DEFENDER (16) : RIVER.

ฆ่ามัน!
กำจัดมันทิ้งเสีย!
ลูกปิศาจ!

เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น สะดุ้งสุดตัวในตอนที่เสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่วโสตประสาทตนเอง

ร่างของเขาชักกระตุก ก่อนที่จะสำลักน้ำออกมาทางจมูก และปากอย่างรุนแรง -- เขาไอสำลักติดต่อกันอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็สามารถกลับมาหายใจได้ดั่งเดิมอีกครั้ง

ใบหน้าอันเลือนรางของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา จนกระทั่งกระจ่างชัดขึ้นในความมืดสลัว

แสงเทียนไขส่องสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด เผยให้เห็นใบหน้าเล็กของหญิงคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยริ้วรอย และบาดแผล

ดวงตาสีน้ำตาลเรียวเล็กที่จ้องมองมานั้นฉายชัดถึงความกังวล และดูโล่งอกในทันทีที่เห็นเขาฟื้นขึ้นมา

“เธอหมดสติไป --” เธอหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

“ผมยังมีชีวิตอยู่”  เด็กหนุ่มกระซิบ หลับตาลงอย่างอ่อนแรง

“เกิดอะไรขึ้น” เธอถามต่อไป จ้องมองเด็กหนุ่มนิ่ง ไล่สายตาไปตามเรือนผมสีแดงเพลิงที่เปียกชื้น ไปจนถึงเสื้อผ้าที่เปียกปอนไปทั้งตัว “พวกเขาทำอะไรเธอ --”

เด็กหนุ่มเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาสีเขียวจับจ้องไปยังหญิงตรงหน้า “ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้า “พวกเขาแค่จับผมถ่วงน้ำด้วยก้อนหิน”

คำตอบนั้นทำให้ร่างบางนิ่งชะงักไป เธอมองไปยังข้อมือของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยแผลถลอก และบวมช้ำเป็นสีดำคล้ำอย่างน่ากลัว

“เธอแก้มัดได้หรือ”

อีกครั้งที่เด็กหนุ่มส่ายหน้า “เปล่า” เขาค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมาจากพื้นดินที่เปียกชื้น เช็ดคราบดินสกปรกออกจากฝ่ามือตนเองเข้ากับเสื้อตัวเก่าอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “ผมรอจนเชือกขาดไปเอง”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น อธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปว่า “พวกเขาใช้เชือกที่เก่าเกินไป และชำรุดเกินไป -- มันรับน้ำหนักหินไม่ได้นานขนาดนั้น”

หญิงร่างบางพยักหน้าช้าๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่นาน จนในที่สุดเธอก็ขยับตัวเข้าหาอีกฝ่าย

มือบางเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าอันขาวซีดของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระซิบว่า “มาเถอะ”

เธอลุกขึ้น เดินนำเข้าไปในความมืดของชายแดนป่าที่ดูรกร้าง บรรยากาศอันเงียบสงัดโดยรอบยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูน่ากลัว ราวกับเป็นสถานที่ถูกสาป จนไม่มีใครกล้าย่างกรายผ่านมาที่นี่มากนัก

“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”

เด็กหนุ่มไม่ได้ลุกเดินตามเธอไปในทันที เขานั่งนิ่งดั่งเดิมราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หากแต่หญิงคนนั้นก็ไม่ได้เร่งรัด หรือบีบบังคับให้เขาตามติดมา เธอทำเพียงเดินไปตามทางของตนเองเท่านั้น

จนกระทั่งเสียงฝีเท้าอันแผ่นเบานั่นเริ่มเงียบหายไป เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินตามเธอไป เขาเฝ้ามองไปยังแผ่นหลังอันบอบบางที่กำลังเดินนำทางเข้าไปในป่าทึบอันมืดสลัว ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมา  -- ทั้งเขาและเธอต่างเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยก้อนหินอันแหลมคม และหมู่แมกไม้อันรกชัฏอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง

ในที่สุดพวกเขาเดินทางมาถึงบ้านเล็กหลังหนึ่งที่สร้างด้วยท่อนไม้ และตะปูเหล็ก

บ้านหลังนั้นดูแข็งแรง หากแต่เล็กจนน่าใจหาย แม้จะสำหรับอยู่อาศัยเพียงสองคนก็ตาม -- บ้านหลังนั้นไม่มีอะไรนอกจากห้องหนึ่งห้อง ที่เกือบจะว่างเปล่า มีเพียงผ้าม่านสีดำที่ปิดหน้าต่างจนมิดชิด หม้อเก่าๆไม่กี่ใบ เตาผิง และโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้น หากแต่พวกเขาทั้งสองกลับดูพอเพียงกับสิ่งที่มีอยู่

หญิงร่างเล็กยื่นเสื้อตัวใหม่ที่แห้ง และสะอาดให้เด็กหนุ่มที่เดินตามหลังมา  ยืนรอจนเขาเปลี่ยนเสื้อเสร็จเรียบร้อย จึงยื่นเสื้อคลุมตัวเก่าตัวหนึ่งให้เขาสวม จากนั้นจึงพยักเพยิดให้เขาเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร

บนโต๊ะนั้นมีถ้วยซุปวางอยู่สองถ้วย ถ้วยหนึ่งเป็นซุปผัก และอีกถ้วยหนึ่งมีเนื้อดิบชิ้นเล็กลอยอยู่

เด็กหนุ่มมองเธอทันที ที่ถ้วยชิ้นเนื้อดิบนั่นถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าเขา

“วันนี้เธอสมควรได้ทานอะไรที่อยากทานมานาน” หญิงร่างเล็กบอก “เนื้อดิบ”

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจดังลั่นไปทั่วทั้งห้องเล็กๆแห่งนั้น ท่าทีดูทรมาน ราวกับพยายามอดกลั้นต่อความอยากกระหาย ริมฝีปากหยักเม้มแน่น และฝ่ามือก็เกร็งแน่นจนโต๊ะสั่นไหวเล็กน้อย

ราวกับความอดทนได้หมดลง เด็กหนุ่มโฉบพุ่งลงไปเหนือถ้วยไม้ แล้วกัดกินชื้นเนื้อดิบนั่นอย่างตะกรุมตะกราม หลับตาลงแน่น ท่าทีราวกับกำลังหลงละเมอไปกับอารมณ์เคลิ้มสุขที่เกิดขึ้นมาชั่วขณะ

พริบตาที่ชิ้นเนื้อดิบกลืนลงผ่านลำคอไปนั้น เขาก็เบิกตาโพลง สะดุ้งเล็กน้อย ราวกับเพิ่งได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง

หญิงร่างบางเฝ้ามองอากัปกิริยาของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ส่งเสียงอึกอักมาจากลำคอตนเอง ท่าทีดูพะอืดพะอมทรมานขึ้นมากะทันหัน

“มันคือเนื้อชั้นเลว” เธอบอกเขา ค่อยๆเลื่อนถ้วยซุปที่ใสและจืดจางบนโต๊ะมาเบื้องหน้าตนเอง

แวบหนึ่งเด็กหนุ่มอยากถามอีกฝ่ายว่ามันคือเนื้ออะไร หากแต่คำตอบกลับชัดเจนขึ้นมาในใจเขาแทบจะในทันที และมันทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้มากกว่าเดิม

“เนื้อพวกเราไม่ได้อร่อยหอมหวานอย่างที่เรานึกกัน จริงไหม” หญิงร่างเล็กเอ่ย

เด็กหนุ่มเช็ดริมฝีปากด้วยชายเสื้อคลุม ใบหน้าอันขาวซีดดูอดกลั้นอดทนต่อท้องไส้ที่ปั่นป่วน -- ใช้เวลาอยู่อึดใจหนึ่ง เขาจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“เสื้อคลุมตัวนั้น--” หญิงร่างเล็กเอ่ยขึ้น “ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพ่อเธอมาก่อน -- และฉันไม่ได้ทิ้งข้าวของของเขาในเสื้อตัวนั้นเลย มาเป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไป

เธอค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ ใบหน้าอันขาวซีดบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยอีกครั้ง

เด็กหนุ่มสังเกตเห็นสีหน้าของเธอ “คุณบาดเจ็บหรือ”

อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา ค่อยๆตักซุปที่เกือบจะเป็นน้ำเปล่าเข้าปากตนเอง ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา

เด็กหนุ่มลอบมองไปยังท่อนแขนของเธอที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวยาว “ให้ผมดู” เขากระซิบ “พวกเขาทำอะไรคุณ --”

ฝ่ามืออันผอมแห้งนั้นหยุดชะงัก สั่นระริกจนสังเกตเห็นได้แม้ในความมืด -- ช้อนไม้ในมือหลุดร่วงลงบนโต๊ะ ราวกับเสียการควบคุมกะทันหัน

เด็กหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปสัมผัสฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา กอบกุมมันเอาไว้ราวกับปลอบประโลม ก่อนที่จะขยับมืออีกข้างมาเปิดชายเสื้อคลุมของเธออย่างช้าๆ

แสงเทียนไขจากมุมโต๊ะอาบไล้ไปทั่วท่อนแขนเล็กๆนั้น เผยให้เห็นแผลฟกช้ำดำคล้ำที่บวมเป่งอย่างน่ากลัว

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สบตามองเธอในทันที “พวกเขาทำร้ายคุณหรือ” เขาถาม “เมื่อไหร่กัน --”

หญิงคนนั้นไม่ตอบ ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจ้องมองเขานิ่ง

“ทำไมคุณไม่บอกผม” เด็กหนุ่มถามเธอด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “อัลบา --

อัลบาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวเจิดจ้า ก่อนจะพินิจมองไปตามเรือนผมสีแดงเพลิง และใบหน้าอันอ่อนเยาว์ตรงหน้า

เธอมองไปตามแผลลอกถลอกที่กลายเป็นสีแดง และเส้นเลือดสีดำที่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางตามผิวหนังนั่น ก่อนจะพูดออกมาว่า “เหตุผลเดียวกันกับที่นายยอมให้ตัวเองถูกถ่วงน้ำในวันนี้”

เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย

“นั่นไม่เหมือนกัน” เขากระซิบ “น้ำทำอะไรผมไม่ได้ -- น้ำฆ่าผมไม่ได้ --”

อัลบาพยักหน้ารับ “ฉันรู้ว่าน้ำฆ่าเธอไม่ได้ ฉันรู้ว่าเธอหายใจอยู่ในน้ำได้นานแค่ไหน ฉันเห็นเองกับตามาแล้ว” เธอบอก “แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงพยายามจบชีวิตตัวเอง ด้วยการปล่อยให้ตัวเองถูกถ่วงน้ำ -- เธออาจจะหายใจในน้ำได้ แต่การจมหายไปในก้นแม่น้ำตลอดกาลนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงไหม --”

เด็กหนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“แต่ผมก็ไม่ตาย --” เขาเอ่ยออกมาหลังจากนิ่งเงียบไปนาน “ผมปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งไปนาน ในแม่น้ำลึกนั่น -- แต่ผมก็ยังไม่ตาย” 

คราวนี้เป็นอัลบาที่นิ่งเงียบไป

“พวกเขาพูดกันว่ามีคนที่เหมือนกับผม -- อยู่นอกเขตป่าแห่งนี้ไป” เด็กหนุ่มว่าต่อไป “คนๆนั้นรูปลักษณ์ประหลาด และอัปลักษณ์เหมือนกับผม -- พวกเขาลือกันว่าใครคนนั้นเหมือนผมไม่มีผิด -- บนโลกใบนี้ยังมีคนที่เหมือนผมอยู่ คนที่ทำให้พวกเขาเกลียดชังและอยากจะกำจัดทิ้ง” เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับลมหายใจตนเองให้เข้าที่ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “คนที่เป็นสาเหตุจุดจบของโลกใบนี้ คนที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายแบบนี้ --”

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นฉายชัดถึงความเศร้า และทุกข์ใจแสนสาหัส

มันทำให้หญิงร่างเล็กรู้สึกเศร้าใจมากกว่าเดิม ยิ่งเธอจ้องมองเด็กหนุ่มนานมากเท่าใด ดวงตาคู่เรียวของเธอก็ยิ่งฉายชัดถึงความโศกเศร้ามากขึ้นเท่านั้น

“ใช่ ครั้งหนึ่งบนแผ่นดินนี้เคยมีพวกปิศาจร้ายนั้น -- พวกที่แพ้น้ำ และออกไล่ล่ากินเนื้อมนุษย์ จนทำให้เรานึกว่าเราต่างมาถึงจุดจบของยุคมนุษย์แล้ว --” อัลบาตอบ “แต่นั่นไม่ใช่เธอ --”

เด็กหนุ่มมองอัลบานิ่ง

“ทั้งเธอและฉัน --” อัลบากระซิบ ยังคงไม่ละสายตาไปจากใบหน้าอันอ่อนเยาว์ที่ดูแปลกประหลาดของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ปีแล้วปีเล่า ที่เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป แต่เราต่างไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อตอนสิบแปดปีก่อนเลยสักนิด ทั้งเธอและฉันต่างยังเป็นเด็กหญิง และทารกที่ริมแม่น้ำสีเลือดดั่งเดิม --”

ฝ่ามืออันอ่อนแรงของอัลบากระชับฝ่ามือเด็กหนุ่มแน่นขึ้นเล็กน้อย

“เราต่างสงสัยในการมีอยู่ของเราในวันนี้เหมือนกัน --” เธอบอก “เราต่างสงสัยว่าทำไมเราถึงเป็นผู้รอดชีวิตจากวันล้างโลกในวันนั้น -- ในขณะที่หลายคนจากเราไป แต่ทำไมเราถึงยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่ามกลางความเกลียดชัง และเสียงสาปแช่งเหล่านี้ -- ทั้งเธอ และฉัน --”

ทั้งเธอและฉัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่