้ามาแทนที่ และคนที่ปกติจะเคร่งธรรมเนียมก็ถึงกับหน้าเก้อไปเช่นกัน
“อภัยให้ผมเถอะครับแนท ผมไม่อยากแก้ตัว แต่ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนจริง ๆ คงต้องโทษความรักกระมัง ที่ทำให้คนแก่อย่างผมกลายเป็นหนุ่มน้อยที่ขาดความยับยั้งชั่งใจไปได้”
ณัฐญาณ์ถึงกับหัวเราะกิ๊ก อย่างเขานี่นะแก่
“ใครบอกว่าคุณแก่นะคะ”
“ผมอายุ ๓๒ บางคนเขามีลูกอายุสิบขวบเข้าไปแล้ว” ชายหนุ่มว่า ใบหน้ายิ้มพรายดูไม่ได้จริงจังนัก
“แล้วทำไมคุณถึงไม่แต่งงานล่ะคะ”
“ผมรอคุณ” ตอบทันควัน ส่งสายตาเจ้าชู้พร้อมก้มลงสูดกลิ่นหอมหวานบริเวณซอกคอของคนช่างซักอีกฟอด แล้วก็ต้องหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้รับค้อนกลับมาวงใหญ่
“เอาจริง ๆ สิคะ”
“ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้น นับแต่รอดชีวิตจากเรือล่มครั้งนั้น ผมก็บอกตัวเองว่าผมจะต้องประสบความสำเร็จในธุรกิจล่าวาฬให้ได้ ผมต้องมีสถานีแปรรูปวาฬ ต้องออกล่าวาฬด้วยตัวเอง แม้ว่าจะไม่จำเป็นสำหรับเจ้าของสถานีก็ตาม แต่ผมต้องการพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์กับทุกคนที่เคยว่าผมว่าได้เป็นนายเรือเพราะเป็นธุรกิจของบิดา มันคงเป็นปมของคนที่เคยล้มเหลวกระมัง ผมทุ่มเทเวลาให้กับธุรกิจจนหลงลืมที่จะคิดถึงเรื่องมีครอบครัว จนกระทั่ง... อยู่ ๆ พระเจ้าก็ส่งคุณมาให้ผม” เขาว่า ทอดสายตามองใบหน้างามของคนในอ้อมกอด ก่อนจะก้มลงฝังจุมพิตลงไปบนแก้มนวลอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“ใครจะคิดนะว่าคนที่ปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาที่ไป จะมาทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาได้แบบนี้ รู้ไหม... ผมไม่เคยกลับเข้าบ้านก่อนตะวันตกดินสักที แต่พอมีคุณรออยู่ที่บ้าน เป็นต้องรีบกลับในทันทีที่หมดเวลาทำงานสิน่า” เขาสารภาพ ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นยืนและประคองอีกคนให้ลุกตาม
“ไปเถอะ ไปนั่งคุยกันที่ห้องสมุดดีไหม”
“ไปสิคะ คุณอยากดื่มอะไร ฉันจะไปสั่งเอลานอร์ให้ยกไปให้”
“กาแฟเหมือนคุณก็ได้” ตอบอย่างรู้ใจอีกคน
“เบื่อชามะลิเสียแล้วหรือคะ” เย้าเขายิ้ม ๆ
“ไม่มีวันเบื่อ มีแต่จะหลงขึ้นทุกวัน ๆ” เขาว่า ดวงตาสีฟ้าสดเป็นประกายระยิบระยับนั่นจ้องตาอีกคนด้วยสายตาลึกซึ้ง เผยความในใจจนหมดเปลือกว่าที่เขาหลงขึ้นทุกวัน ๆ คือคนตรงหน้า
“ตั้งแต่กลับมานี่ปากหวานจังนะคะ” ปากเหน็บหากหัวใจพองโต พลางยืนมือไปเกี่ยวแขนของคนข้างกายที่ยื่นมาให้ ชายหนุ่มพาหญิงสาวก้าวเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปยังห้องสมุด ปากตอบคำเหน็บแนมนั้น
“ความรัก ทำให้ทุกอย่างหวานไปหมด ไม่เว้นแม้แต่คนเรือเถื่อน ๆ อย่างผม”
สุดปลายฝัน บทที่ ๑๔
บทนำ http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/31319220
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/31337858
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/31362571
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/31377764
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/31398623
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/31409848
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/31428977
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/31455877
เขาอยู่ตรงนั้น ณัฐญาณ์มองเห็นเขาแล้ว จากที่ตอนแรกรู้สึกตะหนกเมื่อมองไม่เห็นชายหนุ่มอยู่ในกลุ่มลูกเรือที่กำลังขึ้นจากเรือ
“...การล่าวาฬเป็นงานที่อันตรายมาก ผมไม่ทราบว่าจะได้กลับมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า ผมอาจจะตายในทะเลก็ได้”
ยังจำได้ดีถึงคำพูดของเขา และนั่นก็ทำให้นอกจากจะคิดถึงเขาแล้วยังผสมรวมกับความเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับชายหนุ่ม ยิ่งพอเธอมายืนรออยู่บนสะพานท่าเรือ แต่มองไม่เห็นเขาในท่ามกลางลูกเรือ ก็ยิ่งทำให้ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวเหลือเกิน... กลัวเขาจะไม่ได้กลับมา...
จนกระทั่งพวกลูกเรือก้าวขึ้นจากเรือกันเกือบหมด เธอก็มองเห็นร่างสูงทำท่าจะเดินกลับไปยังท้ายเรือ จากนั้นมองเห็นเขาชะงักไป ก่อนจะหันมองตรงมายังเธอ และในตอนนั้นเองที่ดวงตาสองคู่ประสานกัน เขามองเห็นเธอแล้ว! และเขาก็กำลังเดินตรงมา... ก้าวเร็ว ๆ ราวกับตัวปลิว... ตรงมาหาเธอ
เขากลับมาแล้ว ชายผู้เป็นดวงใจ เขาอยู่ตรงนี้เอง อยู่ตรงหน้าเธอห่างไปแค่เพียงเอื้อมถึง ใบหน้าคมสันมองดูคร้ามแดด หากแต่ไม่ทำให้ความหล่อเหลาของเขาลดลงเลย มีแต่จะทำให้ดูแข็งแกร่งสมชายมากยิ่งขึ้น ผมสีบลอนด์ทองของเขายาวขึ้น แต่ยังคงหวีเรียบแปล้เช่นเคย ใบหน้าโกนหนวดเกลี้ยงเกลา หากยังมองเห็นไรเคราเขียว ๆ น่ามอง เขาใส่เสื้อโคทยาว ภายใต้ปกเสื้อ มองเห็นผ้าพันคอไหมพรมขนแกะสีน้ำทะเลที่เธอถักให้เขาพันอยู่ ดวงตาสีเดียวกับน้ำทะเลลึกจ้องมองเธอด้วยประกายตาลึกล้ำ ที่ดูเหมือนจะมีพลังที่แทบจะทำให้เธอหลอมละลาย
“แนท ผมหวังว่าคุณจะสบายดี” เขาทักทายอย่างมีพิธีรีตอง สายตาคมล้ำลึกคู่นั้นไม่คลาดไปจากใบหน้าเธอแม้เพียงวินาทีเดียว มือใหญ่ยื่นมาจับมือเธอแล้วยกขึ้นจุมพิตแผ่วเบา ณัฐญาณ์รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายปวดร้าวไปหมด เพราะต้องห้ามตัวเองไม่ให้โถมตัวเข้าหาเขา ซึ่งดูเหมือนอีกคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน สายตาของเขาเปิดเปลือยความรู้สึกทุกอย่างให้เธอรู้อย่างไม่ปิดบัง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะวิล” ได้ยินเสียงอันสั่นพร่าของตนเอง รู้สึกถึงอารมณ์ความรู้สึกภายในอันหลากหลาย ทั้งดีใจ โล่งใจ โหยหา ตีกันมั่วจนไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร กว่าจะรู้ตัว น้ำตาก็หลั่งไหลเต็มสองข้างแก้มเสียแล้ว
มือที่เพิ่งจะปล่อยจากมือเธอเปลี่ยนมาเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มก้มลงพูดเสียงอ่อนเบา
“เข้าบ้านกันเถอะครับแนท”
ณัฐญาณ์ยกมือขึ้นเกี่ยวแขนชายหนุ่มที่ยื่นมาให้ เงยหน้าขึ้นถามอย่างแปลกใจ เมื่อคนข้างกายมีเพียงตัวเปล่า ปราศจากข้าวของอย่างคนอื่น ๆ
“ข้าวของของคุณล่ะคะ”
“อยู่บนเรือ เดี๋ยวก็มีคนจัดการยกไปให้ ไปกันเถอะครับ” เขาว่าก่อนจะพาเธอเดินขึ้นจากสะพานท่าเรือ ตรงไปยังอาคารสถานีที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือมากนัก หากแต่ความรู้สึกของคนที่อยากจะไปให้ถึง ‘บ้าน’ เพื่อจะได้พ้นไปจากสายตาสาธารณะกลับรู้สึกว่ามันอยู่ไกลเหลือเกิน
เมื่อขึ้นมาบนบ้านได้ ณัฐญาณ์คิดว่าชายหนุ่มจะพาเธอเดินไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นห้องที่ปกติเขาและเธอจะใช้เวลาตามลำพังด้วยกัน หากคนตัวสูงข้างกายกลับพาเดินเลยไป จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนใหญ่ ชายหนุ่มก้มลงสบตากับคนที่เกี่ยวแขนอยู่ กล่าวเสียงเบา
“ให้อภัยการกระทำอันเอาแต่ใจของผมเถอะนะครับนาทาย่าห์ แต่ผมคิดถึงคุณแทบบ้าแล้ว” สิ้นคำ ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอน พาคนข้างกายก้าวเข้าไป ก่อนจะปิดประตูตามหลัง และยังไม่ทันที่ประตูจะปิดสนิทดี แขนข้างที่ว่างก็วาดมาเกี่ยวเอวบางเข้าไปแนบชิดในทันที
ณัฐญาณ์เข้าใจในตอนนั้นเองว่า ‘การกระทำอันเอาแต่ใจ’ ของเขาคืออะไร แต่เธอจะไปถือโทษโกรธเคืองเขาได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นการกระทำที่เป็นการ ‘เอาแต่ใจ’ ของเธอด้วยเช่นกัน
ร่างบางที่ขืนตัวเองไว้นับตั้งแต่พบเขาที่ท่าเรือ ถูกปลดปล่อยให้ทำตามความปรารถนาของหัวใจ แขนเรียวยกขึ้นโอบกอดร่างใหญ่ไว้เต็มความรู้สึก ริมฝีปากอิ่มเผยอรับสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นร้อนที่ส่งมาให้อย่างทันท่วงที และสัมผัสที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ห่วงหา และความสุขความยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งก็ดำเนินต่อไปอีกยาวนาน จนกระทั่งณัฐญาณ์รู้สึกว่าแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนอนกว้างโดยมีร่างใหญ่แนบชิดตามลงมา นั่นเองที่หญิงสาวชะงักไป ก็จริงที่เธอคิดถึงเขา โหยหาสัมผัสของเขา และยินดียิ่งนักที่ได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นและรับสัมผัสฉ่ำหวานเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่คิดว่าการเดินไปกับเขาจนสุดทางเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และดูเหมือนอีกคนจะรับรู้ถึงอาการชะงักงันของเธอ เพราะเขากระซิบแผ่วเบา
“ไว้ใจผมนะครับ นาทาย่าห์ ผมสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินคุณมากกว่าที่จำเป็น”
เธอไว้ใจเขา... เธอรู้ว่าวิลเลียม แคมพ์เบลล์ เป็นคนรักษาคำพูด เมื่อเขาบอกว่าจะไม่ล่วงเกินเธอมากไปกว่าที่จำเป็น เขาก็จะทำตามนั้น หญิงสาวจึงปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสัมผัสของเขา ให้สาสมกับที่ต้องทนคิดถึงอย่างโหยหาอยู่ตั้งสามเดือน และกว่าสัมผัส ‘ที่จำเป็น’ จะหยุดลง ก็กินเวลาไปอีกนานโขทีเดียว
“ผมไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงราวละเมอ อ้อมแขนแกร่งยังไม่ปล่อยจากร่างบาง ริมฝีปากอุ่นยังพรมไปทั่วไปหน้า และหยุดลงที่หน้าผากมน
“ไม่ค่ะ ฉันฝันถึงคุณมามากพอแล้ว ฉันไม่ยอมให้คราวนี้เป็นเพียงความฝันอีกแน่” ณัฐญาณ์ว่ายิ้ม ๆ เขาคงไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ห่างกัน เธอฝันถึงเขาแทบจะทุกคืน
“นาทาย่าห์ ผมฝันถึงคุณทุกคืน ถึงได้กลัวนักว่าคราวนี้ก็จะเป็นเพียงความฝันอีก”
“ไม่ค่ะวิล คราวนี้เป็นความจริง” หญิงสาวยืนยัน ทั้งกับเขาและกับตนเอง จบเสียทีกับการรอคอย เขากลับมาแล้ว เธอจะไม่ได้เพียงฝันถึงเขาอีกแล้ว
“อยู่กับผมที่นี่นะครับแนท ผมจินตนาการชีวิตที่ไม่มีคุณไม่ออกเลย” ชายหนุ่มพูดในสิ่งที่อยู่ในความคิดมานานนับตั้งแต่เขาออกเรือไป แค่สามเดือนที่ไม่ได้เจอกันเขาก็แทบบ้า แล้วหากว่าเธอจะจากไปตลอดกาล เขาจะอยู่ได้อย่างไร
คนได้ฟังนิ่งเงียบไปสักพัก หน่วยตาคมหวานจ้องมองดวงตาสีฟ้าที่ฉายแววเว้าวอนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถามเสียงเบา
“คุณแน่ใจหรือคะวิล”
“ผมไม่เคยแน่ใจกับอะไรเท่านี้มาก่อน ผมเคยตั้งใจที่จะไม่เห็นแก่ตัวโดยการขอให้คุณอยู่ที่นี่ แต่... แนท... ผมไม่รู้จะมีชีวิตอยู่อย่างไรหากไม่มีคุณ อยู่ที่นี่กับผมเถอะนะครับ ผม... รักคุณ”
ถ้อยคำรักที่ออกจากปากของชายหนุ่ม ทำให้คนฟังรู้สึกเต็มตื้นในอก เธอก็รักเขา รักผู้ชายที่ดูแลเธอมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน และเพียงสามเดือนที่เขาอยู่ไกล เธอก็รู้สึกราวกับทำหัวใจหล่นหาย เธอจินตนาการถึงชีวิตที่เหลืออยู่ที่ปราศจากเขาไม่ออกเลยเช่นกัน จึงตอบรับอย่างตัดสินใจได้ คนเรามีเพียงชีวิตเดียว ทำไมจึงจะไม่ควรทำตามที่หัวใจเรียกร้องเล่า
“ฉันก็รักคุณค่ะวิล ฉันจะอยู่กับคุณ”
คำตอบของหญิงสาวทำเอาคนที่รอฟังถึงกับกระชับอ้อมกอดแน่นอย่างยินดี และมอบจุมพิตอ่อนหวานให้อีกครั้ง
“ระหว่างที่ผมไม่อยู่ คุณทำอะไรบ้าง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง หลังจุมพิตที่ทำให้เลือดในกายร้อนผ่าวหยุดลง อ้อมแขนแกร่งยังกอดคนตัวบางไว้หลวม ๆ ใบหน้าซุกไซ้ไปตามใบหูและลำคออย่างหลงใหล
“ฉันเก็บดอกไม้มาทำน้ำหอมค่ะ” บอกอย่างกระตือรือร้น
“ตัวคุณหอม... น่าหลงใหล กลิ่นน้ำหอมที่คุณทำเองหรือ” ชายหนุ่มถาม ขณะซุกใบหน้าสูดกลิ่นหอมหวานของดอกไม้บริเวณระหว่างกกหูและซอกคอของหญิงสาว
“ใช่ค่ะ คุณ... ชอบไหมคะ”
“หอม... หวาน... เหมือนคุณ” ชายหนุ่มว่า ส่งสายตาเจ้าชู้ คนถูกชมถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว คนเคร่งธรรมเนียม... บทจะเจ้าชู้ก็ดูจะไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว
“กลิ่นการ์ดีเนีย ฉันผสมกับมะลินิด ๆ ได้กลิ่นนี้ที่ถูกใจฉันที่สุดในตอนนี้ แต่ก็ยังทดลองผสมไปเรื่อย ๆ ค่ะ จนกว่าจะได้กลิ่นที่ลงตัวที่สุด” หญิงสาวอธิบาย
“กลิ่นนี้เหมาะกับคุณ ผมชอบ” ชายหนุ่มว่า สีหน้าจริงจังขึ้น
“ว่าแต่... วิลคะ เราออกไปข้างนอกดีไหมคะ หายเข้ามาในนี้นาน ๆ ดูน่าเกลียด” ณัฐญาณ์เปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง หลังจากอารมณ์อันรุนแรงของความรักความคิดถึงผ่านไป ก็ดูเหมือนสติและความรู้ผิดชอบชั่วดีจะเข้ามาแทนที่ และคนที่ปกติจะเคร่งธรรมเนียมก็ถึงกับหน้าเก้อไปเช่นกัน
“อภัยให้ผมเถอะครับแนท ผมไม่อยากแก้ตัว แต่ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนจริง ๆ คงต้องโทษความรักกระมัง ที่ทำให้คนแก่อย่างผมกลายเป็นหนุ่มน้อยที่ขาดความยับยั้งชั่งใจไปได้”
ณัฐญาณ์ถึงกับหัวเราะกิ๊ก อย่างเขานี่นะแก่
“ใครบอกว่าคุณแก่นะคะ”
“ผมอายุ ๓๒ บางคนเขามีลูกอายุสิบขวบเข้าไปแล้ว” ชายหนุ่มว่า ใบหน้ายิ้มพรายดูไม่ได้จริงจังนัก
“แล้วทำไมคุณถึงไม่แต่งงานล่ะคะ”
“ผมรอคุณ” ตอบทันควัน ส่งสายตาเจ้าชู้พร้อมก้มลงสูดกลิ่นหอมหวานบริเวณซอกคอของคนช่างซักอีกฟอด แล้วก็ต้องหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้รับค้อนกลับมาวงใหญ่
“เอาจริง ๆ สิคะ”
“ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้น นับแต่รอดชีวิตจากเรือล่มครั้งนั้น ผมก็บอกตัวเองว่าผมจะต้องประสบความสำเร็จในธุรกิจล่าวาฬให้ได้ ผมต้องมีสถานีแปรรูปวาฬ ต้องออกล่าวาฬด้วยตัวเอง แม้ว่าจะไม่จำเป็นสำหรับเจ้าของสถานีก็ตาม แต่ผมต้องการพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์กับทุกคนที่เคยว่าผมว่าได้เป็นนายเรือเพราะเป็นธุรกิจของบิดา มันคงเป็นปมของคนที่เคยล้มเหลวกระมัง ผมทุ่มเทเวลาให้กับธุรกิจจนหลงลืมที่จะคิดถึงเรื่องมีครอบครัว จนกระทั่ง... อยู่ ๆ พระเจ้าก็ส่งคุณมาให้ผม” เขาว่า ทอดสายตามองใบหน้างามของคนในอ้อมกอด ก่อนจะก้มลงฝังจุมพิตลงไปบนแก้มนวลอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“ใครจะคิดนะว่าคนที่ปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาที่ไป จะมาทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาได้แบบนี้ รู้ไหม... ผมไม่เคยกลับเข้าบ้านก่อนตะวันตกดินสักที แต่พอมีคุณรออยู่ที่บ้าน เป็นต้องรีบกลับในทันทีที่หมดเวลาทำงานสิน่า” เขาสารภาพ ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นยืนและประคองอีกคนให้ลุกตาม
“ไปเถอะ ไปนั่งคุยกันที่ห้องสมุดดีไหม”
“ไปสิคะ คุณอยากดื่มอะไร ฉันจะไปสั่งเอลานอร์ให้ยกไปให้”
“กาแฟเหมือนคุณก็ได้” ตอบอย่างรู้ใจอีกคน
“เบื่อชามะลิเสียแล้วหรือคะ” เย้าเขายิ้ม ๆ
“ไม่มีวันเบื่อ มีแต่จะหลงขึ้นทุกวัน ๆ” เขาว่า ดวงตาสีฟ้าสดเป็นประกายระยิบระยับนั่นจ้องตาอีกคนด้วยสายตาลึกซึ้ง เผยความในใจจนหมดเปลือกว่าที่เขาหลงขึ้นทุกวัน ๆ คือคนตรงหน้า
“ตั้งแต่กลับมานี่ปากหวานจังนะคะ” ปากเหน็บหากหัวใจพองโต พลางยืนมือไปเกี่ยวแขนของคนข้างกายที่ยื่นมาให้ ชายหนุ่มพาหญิงสาวก้าวเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปยังห้องสมุด ปากตอบคำเหน็บแนมนั้น
“ความรัก ทำให้ทุกอย่างหวานไปหมด ไม่เว้นแม้แต่คนเรือเถื่อน ๆ อย่างผม”