[นิยาย] ในดวงมาน...♡ #บทที่ 2

ย้อนอ่านบทก่อนหน้า



บทที่ 2



บทสัมภาษณ์
( Interview )


       หลังจากที่จิตติมาติดต่อกับฝ่ายบุคคลถึงเรื่องการสัมภาษณ์งาน เธอก็ได้ถูกเชิญมายังห้องโถงของบริษัทเพื่อให้รอฟังการเรียกชื่อ แน่นอนว่าวันนี้ไม่ได้มีแค่หญิงสาวคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นๆ อีกสี่คนที่มีนัดสัมภาษณ์งานในตำแหน่งเดียวกันกับเธอ
       จิตติมามองดูลักษณะคู่ต่อสู้ของเธอแต่ละคน ซึ่งทุกคนล้วนแต่งตัวอย่างมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรสนิยมและเพศสภาพ ดังเช่น ชายใส่แว่นรูปร่างผอมที่นั่งอยู่ริมสุดของโซฟา การแต่งกายของเขาดูคล้ายๆ กับ ยุทธ ชายหนุ่มที่เธอเพิ่งชวนเขาขึ้นรถแท็กซี่มาด้วยกัน และถัดจากชายผู้นั้นคือ สาวผิวคล้ำที่แต่งกายคล้ายกับผู้ชาย ซึ่งบางทีเธอหรือเขาอาจจะไม่ได้ชอบผู้ชายเลยด้วยซ้ำ ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับจิตติมาคือ สาวน้อยอายุประมาณยี่สิบกว่าที่เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ และหนุ่มใหญ่ที่นั่งข้างเธอ ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นเจ้าของกิจการ มากกว่าจะมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยครีเอทีฟเสียอีก

       ขณะที่หญิงสาวกำลังพิจารณาคู่ต่อสู้อยู่นั้น พนักงานฝ่ายบุคคลก็เดินมาเรียกชายหนุ่มใส่แว่นให้เข้าไปสัมภาษณ์งานในห้องเป็นคนแรก เขาตอบรับและหยิบเอกสาร เพื่อเตรียมตัวจะลุกขึ้นไป แต่อยู่ๆ สาวใหญ่วัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็รีบเปิดประตูออกมา พลางแจ้งกับพนักงานสาวว่า ให้พาผู้ที่มาสัมภาษณ์ไปห้องของครีเอทีฟใหญ่แทน

“ อ้าว!! ทำไมล่ะคะพี่ศรี...ครีเอทีฟเขาจะสัมภาษณ์งานด้วยตัวเองเลยเหรอ ? แปลกจัง!! ” เธอทำหน้าสงสัย

“ ใช่!! เพราะเขาต้องการคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ที่จะสามารถร่วมงานกับเขาได้ ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลอธิบายให้ลูกน้องของเธอฟัง

พนักงานสาวนิ่งไปพลางนึกในใจว่า จะมีสักคนไหมที่เขารับเข้าทำงาน ??

“ รีบไปเถอะน้องครีม...อย่าให้เขารอนาน ” หัวหน้าของเธอเร่ง จากนั้นจึงหันกลับมามองผู้ที่นั่งรอสัมภาษณ์งานที่เหลือ รวมไปถึงจิตติมาด้วย

“ โชคดีนะคะ ” เจ้าหล่อนฉีกยิ้มให้กับทุกคนอย่างระรื่น ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องดังเดิม

จิตติมารู้สึกใจหายวาบ เมื่อรู้ว่าครีเอทีฟใหญ่จะเป็นผู้สัมภาษณ์งานด้วยตัวเอง

       หญิงสาวหันมากลับมาทางคนอื่นๆ ที่เหลือ เธอสังเกตเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นมีท่าทางที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเธอเสียเท่าไร จะมีก็แต่สาวห้าวที่ดูจะไม่แสดงอาการหวั่นไหวใดๆ ออกมา นอกจากจะพูดจาบ่นพร่ำปลอบใจตัวเองและคนอื่นๆ แล้ว ก็ยังเล่นมุข ( เสี่ยวๆ ) อยู่คนเดียว บางครั้งก็ยังพูดจาหยอกล้อกับสาวน้อยที่นั่งตรงข้ามกับจิตติมา แต่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีทีท่าจะสนใจสาวห้าวเลยแม้แต่น้อย

       ไม่นานชายหนุ่มใส่แว่นที่ได้เข้าไปสัมภาษณ์เป็นคนแรกก็เดินกลับออกมา พร้อมกับพนักงานฝ่ายบุคคลสาวที่พาเขาเข้าไปในช่วงต้น หนุ่มแว่นผู้นั้นไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าถึงความสำเร็จแต่อย่างใด เพียงแต่รีบเดินลงบันไดไปทันที โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรกับผู้ที่มารอสัมภาษณ์หรือพนักงานสาวผู้นั้นเลยสักคำ นั่นยิ่งทำให้ผู้ที่นั่งรอเกิดความรู้สึกหวั่นใจมากยิ่งขึ้น

“ เชิญคุณดวงพรค่ะ ” พนักงานฝ่ายบุคคลเรียกชื่อสาวห้าวผู้นั้น เธอหรือเขาลุกขึ้นจากโซฟาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเพื่อสะกดอารมณ์กลัว พลางพูดจาหยอกล้อกับพนักงานสาวขณะที่เดินไปยังห้องของครีเอทีฟใหญ่

       จิตติมามองตามคนทั้งคู่ไปจนลับสายตา แล้วหันกลับมามองผู้ที่รอสัมภาษณ์ที่เหลือ...อีกเพียงไม่กี่คนก็จะถึงลำดับของเธอแล้ว เธอควรใช้เวลาที่มีอยู่คิด และออกแบบคำพูดที่ดูดี เพื่อสำหรับแนะนำตัวเองขณะถูกสัมภาษณ์ดีกว่า...แต่ทว่าเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนสายลม ไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดหาคำพูดได้จบประโยค สาวห้าวผู้นั้นก็เดินกลับมา เธอหรือเขาเฝ้าถามแต่พนักงานสาวตลอดทางว่า ครีเอทีฟรับเข้าทำงานแล้วหรือยัง ?!!

“ ไว้ทางเราจะติดต่อกลับไปอีกทีนะคะ...เชิญคุณสุชาติค่ะ!! ” พนักงานฝ่ายบุคคลตัดบท พลางเรียกหนุ่มใหญ่ที่นั่งข้างๆ จิตติมา ชายผู้นั้นลุกขึ้นและเดินตามพนักงานสาวไปอย่างไม่รีรอ เหลือก็แต่สาวห้าวผู้ซึ่งได้รับคำตอบที่ไม่ตรงตามความต้องการสักเท่าไร

       จิตติมาละสายตาจากเธอหรือเขาผู้นั้นแล้วมานั่งนึกบทพูดให้ตนเองต่อ...ชื่อ...นามสกุล...ผลการศึกษา...กิจกรรม...ต้องเปลี่ยนให้ดูดีอีกนิด ผลงานที่เธอเคยได้ทำและชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ใช่!! ชีวิตการทำงานตลอดเก้าปีกับงานที่ไม่ได้ชอบเอาเสียเลย!!!

       เธอใช้เวลาในการรอสัมภาษณ์ที่เหลือคิดหาคำพูด เพื่อที่จะมาสรรเสริญและปูประวัติของตนเองให้ดูดี แน่นอน!! มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาคำพูดมาแก้ต่างว่า เพราะเหตุใดผู้หญิงอายุย่างเข้าเลขสามอย่างเธอถึงเปลี่ยนที่ทำงานมาแล้วถึงสี่ที่ ทั้งที่ในความเป็นจริงฐานะทางอาชีพการงานของเธอควรจะมั่นคงตั้งแต่อายุยี่สิบหกแล้ว แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้เธอยังไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเอง นอกจากห้องอพาร์ทเม้นท์ที่ใช้อาศัยอยู่ แถมยังต้องจ่ายค่าเช่าเป็นเดือนๆ ซึ่งในตอนนี้หญิงสาวทำได้แค่เพียงพยายามนึกหาคำพูดและเหตุผลที่ไม่ใช่คำว่า ไม่ชอบงานเก่า หรือ เบื่องานเก่า โดยคำพูดที่ใช้ควรฟังดูดีและสมเหตุสมผลมากกว่านี้ ถ้าจะกล่าวอ้างถึงการเปลี่ยนงานของเธอ...

“ เชิญคุณจิตติมาค่ะ ” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะคิดได้ว่าเธอชื่อ จิตติมา

“ คะ ?? ” เธอขานรับเป็นเชิงถาม เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานสาวเรียกชื่อของเธอจริงๆ

“ เชิญสัมภาษณ์งานค่ะ ” หล่อนพยักหน้าเป็นเชิงให้จิตติมาลุกขึ้น

       หญิงสาวงุนงงอยู่เล็กน้อยว่าถึงลำดับของเธอตั้งแต่เมื่อไร นั่นเพราะมัวแต่นึกคิดคำพูดจนลืมสังเกตว่า สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามถูกเรียกตัวเข้าไปสัมภาษณ์งานตั้งนานแล้ว และตอนนี้ก็ได้เวลาของเธอเสียที

“ พร้อมหรือยังคะ ? ” พนักงานสาวร้องถาม เนื่องจากเห็นท่าทางที่ดูงุนงงของเธอ

“ พร้อม...พร้อมแล้วค่ะ ” จิตติมารีบตอบ

“ ถ้าอย่างนั้น เชิญทางด้านนี้เลยค่ะ ” หล่อนผายมือ พลางเดินนำเพื่อพาเธอไปยังห้องสัมภาษณ์

       หญิงสาวรีบเดินตามไปทันที และในขณะเดียวกันก็พยายามนึกหาคำพูดที่จะมาใช้แก้ต่างในการลาออกจากงานเก่า แต่คิดเท่าไรก็ยังไม่ได้คำพูดที่ดูมีเหตุมีผลดีพอ จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เท้าของเธอได้พามายืนอยู่ที่หน้าห้องของครีเอทีฟใหญ่

“ คุณเตรียมเอกสารพร้อมแล้วใช่ไหมคะ ? ” พนักงานสาวถาม

“ ค่ะ ” เธอตอบ

“ ดีมากค่ะ...คนที่มาสัมภาษณ์งานก่อนหน้าคุณ เขาไม่มีใบวุฒิบัตรการศึกษากับสำเนาทะเบียนบ้านอย่างถูกต้อง จึงทำให้ที่อยู่ในบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านไม่ตรงกัน เลยโดนตอกหน้ากลับออกมา ของคุณมีครบใช่ไหมคะ ? ” พนักงานสาวถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ ค่ะ...ครบค่ะ ” เธอย้ำ

“ ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณเข้าห้องได้เลยค่ะ ครีเอทีฟพร้อมที่จะสัมภาษณ์คุณแล้ว...เชิญค่ะ ” พนักงานสาวผายมือเพื่อให้เธอเข้าไปในห้อง หญิงสาวพยักหน้าตอบรับเล็กน้อยก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป

       ภาพที่ปรากฏภายในห้องนั้น เบื้องหน้ามีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ ราวกับว่ามันเป็นโต๊ะที่ใช้สำหรับการประชุมย่อยๆ เพื่อวางแผนงาน เธอมองซ้าย มองขวา เพื่อหาครีเอทีฟใหญ่ที่ว่า แต่ก็ยังไม่พบเขา จนกระทั่งหญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ก่อนที่จะค่อยๆ บรรจงปิดประตู จากนั้นจึงเดินเลี้ยวขวาเข้ามาที่หัวมุม

“ เชิญเลยครับ ” เสียงจากชายคนหนึ่งร้องเรียกเธอมาจากทางด้านนั้น

       จิตติมาเดินตรงไปหาเจ้าของเสียงที่ร้องเรียก พลันทำให้เธอได้พบกับบุคคลผู้เป็นครีเอทีฟใหญ่ นั่นคือ ชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวออกเหลือง เขาสวมชุดสีน้ำตาลเข้ม และกางเกงยีนส์สีดำ ต่างกันก็แค่ไม่มีซองเอกสารสีน้ำตาล และกระบอกใส่แบบเขียนงานอย่างที่เคยเห็นในตอนแรก ชายหนุ่มผู้นั้นมองดูเธอและยิ้มให้ ส่วนเธอเองก็ยังคงยืนงงกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะไม่นึกว่าชายหนุ่มที่นั่งรถโดยสารคันเดียวกัน จะเป็นผู้ที่รอสัมภาษณ์งานในครั้งนี้

“ อ้าว!!...คุณยุทธ!!...คุณเป็นครีเอทีฟของที่นี่เหรอคะ ? ” หญิงสาวสงสัย เธอถามเขาพลางหยีตาด้วยท่าทีครุ่นคิด

“ ใช่ครับ...ผมเป็นครีเอทีฟของที่นี่ ” ชายหนุ่มยืนยัน

“ แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่ะคะ ? ” เธอถามอีก

“ ก็คุณไม่ได้ถามผมตั้งแต่แรกนี่!! ” เขาตอบ

       หญิงสาวยื่นนิ่งและพยายามที่จะพูดบางอย่างออกมา แต่ดูเหมือนว่าเธอคิดคำที่จะพูดไม่ออก

“ ฉ...ฉัน...พูดอะไรไม่ออกเลยเมื่อพบคุณ...คุณคือ คนที่จะสัมภาษณ์งานฉัน ” ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงรอยยิ้มของเรื่องตลกที่เกิดขึ้น โดยเธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องบังเอิญเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับเธอได้

“ ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ถึงอย่างไรเราก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว...เอาเป็นว่า เชิญคุณนั่งลงก่อนดีกว่า แล้วทำใจให้สบาย พร้อมสัมภาษณ์เมื่อไรค่อยบอกผมละกัน...ผมไม่รีบ ” ยุทธบอกกับจิตติมา พลางเลื่อนเก้าอี้ที่ด้านหน้าโต๊ะทำงานให้เธอนั่ง ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อนั่งเก้าอี้ประจำตัว

“ ฉันไม่ทำให้คุณเสียเวลาหรอกค่ะ ” หญิงสาวบอกแก่เขาเมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ เธอค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และวางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะ

“ ผมคงไม่จำเป็นที่จะต้องดูมันแล้วล่ะครับ เชิญคุณเก็บไว้ให้ฝ่ายบุคคลดีกว่า ” ชายหนุ่มจำได้ว่าเคยดูแฟ้มประวัติผลงานของเธอมาก่อนหน้านั้นแล้ว

“ ตอนนี้ผมมีคำถามที่จะถามคุณอย่างหนึ่ง ” เขาเกริ่น

“ คำถามอะไรคะ ? ” เธอสงสัย

“ ผมอยากจะถามคุณว่า มีเหตุผลอะไรไหมที่ผมจะต้องจ้างคุณเข้าทำงาน เพื่อมาเป็นผู้ช่วยของผม ? ”  หญิงสาวรู้สึกงุนงงจนหน้าถึงกับถอดสี เพราะทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยได้พบเจอกับคำถามอะไรแบบนี้มาก่อน

“ คุณ...ถาม...คำถามนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่าคะ ? ” จิตติมาถามยุทธกลับเพื่อความมั่นใจ เพราะกำลังสงสัยว่า ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวใช่ไหมที่เจอกับคำถามลักษณะนี้

“ ผมกำลังถามคุณอยู่นะครับคุณจิตติมา ” ยุทธตอบกลับ แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่ตรงกับคำถามสักเท่าไร

       หญิงสาวเข้าใจแล้วว่า นี่คือ บททดสอบสุดท้าย เพื่อเป็นตัวชี้วัดว่า เธอเหมาะสมกับหน้าที่นี้หรือไม่ จิตติมาฉีกยิ้มให้เขาก่อนที่จะตอบคำถามที่ถามไปเมื่อครู่

“ เหตุผลที่คุณจะต้องจ้างฉันมีแน่นอนค่ะ เพราะฉันเก่ง ฉลาด มีความสามารถ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และที่สำคัญฉันสามารถเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับคุณได้ ” เธอตอบออกมาอย่างมั่นใจ แววตาฉายความมุ่งมั่น คำพูดที่พรั่งพรูออกมานั้นล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น

       หญิงสาวรู้ตัวดีว่า ตนเองเป็นคนแบบไหน และมีอุดมการณ์เช่นไร ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้มันไม่ใช่คำพูดที่คิดเอาไว้ล่วงหน้า แต่เธอกลับพูดออกมาในสิ่งที่เป็นตนเองล้วนๆ

       ยุทธมองหน้าเธอสักพัก เขาพยักหน้าช้าๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวอยู่
       เธอมองหน้าเขาแล้วเม้มริมฝีปาก เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ชายผู้นั่งอยู่ตรงหน้ากำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น เขาคิดถึงเรื่องอะไร เขาพอใจกับคำตอบของเธอหรือไม่…บางทีอาจกำลังใช้วิจารณญาณเพื่อพิจารณาสิ่งที่เธอพูดออกไป เพราะมันค่อนข้างตรงไปตรงมาและดูโอ้อวด จนสามารถทำให้คิดได้ว่า เธออาจไม่เหมาะสมที่จะทำงานร่วมกับเขาได้ในอนาคต

“ ฉัน...คงไม่เหมาะกับการเป็นผู้ช่วยของคุณมั้งคะ ? ” เธอค่อยๆ เอ่ยออกมาเมื่อรู้สึกว่า ความเป็นไปได้ในการทำงานที่นี่เริ่มลดลง

“ ผมยังไม่ได้บอกคุณเลยนะครับว่าคุณเหมาะหรือไม่เหมาะ ” ยุทธทำสีหน้าสงสัย

“ ไม่รู้สิคะ...ฉันแค่รู้สึกน่ะ ” เธอกล่าว

“ อย่างนั้นเหรอครับ ? ” เขาถามกลับ

       จิตติมาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ให้กับยุทธ แล้วทำท่าว่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอเตรียมใจและรู้เอาไว้อยู่แล้วว่า คำพูดของเธออาจจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจก็เป็นได้

“ นั่นคุณจะไปไหนครับ ? ” ยุทธถาม

“ คุณสัมภาษณ์ฉันจบแล้วไม่ใช่เหรอคะ ? ฉันคิดว่าคงหมดธุระแล้ว...ก็เลยจะขอตัว ” เธอบอก

“ ผมยังไม่ได้อนุญาตให้คุณกลับออกไปเลยนี่ครับ...เชิญนั่งลงก่อน ” เขาพูด

“ ฉันทราบดีค่ะว่าคำตอบของฉันเมื่อครู่นี้...อาจฟังดูอวดเก่งจนเกินไป แล้วฉันก็คิดว่าคุณอาจจะไม่ชอบฉัน แต่ที่ฉันพูดไปทั้งหมดนั้น...มันคือ ตัวตนของฉันจริงๆ ” เธออธิบายให้เขาฟัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่