ย้อนอ่านบทก่อนหน้า
บทที่ 9
หวั่นไหว
( Vacillate )
แม้ว่าในช่วงเดือนมีนาคมจะตรงกับช่วงเวลาที่ซีกโลกเหนือ และประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศของเราจะโคจรใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด แต่ทว่าสายฝนที่โปรยปรายตกลงมาอย่างไม่ขาดสายในตลอดสามวัน ได้สรรสร้างให้สภาพเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครเฉอะแฉะไปด้วยน้ำที่ท่วมขังตามฟุตบาทและท้องถนน จนทำให้ชาวกรุงหลายๆ คนถึงกับบ่นอุบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ช่วยครีเอทีฟอย่างจิตติมาที่ถึงแม้เธอจะไม่ใช่สาวแดนศิวิไลซ์โดยกำเนิด แต่เจ้าหล่อนก็รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อต้องขึ้นรถประจำทางที่ทั้งร้อน และอับชื้นด้วยลมฝนมาทำงานทุกวัน
เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่หญิงสาวประจำอยู่ที่บริษัทโฆษณาแห่งนี้ และสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ( เว้นก็แต่เรื่องรถโดยสาร ) เธออาศัยความจำจากสิ่งที่เจ้านายสอนเป็นหลักในเรื่องของการเป็นผู้ช่วย ทั้งติดต่อประสานงาน ค้นหาข้อมูล และรับโทรศัพท์ ซึ่งขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกทีมที่เข้ามาสอบถามในการทำงานบางเรื่องอีกด้วย
ยุทธพอใจกับผู้ช่วยคนใหม่คนนี้มาก แค่เวลาไม่นานที่เธอเข้ามา ก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาลงไปได้มากทีเดียว ซึ่งชายหนุ่มเองก็คาดหวังให้หญิงสาวได้อยู่ร่วมงานกันไปนานๆ และที่พิเศษกว่านั้นเขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มมีความรู้สึกดีๆ บางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขาแน่ใจว่าคือ ความรัก เพราะขณะเดียวกันเขาก็ยังมีความรู้สึกของความเป็นเจ้านายปะปนอยู่
เย็นวันสุดท้ายของสัปดาห์แห่งการทำงาน จิตติมาเก็บข้าวของเตรียมตัวจะกลับบ้าน เธอสำรวจดูความเรียบร้อยบนโต๊ะ และหันมาเพื่อที่จะบอกลายุทธผู้เป็นนาย แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังงีบหลับอยู่ที่โต๊ะทำงาน หญิงสาวอมยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนั้น เธอเข้าใจดีว่าตลอดทั้งวันครีเอทีฟหนุ่มค่อนข้างเหนื่อยกับงานมากพอสมควร แทบจะไม่มีเวลาได้พัก
ผู้ช่วยสาวเดินไปหาเขาที่โต๊ะ พลางเขย่าแขนและร้องเรียกเพื่อให้เขาตื่น ไม่นานชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทีสะลึมสะลือ
“ คุณยุทธคะ...ห้าโมงเย็นแล้ว กลับบ้านได้แล้วค่ะ ” จิตติมาร้องบอก
ชายหนุ่มงัวเงียเล็กน้อย พลางมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนที่จะหันกลับมาที่หญิงสาว
“ ฉันว่าคุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า เดี๋ยวฉันจะชงกาแฟมาให้ ” เธอเสนอ
“ ขอบคุณนะครับคุณเจี๊ยบ สงสัยวันนี้ผมคงกลับดึกแน่เลย...ดูสิ!! งานผมเต็มโต๊ะอย่างนี้…ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ” ยุทธกล่าวพลางผายมือให้เห็นโต๊ะของเขาที่เต็มไปด้วยแฟ้มงาน และเอกสารมากมาย
“ ฉันคิดว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่าไหมคะ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว...จะไม่พักผ่อนบ้างเลยเหรอ ? ” หญิงสาวถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
ชายหนุ่มมองหน้าเธอแล้วยิ้มให้พลางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาตามที่เธอขอ
หญิงสาวมองดูเขาเดินออกไปจนลับตาแล้วหันกลับมาที่โต๊ะ เธอมองเห็นแฟ้มงานและเอกสารที่วางกระจัดกระจาย ดูแล้วมันช่างน่าขัดใจเสียเหลือเกิน หล่อนจึงถือวิสาสะจัดการส่วนที่รกบนโต๊ะของเขาให้เป็นระเบียบ แน่นอนว่าหน้าที่ของการเป็นผู้ช่วยนั้น นอกจากจะเป็นหูเป็นตาให้แก่เจ้านายแล้ว ก็ควรที่จะเป็นมือเป็นเท้าเพื่อช่วยเหลือ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีแก่ผู้เป็นนายอีกเช่นกัน
ผู้ช่วยสาวใช้เวลาไม่นานในการจัดระเบียบเอกสารให้เข้าที่ จากนั้นจึงพบว่าโต๊ะของเขาดูมีความกว้างและเรียบร้อยขึ้นในทันใด เธอกวาดสายตาเพื่อหาจุดบกพร่องอีกครั้ง จนกระทั่งมาสะดุดกับกรอบรูปสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ ซึ่งภายในกรอบรูปนั้นมีภาพของบุคคลทั้งสามอยู่ด้านใน ซึ่งได้แก่ ยุทธ อมรวิสุทธิ์ และสาริสาโดยบุคคลที่เป็นหญิงสาวคนเดียวในภาพยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบิดา และลูกพี่ลูกน้องของเธอ
จิตติมาอดที่จะชื่นชมความงามของดาราสาวผู้นี้ไม่ได้ที่ทั้งสวยและสง่าสมวัย รวมไปถึงผู้ที่เป็นบิดาอย่างอมรวิสุทธิ์ หนุ่มใหญ่ดูน่าเกรงขามและมีมาดของนักบริหารอยู่เต็มตัว ส่วนยุทธ เขาช่างดูหล่อเหลา แลมีราศีของผู้สืบทอดทางธุรกิจอยู่มาก และไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใดหญิงสาวถึงรู้สึกไม่อยากละสายตาออกจากภาพของเจ้านายหนุ่ม เธออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูมั่นใจของเขา แต่แล้วก็ต้องหยุดความคิดที่เพ้อฝันนั้นลง เมื่อได้ยินเสียงของบุคคลที่อยู่ในภาพส่งเสียงออกมาจากทางหน้าห้อง
“ โอ้โห!! ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าโต๊ะของผมก็ใหญ่อยู่เหมือนกัน ” ชายหนุ่มร้องขึ้นเมื่อเห็นโต๊ะทำงานอยู่ในสภาพที่ไม่คุ้นตา เขาเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวชม
จิตติมาผละสายตาจากรูปภาพไปหาเขาทันทีด้วยความตกใจ พลางรีบฉีกยิ้มให้แก้เก้อ
“ คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะถ้าฉันจะขออนุญาตจัดโต๊ะของคุณ ฉัน...จัดเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ให้คุณแล้ว...อยู่ทางด้านนี้ค่ะ!! ” เธอรีบอธิบายกลบเกลื่อนพลางผายมือไปทางขวา
“ อ่อ!! ขอบคุณมากเลยครับ...ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเข้ามาทำงานที่เหลือต่อเอง ” เขาบอก
“ แล้วคุณจะรับกาแฟไหมคะ...เดี๋ยวฉันชงให้ ? ” หญิงสาวเก็บมือเข้าหาตัว ทำทีเป็นอาสา
“ ก็ดีครับ!! ผมจะได้ไม่ง่วงตอนขับรถกลับบ้าน ” ยุทธยิ้มรับในข้อเสนอ
จิตติมาพยักหน้าเป็นเชิงตกลง เธอเดินไปยังครัวทางด้านนอกแล้วเริ่มบรรจงตักกาแฟใส่ถ้วย หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อยทุกครั้งที่นึกถึงรูปภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ โดยเฉพาะภาพรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ของเขา...รอยยิ้มมุมปากด้วยท่าทีที่มั่นใจ ซึ่งเธอแทบไม่เคยเห็นเลยตลอดช่วงที่ทำงานร่วมกัน แต่แล้วผู้ช่วยสาวก็ต้องรีบหยุดความคิดลงในทันควัน ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะทำให้เธอโดนน้ำร้อนลวก
หล่อนยื่นแก้วกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จให้แก่ยุทธ กลิ่นหอมอ่อนๆ และรสชาติที่นุ่มละมุนลิ้นของมัน ทำให้ชายหนุ่มหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาชื่นชมถึงฝีมือการชงที่ค่อนข้างจะถูกปาก หญิงสาวกล่าวขอบคุณด้วยความยินดี บัดนี้หัวใจของเธอเริ่มพองโต บางทีหากเธอทำให้เขาพึงพอใจ ก็อาจจะได้เห็นรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ของเขาอยางนั้นสักวันหนึ่ง...
ผู้ช่วยสาวก้าวเดินลงบันไดมายังหน้าออฟฟิศด้วยท่าทีที่เหม่อลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์หลังจากกล่าวลาเขาในเวลาต่อมา หญิงสาวรู้สึกได้ว่าจิตใจของเธอเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหลังจากที่เห็นภาพนั่น เธอหลงใหลในรอยยิ้มของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งขณะเดียวกันไม่ทันที่หญิงสาวจะหยุดความคิด และปลายเท้ายังไม่ทันที่จะแตะถึงบันไดขั้นสุดท้าย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะความรู้สึกนึกคิด...
“ ว่าไงยายแนน ?? ” จิตติมาทักทายเพื่อนในสาย
“ เลิกงานหรือยัง ? ” นันทวดีถาม
“ เลิกแล้วจ้า!! กำลังเดินออกจากออฟฟิศพอดี ” เธอกล่าว
“ ...ถ้าอย่างนั้นรออยู่ที่หน้าออฟฟิศนั่นแหละ เดี๋ยวมีคนไปรับ ” คุณแม่ยังสาวสั่งการอย่างรวดเร็ว
“ ใครจะมารับฉัน ?? ” จิตติมาถามเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไร หนำซ้ำยังวางสายทิ้ง จนเธอถึงกับแปลกใจเล็กน้อย
หญิงสาวจึงเดินมารอรถที่ฟุตบาทด้านหน้าออฟฟิศตามที่เพื่อนของเธอบอก แต่ก็ไม่เห็นใครที่พอจะรู้จัก เธอจึงสงสัยว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดแกล้งอะไรอยู่หรือเปล่า ผู้ช่วยสาวจึงหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วทำท่าว่าจะโทรศัพท์กลับไปถาม แต่ทันใดนั้นกลับปรากฏรถกระบะปิดประทุนสีทองคันใหญ่ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าเธอพอดี
“ เจี๊ยบ... ” บุคคลที่อยู่บนรถเปิดกระจกลงมาแล้วร้องเรียก เผยให้เห็นเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่าๆ ผิวสองสี สวมชุดสีเหลืองหม่นดูคุ้นตามองมาที่เธอจากฝั่งคนขับ
“ อ้าว...พี่อัศ ” หญิงสาวตอบรับ พลางงุนงงเล็กน้อย
“ แนนโทรฯ หาพี่ให้มารับเราน่ะ...ขึ้นรถสิ ” เขาบอก
จิตติมาฉีกยิ้ม แล้วกล่าวขอบคุณเขา ก่อนที่จะเปิดประตูรถเพื่อก้าวขึ้นไปนั่ง
ครั้นพอรถกระบะคันใหญ่เคลื่อนตัวออกไป ปรากฏให้เห็นครีเอทีฟหนุ่มมองลอดหน้าต่างออกมาจากห้องทำงาน เขามองไปที่รถคันนั้นจนพ้นสายตา ก่อนที่จะอมยิ้มมุมปากยามที่เขารู้สึกพอใจให้เป็นการส่งท้าย จากนั้นจึงหันกลับมามองที่ภาพถ่ายยังโต๊ะทำงานของตน...
+++++++++++++++++++++++++++++
ทางด้านรถของอัศนัยที่วิ่งแล่นไปบนท้องถนน ข้าราชการหนุ่มผู้เป็นคนขับถามไถ่จิตติมาถึงที่ทำงานใหม่ และการปรับตัวในช่วงสัปดาห์แรก หญิงสาวตอบเขาด้วยท่าทีที่ค่อนข้างพอใจในเรื่องของตำแหน่งและหน้าที่การงาน แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนักว่าเป็นสิ่งที่ใช่แล้วหรือยังกับสายอาชีพนี้
“ ...ก็ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ แต่คิดว่าอยากทำไปเรื่อยๆ ก่อนมากกว่า ” เธอย้ำอีกครั้ง แม้ว่าในใจขณะนี้กำลังมีสิ่งอื่นให้นึกถึงอยู่ก็ตาม
อัศนัยมองดูเธอแล้วยิ้มให้ พลางรู้สึกพอใจที่ดูเธอมีความสุขดีกับงานที่ทำ แม้จะไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ
“ เราเลิกงานช่วงเวลานี้ทุกวันเลยเหรอ ? ” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ ก็เวลานี้แหละค่ะ...แต่ถ้ามีประชุมก็คงมืดหน่อย ” เธอบอก
“ ช่วงนี้พี่ยังทำธุระอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้พี่มารับไหม ? ” ชายหนุ่มถาม
“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...เจี๊ยบกลับเองได้ ” เธอกล่าว เพราะเกรงใจพี่ชายของเพื่อนสนิท
“ เอาน่า!! ไม่ต้องเกรงใจหรอก อันที่จริง...ตอนเช้าพี่มารับเราด้วยก็ได้นะ ” เขาเสนอตัว
“ อุ๊ย!! ไม่ต้องหรอกค่ะ ลำบากพี่เปล่าๆ เจี๊ยบนั่งรถเมล์มาเองได้!! ” เธอรีบปฏิเสธ เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการรบกวนเขาจนเกินไป
“ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า...พี่ก็เห็นว่าเราไปทางเดียวกัน ยิ่งตอนเช้าๆ พี่จะได้มีเพื่อนคุยแก้ง่วงด้วย แถมเราก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และที่สำคัญ...จะได้มี เงินเหลือเก็บ ” ชายหนุ่มพยายามพูดให้เธอคลายความกังวล แม้ว่าจะต้องงัดไม้เด็ดที่น้องสาวของตนแนะนำขึ้นมาใช้ก็ตาม เหตุเพราะรู้ดีว่า จิตติมาเป็นคนค่อนข้างตระหนี่อยู่พอสมควร
“ ก...ก็ได้ค่ะ ” หญิงสาวตอบรับกับความมีน้ำใจของเขา ถึงแม้เหตุผลที่เธอตกลงจะค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวอยู่เสียหน่อยก็ตาม
อัศนัยอมยิ้มเล็กน้อยที่คำพูดหว่านล้อมของเขาใช้ได้ผล จริงอยู่ที่ว่าจิตติมาเป็นคนค่อนข้างตระหนี่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะชอบเอาเปรียบผู้อื่นเสียเมื่อไร ซึ่งนั่นก็เป็นข้อแตกต่างที่ทำให้เธอไม่เหมือนกับคนขี้เหนียวทั่วไป เขาจึงค่อนข้างพอใจกับนิสัยของเธอตรงนี้ และก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจถ้าจะใช้ถ้อยคำเชิญชวนที่คุ้มค่ากับการออมเป็นการชวนเชื่อเพื่อให้เธอนั่งรถไปด้วยกัน
ไม่นานรถของชายหนุ่มก็มาจอดส่งบริเวณหน้าอพาร์ทเม้นท์ หญิงสาวลงจากรถและกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพัก อัศนัยมองดูจิตติมาจนลับตา ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรศัพท์หานันทวดี
“ เป็นไงบ้างคะ...เรียบร้อยไหม ?? ” เสียงของน้องสาวถามขึ้น
“ เรียบร้อย...พี่เพิ่งส่งเพื่อนเราขึ้นอพาร์ทเม้นท์ไป ” ชายหนุ่มบอกแก่เธอ
“ ดีมากค่ะ!! แล้วตกลงยายเจี๊ยบอนุญาตให้พี่ไปรับ ไปส่งหรือเปล่า ?? ” หญิงสาวถามอีก
“ อืม...เขาตกลง ” อัศนัยกล่าว
“ เยี่ยมไปเลย!! ทีนี้...พี่ชายของแนนก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาสักที ” นันทวดีร้องออกมาอย่างดีใจ
“ นี่!! เขาแค่ตกลงจะนั่งรถไปกับพี่ ไม่ได้ตกลงคบกับพี่เสียหน่อย ” ชายหนุ่มท้วง
“ แหม!! เท่านี้ก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้วค่ะ ที่เหลือพี่อัศก็ต้องแสดงฝีมือจีบยายเจี๊ยบให้ติดนะคะ เดี๋ยวแนนจะคอยช่วยเป็นกำลังเสริมอีกทาง ” เธอสนับสนุน
“ เฮ้อ!! พี่ไม่น่าบอกเราเลย...รู้อย่างนี้เงียบไว้ แล้วปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเสียดีกว่า ” เขาบอก
“ ถ้าขืนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วชาติไหนพี่จะได้มีแฟนกับเขาล่ะคะ ?? เอาน่าพี่อัศ!! มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องรีบทำคะแนนนะคะ เดี๋ยวน้องช่วย!!! ” เธอกระตือรือร้น
[นิยาย] ในดวงมาน...♡ #บทที่ 9
หวั่นไหว
( Vacillate )
แม้ว่าในช่วงเดือนมีนาคมจะตรงกับช่วงเวลาที่ซีกโลกเหนือ และประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศของเราจะโคจรใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด แต่ทว่าสายฝนที่โปรยปรายตกลงมาอย่างไม่ขาดสายในตลอดสามวัน ได้สรรสร้างให้สภาพเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครเฉอะแฉะไปด้วยน้ำที่ท่วมขังตามฟุตบาทและท้องถนน จนทำให้ชาวกรุงหลายๆ คนถึงกับบ่นอุบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ช่วยครีเอทีฟอย่างจิตติมาที่ถึงแม้เธอจะไม่ใช่สาวแดนศิวิไลซ์โดยกำเนิด แต่เจ้าหล่อนก็รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อต้องขึ้นรถประจำทางที่ทั้งร้อน และอับชื้นด้วยลมฝนมาทำงานทุกวัน
เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่หญิงสาวประจำอยู่ที่บริษัทโฆษณาแห่งนี้ และสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ( เว้นก็แต่เรื่องรถโดยสาร ) เธออาศัยความจำจากสิ่งที่เจ้านายสอนเป็นหลักในเรื่องของการเป็นผู้ช่วย ทั้งติดต่อประสานงาน ค้นหาข้อมูล และรับโทรศัพท์ ซึ่งขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกทีมที่เข้ามาสอบถามในการทำงานบางเรื่องอีกด้วย
ยุทธพอใจกับผู้ช่วยคนใหม่คนนี้มาก แค่เวลาไม่นานที่เธอเข้ามา ก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาลงไปได้มากทีเดียว ซึ่งชายหนุ่มเองก็คาดหวังให้หญิงสาวได้อยู่ร่วมงานกันไปนานๆ และที่พิเศษกว่านั้นเขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มมีความรู้สึกดีๆ บางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขาแน่ใจว่าคือ ความรัก เพราะขณะเดียวกันเขาก็ยังมีความรู้สึกของความเป็นเจ้านายปะปนอยู่
เย็นวันสุดท้ายของสัปดาห์แห่งการทำงาน จิตติมาเก็บข้าวของเตรียมตัวจะกลับบ้าน เธอสำรวจดูความเรียบร้อยบนโต๊ะ และหันมาเพื่อที่จะบอกลายุทธผู้เป็นนาย แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังงีบหลับอยู่ที่โต๊ะทำงาน หญิงสาวอมยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนั้น เธอเข้าใจดีว่าตลอดทั้งวันครีเอทีฟหนุ่มค่อนข้างเหนื่อยกับงานมากพอสมควร แทบจะไม่มีเวลาได้พัก
ผู้ช่วยสาวเดินไปหาเขาที่โต๊ะ พลางเขย่าแขนและร้องเรียกเพื่อให้เขาตื่น ไม่นานชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทีสะลึมสะลือ
“ คุณยุทธคะ...ห้าโมงเย็นแล้ว กลับบ้านได้แล้วค่ะ ” จิตติมาร้องบอก
ชายหนุ่มงัวเงียเล็กน้อย พลางมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนที่จะหันกลับมาที่หญิงสาว
“ ฉันว่าคุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า เดี๋ยวฉันจะชงกาแฟมาให้ ” เธอเสนอ
“ ขอบคุณนะครับคุณเจี๊ยบ สงสัยวันนี้ผมคงกลับดึกแน่เลย...ดูสิ!! งานผมเต็มโต๊ะอย่างนี้…ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ” ยุทธกล่าวพลางผายมือให้เห็นโต๊ะของเขาที่เต็มไปด้วยแฟ้มงาน และเอกสารมากมาย
“ ฉันคิดว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่าไหมคะ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว...จะไม่พักผ่อนบ้างเลยเหรอ ? ” หญิงสาวถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
ชายหนุ่มมองหน้าเธอแล้วยิ้มให้พลางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาตามที่เธอขอ
หญิงสาวมองดูเขาเดินออกไปจนลับตาแล้วหันกลับมาที่โต๊ะ เธอมองเห็นแฟ้มงานและเอกสารที่วางกระจัดกระจาย ดูแล้วมันช่างน่าขัดใจเสียเหลือเกิน หล่อนจึงถือวิสาสะจัดการส่วนที่รกบนโต๊ะของเขาให้เป็นระเบียบ แน่นอนว่าหน้าที่ของการเป็นผู้ช่วยนั้น นอกจากจะเป็นหูเป็นตาให้แก่เจ้านายแล้ว ก็ควรที่จะเป็นมือเป็นเท้าเพื่อช่วยเหลือ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีแก่ผู้เป็นนายอีกเช่นกัน
ผู้ช่วยสาวใช้เวลาไม่นานในการจัดระเบียบเอกสารให้เข้าที่ จากนั้นจึงพบว่าโต๊ะของเขาดูมีความกว้างและเรียบร้อยขึ้นในทันใด เธอกวาดสายตาเพื่อหาจุดบกพร่องอีกครั้ง จนกระทั่งมาสะดุดกับกรอบรูปสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ ซึ่งภายในกรอบรูปนั้นมีภาพของบุคคลทั้งสามอยู่ด้านใน ซึ่งได้แก่ ยุทธ อมรวิสุทธิ์ และสาริสาโดยบุคคลที่เป็นหญิงสาวคนเดียวในภาพยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบิดา และลูกพี่ลูกน้องของเธอ
จิตติมาอดที่จะชื่นชมความงามของดาราสาวผู้นี้ไม่ได้ที่ทั้งสวยและสง่าสมวัย รวมไปถึงผู้ที่เป็นบิดาอย่างอมรวิสุทธิ์ หนุ่มใหญ่ดูน่าเกรงขามและมีมาดของนักบริหารอยู่เต็มตัว ส่วนยุทธ เขาช่างดูหล่อเหลา แลมีราศีของผู้สืบทอดทางธุรกิจอยู่มาก และไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใดหญิงสาวถึงรู้สึกไม่อยากละสายตาออกจากภาพของเจ้านายหนุ่ม เธออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูมั่นใจของเขา แต่แล้วก็ต้องหยุดความคิดที่เพ้อฝันนั้นลง เมื่อได้ยินเสียงของบุคคลที่อยู่ในภาพส่งเสียงออกมาจากทางหน้าห้อง
“ โอ้โห!! ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าโต๊ะของผมก็ใหญ่อยู่เหมือนกัน ” ชายหนุ่มร้องขึ้นเมื่อเห็นโต๊ะทำงานอยู่ในสภาพที่ไม่คุ้นตา เขาเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวชม
จิตติมาผละสายตาจากรูปภาพไปหาเขาทันทีด้วยความตกใจ พลางรีบฉีกยิ้มให้แก้เก้อ
“ คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะถ้าฉันจะขออนุญาตจัดโต๊ะของคุณ ฉัน...จัดเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ให้คุณแล้ว...อยู่ทางด้านนี้ค่ะ!! ” เธอรีบอธิบายกลบเกลื่อนพลางผายมือไปทางขวา
“ อ่อ!! ขอบคุณมากเลยครับ...ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเข้ามาทำงานที่เหลือต่อเอง ” เขาบอก
“ แล้วคุณจะรับกาแฟไหมคะ...เดี๋ยวฉันชงให้ ? ” หญิงสาวเก็บมือเข้าหาตัว ทำทีเป็นอาสา
“ ก็ดีครับ!! ผมจะได้ไม่ง่วงตอนขับรถกลับบ้าน ” ยุทธยิ้มรับในข้อเสนอ
จิตติมาพยักหน้าเป็นเชิงตกลง เธอเดินไปยังครัวทางด้านนอกแล้วเริ่มบรรจงตักกาแฟใส่ถ้วย หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อยทุกครั้งที่นึกถึงรูปภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ โดยเฉพาะภาพรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ของเขา...รอยยิ้มมุมปากด้วยท่าทีที่มั่นใจ ซึ่งเธอแทบไม่เคยเห็นเลยตลอดช่วงที่ทำงานร่วมกัน แต่แล้วผู้ช่วยสาวก็ต้องรีบหยุดความคิดลงในทันควัน ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะทำให้เธอโดนน้ำร้อนลวก
หล่อนยื่นแก้วกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จให้แก่ยุทธ กลิ่นหอมอ่อนๆ และรสชาติที่นุ่มละมุนลิ้นของมัน ทำให้ชายหนุ่มหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาชื่นชมถึงฝีมือการชงที่ค่อนข้างจะถูกปาก หญิงสาวกล่าวขอบคุณด้วยความยินดี บัดนี้หัวใจของเธอเริ่มพองโต บางทีหากเธอทำให้เขาพึงพอใจ ก็อาจจะได้เห็นรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ของเขาอยางนั้นสักวันหนึ่ง...
ผู้ช่วยสาวก้าวเดินลงบันไดมายังหน้าออฟฟิศด้วยท่าทีที่เหม่อลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์หลังจากกล่าวลาเขาในเวลาต่อมา หญิงสาวรู้สึกได้ว่าจิตใจของเธอเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหลังจากที่เห็นภาพนั่น เธอหลงใหลในรอยยิ้มของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งขณะเดียวกันไม่ทันที่หญิงสาวจะหยุดความคิด และปลายเท้ายังไม่ทันที่จะแตะถึงบันไดขั้นสุดท้าย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะความรู้สึกนึกคิด...
“ ว่าไงยายแนน ?? ” จิตติมาทักทายเพื่อนในสาย
“ เลิกงานหรือยัง ? ” นันทวดีถาม
“ เลิกแล้วจ้า!! กำลังเดินออกจากออฟฟิศพอดี ” เธอกล่าว
“ ...ถ้าอย่างนั้นรออยู่ที่หน้าออฟฟิศนั่นแหละ เดี๋ยวมีคนไปรับ ” คุณแม่ยังสาวสั่งการอย่างรวดเร็ว
“ ใครจะมารับฉัน ?? ” จิตติมาถามเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไร หนำซ้ำยังวางสายทิ้ง จนเธอถึงกับแปลกใจเล็กน้อย
หญิงสาวจึงเดินมารอรถที่ฟุตบาทด้านหน้าออฟฟิศตามที่เพื่อนของเธอบอก แต่ก็ไม่เห็นใครที่พอจะรู้จัก เธอจึงสงสัยว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดแกล้งอะไรอยู่หรือเปล่า ผู้ช่วยสาวจึงหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วทำท่าว่าจะโทรศัพท์กลับไปถาม แต่ทันใดนั้นกลับปรากฏรถกระบะปิดประทุนสีทองคันใหญ่ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าเธอพอดี
“ เจี๊ยบ... ” บุคคลที่อยู่บนรถเปิดกระจกลงมาแล้วร้องเรียก เผยให้เห็นเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่าๆ ผิวสองสี สวมชุดสีเหลืองหม่นดูคุ้นตามองมาที่เธอจากฝั่งคนขับ
“ อ้าว...พี่อัศ ” หญิงสาวตอบรับ พลางงุนงงเล็กน้อย
“ แนนโทรฯ หาพี่ให้มารับเราน่ะ...ขึ้นรถสิ ” เขาบอก
จิตติมาฉีกยิ้ม แล้วกล่าวขอบคุณเขา ก่อนที่จะเปิดประตูรถเพื่อก้าวขึ้นไปนั่ง
ครั้นพอรถกระบะคันใหญ่เคลื่อนตัวออกไป ปรากฏให้เห็นครีเอทีฟหนุ่มมองลอดหน้าต่างออกมาจากห้องทำงาน เขามองไปที่รถคันนั้นจนพ้นสายตา ก่อนที่จะอมยิ้มมุมปากยามที่เขารู้สึกพอใจให้เป็นการส่งท้าย จากนั้นจึงหันกลับมามองที่ภาพถ่ายยังโต๊ะทำงานของตน...
ทางด้านรถของอัศนัยที่วิ่งแล่นไปบนท้องถนน ข้าราชการหนุ่มผู้เป็นคนขับถามไถ่จิตติมาถึงที่ทำงานใหม่ และการปรับตัวในช่วงสัปดาห์แรก หญิงสาวตอบเขาด้วยท่าทีที่ค่อนข้างพอใจในเรื่องของตำแหน่งและหน้าที่การงาน แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนักว่าเป็นสิ่งที่ใช่แล้วหรือยังกับสายอาชีพนี้
“ ...ก็ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ แต่คิดว่าอยากทำไปเรื่อยๆ ก่อนมากกว่า ” เธอย้ำอีกครั้ง แม้ว่าในใจขณะนี้กำลังมีสิ่งอื่นให้นึกถึงอยู่ก็ตาม
อัศนัยมองดูเธอแล้วยิ้มให้ พลางรู้สึกพอใจที่ดูเธอมีความสุขดีกับงานที่ทำ แม้จะไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ
“ เราเลิกงานช่วงเวลานี้ทุกวันเลยเหรอ ? ” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ ก็เวลานี้แหละค่ะ...แต่ถ้ามีประชุมก็คงมืดหน่อย ” เธอบอก
“ ช่วงนี้พี่ยังทำธุระอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้พี่มารับไหม ? ” ชายหนุ่มถาม
“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...เจี๊ยบกลับเองได้ ” เธอกล่าว เพราะเกรงใจพี่ชายของเพื่อนสนิท
“ เอาน่า!! ไม่ต้องเกรงใจหรอก อันที่จริง...ตอนเช้าพี่มารับเราด้วยก็ได้นะ ” เขาเสนอตัว
“ อุ๊ย!! ไม่ต้องหรอกค่ะ ลำบากพี่เปล่าๆ เจี๊ยบนั่งรถเมล์มาเองได้!! ” เธอรีบปฏิเสธ เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการรบกวนเขาจนเกินไป
“ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า...พี่ก็เห็นว่าเราไปทางเดียวกัน ยิ่งตอนเช้าๆ พี่จะได้มีเพื่อนคุยแก้ง่วงด้วย แถมเราก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และที่สำคัญ...จะได้มี เงินเหลือเก็บ ” ชายหนุ่มพยายามพูดให้เธอคลายความกังวล แม้ว่าจะต้องงัดไม้เด็ดที่น้องสาวของตนแนะนำขึ้นมาใช้ก็ตาม เหตุเพราะรู้ดีว่า จิตติมาเป็นคนค่อนข้างตระหนี่อยู่พอสมควร
“ ก...ก็ได้ค่ะ ” หญิงสาวตอบรับกับความมีน้ำใจของเขา ถึงแม้เหตุผลที่เธอตกลงจะค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวอยู่เสียหน่อยก็ตาม
อัศนัยอมยิ้มเล็กน้อยที่คำพูดหว่านล้อมของเขาใช้ได้ผล จริงอยู่ที่ว่าจิตติมาเป็นคนค่อนข้างตระหนี่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะชอบเอาเปรียบผู้อื่นเสียเมื่อไร ซึ่งนั่นก็เป็นข้อแตกต่างที่ทำให้เธอไม่เหมือนกับคนขี้เหนียวทั่วไป เขาจึงค่อนข้างพอใจกับนิสัยของเธอตรงนี้ และก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจถ้าจะใช้ถ้อยคำเชิญชวนที่คุ้มค่ากับการออมเป็นการชวนเชื่อเพื่อให้เธอนั่งรถไปด้วยกัน
ไม่นานรถของชายหนุ่มก็มาจอดส่งบริเวณหน้าอพาร์ทเม้นท์ หญิงสาวลงจากรถและกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพัก อัศนัยมองดูจิตติมาจนลับตา ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรศัพท์หานันทวดี
“ เป็นไงบ้างคะ...เรียบร้อยไหม ?? ” เสียงของน้องสาวถามขึ้น
“ เรียบร้อย...พี่เพิ่งส่งเพื่อนเราขึ้นอพาร์ทเม้นท์ไป ” ชายหนุ่มบอกแก่เธอ
“ ดีมากค่ะ!! แล้วตกลงยายเจี๊ยบอนุญาตให้พี่ไปรับ ไปส่งหรือเปล่า ?? ” หญิงสาวถามอีก
“ อืม...เขาตกลง ” อัศนัยกล่าว
“ เยี่ยมไปเลย!! ทีนี้...พี่ชายของแนนก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาสักที ” นันทวดีร้องออกมาอย่างดีใจ
“ นี่!! เขาแค่ตกลงจะนั่งรถไปกับพี่ ไม่ได้ตกลงคบกับพี่เสียหน่อย ” ชายหนุ่มท้วง
“ แหม!! เท่านี้ก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้วค่ะ ที่เหลือพี่อัศก็ต้องแสดงฝีมือจีบยายเจี๊ยบให้ติดนะคะ เดี๋ยวแนนจะคอยช่วยเป็นกำลังเสริมอีกทาง ” เธอสนับสนุน
“ เฮ้อ!! พี่ไม่น่าบอกเราเลย...รู้อย่างนี้เงียบไว้ แล้วปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเสียดีกว่า ” เขาบอก
“ ถ้าขืนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วชาติไหนพี่จะได้มีแฟนกับเขาล่ะคะ ?? เอาน่าพี่อัศ!! มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องรีบทำคะแนนนะคะ เดี๋ยวน้องช่วย!!! ” เธอกระตือรือร้น