พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตพระภิกษุแจกของเป็นทาน VS คุณสุจินต์ บอกว่าพระภิกษุ แจกของเป็นทาน-> ผิดพระวินัย : ควรเชื่อใคร ?
สิกขาบท
[๒๖๙] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี
ครั้งนั้น พระสงฆ์มีของเคี้ยวเหลือเฟือ ทีนั้น ท่านพระอานนท์ได้นำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่ง ว่า “อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงแจกขนมเป็นทานแก่พวกคนกินเดน”
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค แล้วจัดพวกคนกินเดนให้นั่งตามลำดับ
แจกขนมให้คนละชิ้น แจกขนมให้ปริพาชิกาคนหนึ่ง ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว
พวกปริพาชิกาที่อยู่ใกล้ๆ ได้กล่าวกับปริพาชิกานั้นดังนี้ว่า “สมณะรูปนั้นเป็นคู่รักของเธอหรือ”
ปริพาชิกานั้นตอบว่า “สมณะรูปนั้นไม่ใช่คู่รักของดิฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว”
แม้ครั้งที่ ๒ ท่านพระอานนท์ก็แจกขนมให้ปริพาชิกานั้น ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว
พวกปริพาชิกาที่อยู่ใกล้ๆ ได้กล่าวกับปริพาชิกานั้น ดังนี้ว่า “สมณะรูปนั้นเป็นคู่รักของเธอหรือ”
ปริพาชิกานั้นตอบว่า “สมณะรูปนั้นไม่ใช่คู่รักของดิฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว”
แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ก็แจกขนมให้ปริพาชิกานั้น ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว
พวกปริพาชิกาที่อยู่ใกล้ๆ ได้กล่าวกับปริพาชิกานั้นดังนี้ว่า “สมณะรูปนั้นเป็นคู่รักของเธอหรือ”
ปริพาชิกานั้นตอบว่า “สมณะรูปนั้นไม่ใช่คู่รักของดิฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว”
พวกปริพาชิกาเหล่านั้นโต้เถียงกันว่า “เป็นคู่รัก ไม่ใช่คู่รัก”
อาชีวกอีกคนหนึ่งได้เข้าไปที่ที่เลี้ยงอาหาร
ภิกษุรูปหนึ่งคลุกข้าวกับเนยใสจำนวนมาก ได้แจกข้าวก้อนใหญ่แก่อาชีวกนั้น
ครั้นแล้ว อาชีวกนั้นได้ถือก้อนข้าวนั้นไป อาชีวกอีกคนหนึ่งได้กล่าวกับอาชีวกนั้นดังนี้ว่า
“ท่านได้ก้อนข้าวมาจากที่ไหน”
อาชีวกนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าได้มาจากที่เลี้ยงอาหารของคหบดีโล้นสมณโคดม”
พวกอุบาสกได้ยินอาชีวกเหล่านั้นสนทนากัน ลำดับนั้น อุบาสกเหล่านั้นได้
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้ว ได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
แล้วนั่ง ณ ที่สมควร อุบาสกเหล่านั้นผู้นั่ง ณ ที่สมควรแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“พระพุทธเจ้าข้า พวกเดียรถีย์เหล่านี้ต้องการติเตียนพระพุทธ ต้องการติเตียนพระธรรม ต้องการติเตียนพระสงฆ์
ขอประทานวโรกาสเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระคุณเจ้าทั้งหลาย
โปรดอย่าให้สิ่งของแก่พวกเดียรถีย์ด้วยมือตนเองเลย”
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้อุบาสกเหล่านั้นเห็นชัด
ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา
จากนั้น อุบาสกเหล่านั้นซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้เห็นชัดชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ
เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น ร่าเริงธรรมีกถาแล้วได้ลุกจากอาสนะ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้วจากไป
ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรง
แสดงธรรมีกถาแก่ภิกษุทั้งหลายให้สมควรให้เหมาะสมกับเรื่องนั้น แล้วรับสั่งกับ
ภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เราจะบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุ
ทั้งหลายโดยอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
๑. เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์
๒. เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์
ฯลฯ
๑๐. เพื่อเอื้อเฟื้อวินัย”๑-
แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
พระบัญญัติ
[๒๗๐]
ก็ ภิกษุใดให้ของเคี้ยวหรือของฉันแก่อเจลก ปริพาชกหรือ ปริพาชิกาด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เรื่องพระอานนท์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๒๗๑] คำว่า ก็...ใด คือ ผู้ใด ผู้เช่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็...ใด
คำว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ขอ ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์เอาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ที่ชื่อว่า อเจลก ได้แก่ ชีเปลือยคนใดคนหนึ่งอยู่ในลัทธิปริพาชก
ที่ชื่อว่า ปริพาชก ได้แก่ นักบวชคนใดคนหนึ่งอยู่ในลัทธิปริพาชก ยกเว้น ภิกษุและสามเณร
ที่ชื่อว่า ปริพาชิกา ได้แก่ นักบวชหญิงคนใดคนหนึ่งนับเนื่องในลัทธิปริพาชก
ยกเว้นภิกษุณี สิกขมานาและสามเณรี
ที่ชื่อว่า ของเคี้ยว คือ ยกเว้นโภชนะ ๕ อย่าง น้ำและไม้ชำระฟัน นอกนั้นชื่อว่าของเคี้ยว
ที่ชื่อว่า ของฉัน ได้แก่ โภชนะ ๕ อย่างคือ ข้าวสุก ขนมสด ข้าวตู ปลา เนื้อ
คำว่า ให้ คือ ภิกษุให้ด้วยกาย ด้วยของเนื่องด้วยกาย หรือด้วยโยนให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๒๗๒] เดียรถีย์๑- ภิกษุสำคัญว่าเป็นเดียรถีย์ ให้ของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เดียรถีย์ ภิกษุไม่แน่ใจ ให้ของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เดียรถีย์ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่เดียรถีย์ให้ของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ติกทุกกฏ
ภิกษุให้น้ำและไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่เดียรถีย์ ภิกษุสำคัญว่าเป็นเดียรถีย์ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่เดียรถีย์ ภิกษุไม่แน่ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่เดียรถีย์ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่เดียรถีย์ ไม่ต้องอาบัติ
อนาปัตติวาร
ภิกษุต่อไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คือ
[๒๗๓] ๑. ภิกษุใช้ให้ผู้อื่นให้ มิได้ให้เอง
๒. ภิกษุวางให้
๓. ภิกษุให้ของไล้ทาภายนอก
๔. ภิกษุวิกลจริต
๕. ภิกษุต้นบัญญัติ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?B=2&A=10664&w=%F2%F6%F9&option=2
ศึกษาอรรถกถา ที่นี่
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=2&i=527
คลิปเสียงและภาพ คุณสุจินต์ ที่นี่
ธรรม อ.สุจินต์_169 พระช่วยน้ำท่วม คนเข้าใจผิด บวชทำไม นับถือพุทธทำไม
https://www.youtube.com/watch?v=YtQj5CBN8pk&feature=youtu.be
วิเคราะห์
พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุแจกของเหลือเป็นทานได้ โดยมีข้อจำกัด เช่น ไม่ให้แจกด้วยมือของตน
แต่คุณสุจินต์ ซึ่งมักพูดเสมอว่า เป็นผู้ที่เคารพพระพุทธเจ้า เคารพธรรมพระพุทธเจ้า
ได้กล่าวไว้ว่า
คำของพระองค์ เปลี่ยนไม่ได้เลย
แล้วเหตไฉน คุณสุจินต์จึงได้กล่าวเกินเลยเปลี่ยนแปลงพระวินัยสิกขาบท
ที่ถูกที่ควร ควรชี้แจงว่า สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ว่า อย่างนี้ ...
ถ้าพระภิกษุจะแจกของเป็นทานเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม
ก็ควรนำเสนอว่าการที่พระภิกษุช่วยหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมนั้นควรมีขอบเขตแค่ไหน อย่างไร ภิกษุเอื้อเฟื้อต่อชาวบ้านอย่างไรจึงจะไม่ต้องอาบัติ
ถ้ามีวัตถุทาน ของกินของใช้เหลือที่วัด พระภิกษุแจกเป็นทานให้ผู้ที่ประสบภัยได้หรือไม่ ก็ให้แสดงตามหลักพระวินัย
ตามนัยแห่งพระวินัยสิกขาบทที่มีในพระไตรปิฎกก็ควรตอบว่า ภิกษุให้สิ่งของแก่ผู้ที่ประสบภัยได้ไม่ต้องอาบัติ แต่ต้องปฏิบัติตามสิกขาบทดังนี้เป็นต้น
อนึ่ง ภิกษุให้ของเป็นทานโดยวิธีอื่น ๆ ที่เกินกว่าสิกขาบทนี้ จะสมควรหรือไม่สมควร ก็ควรนำมาวิเคราะห์แจกแจงตามหลักธรรมวินัย
ไม่ควรกล่าวตีขลุมว่าทำไม่ได้เลย ถ้าทำแล้วผิดวินัย กล่าวอย่างนี้เรียกว่ากล่าวไม่ตรงกับพระวินัย
การที่คุณสุจินต์กล่าวออกไปว่า
สุจินต์วาทะ [เวลาในคลิป 0:01-0:22]
"ภิกษุไปช่วยคนน้ำท่วม แจกของ สารพัด สรรเสริญกัน ว่าท่านทำความดี
แต่ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริง ตามพระวินัย ไม่สรรเสริญ
เพราะฉะนั้นใครจะบอกว่าทำไมไม่สรรเสริญ เก๊าะ ผิดพระวินัย ไม่ใช่ชีวิตของบรรพชิต”
^^^^^
^^^^^
การกล่าวอย่างนี้
ควรเรียกว่าเป็นการกล่าวเกินเลยพระวินัยสิกขาบท เสมือนเป็นการพูดเปลี่ยนแปลงสิกขาบท
ทำความเข้าใจว่า คำพูดเปลี่ยนแปลงที่เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะ กับ สิกขาบทในพระไตรปิฎก แยกส่วนกัน คือ
ต่อให้คุณสุจินต์พูดเปลี่ยนแปลงอย่างไร สิกขาบทในพระไตรปิฎกก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
การพูดของคุณสุจินต์ ที่แตกต่างไปจากสิกขาบทนี้ เป็นการใช้คำพูดเปลี่ยนแปลงพระวินัย
เป็นการกระทำที่ไม่ตรงกับที่ตนได้เคยพูดไว้ว่า "คำของพระองค์ เปลี่ยนไม่ได้เลย"
แต่แล้ว คุณสุจินต์ก็กลืนน้ำลายตนเอง เปลี่ยนคำของพระองค์เสียเอง
การพูดของคุณสุจินต์ทำให้บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ค้นคว้าศึกษาหลงเชื่อ พากันตำหนิพระภิกษุที่ให้ของเหลือเป็นทาน
จริงหรือที่คุณสุจินต์ รู้จักพระวินัย รู้จักพระไตรปิฎก และเคารพพระพุทธเจ้าจริง เคารพพระธรรมจริง เคารพพระวินัยจริง
ในขณะที่ปากพูดว่าเคารพ แต่อีกเวลาหนึ่งก็กล่าวล่วงเกินพระวินัยสิกขาบท อย่างนี้ควรเรียกว่าบุคคลประเภทไหน ?
กรณีพระภิกษุแจกของเป็นทานนี้ควรเชื่อถือพระวินัยสิกขาบท หรือ เชื่อคุณสุจินต์ ?
สนทนาอิงอรรถอิงธรรมอิงวินัย อิงพระไตรปิฎก เชิญครับ
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตพระภิกษุแจกของเป็นทาน VS คุณสุจินต์ บอกว่าพระภิกษุแจกของเป็นทาน-> ผิดพระวินัย : ควรเชื่อใคร ?
สิกขาบท
[๒๖๙] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี
ครั้งนั้น พระสงฆ์มีของเคี้ยวเหลือเฟือ ทีนั้น ท่านพระอานนท์ได้นำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่ง ว่า “อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงแจกขนมเป็นทานแก่พวกคนกินเดน”
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค แล้วจัดพวกคนกินเดนให้นั่งตามลำดับ
แจกขนมให้คนละชิ้น แจกขนมให้ปริพาชิกาคนหนึ่ง ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว
พวกปริพาชิกาที่อยู่ใกล้ๆ ได้กล่าวกับปริพาชิกานั้นดังนี้ว่า “สมณะรูปนั้นเป็นคู่รักของเธอหรือ”
ปริพาชิกานั้นตอบว่า “สมณะรูปนั้นไม่ใช่คู่รักของดิฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว”
แม้ครั้งที่ ๒ ท่านพระอานนท์ก็แจกขนมให้ปริพาชิกานั้น ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว
พวกปริพาชิกาที่อยู่ใกล้ๆ ได้กล่าวกับปริพาชิกานั้น ดังนี้ว่า “สมณะรูปนั้นเป็นคู่รักของเธอหรือ”
ปริพาชิกานั้นตอบว่า “สมณะรูปนั้นไม่ใช่คู่รักของดิฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว”
แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ก็แจกขนมให้ปริพาชิกานั้น ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว
พวกปริพาชิกาที่อยู่ใกล้ๆ ได้กล่าวกับปริพาชิกานั้นดังนี้ว่า “สมณะรูปนั้นเป็นคู่รักของเธอหรือ”
ปริพาชิกานั้นตอบว่า “สมณะรูปนั้นไม่ใช่คู่รักของดิฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว”
พวกปริพาชิกาเหล่านั้นโต้เถียงกันว่า “เป็นคู่รัก ไม่ใช่คู่รัก”
อาชีวกอีกคนหนึ่งได้เข้าไปที่ที่เลี้ยงอาหาร
ภิกษุรูปหนึ่งคลุกข้าวกับเนยใสจำนวนมาก ได้แจกข้าวก้อนใหญ่แก่อาชีวกนั้น
ครั้นแล้ว อาชีวกนั้นได้ถือก้อนข้าวนั้นไป อาชีวกอีกคนหนึ่งได้กล่าวกับอาชีวกนั้นดังนี้ว่า
“ท่านได้ก้อนข้าวมาจากที่ไหน”
อาชีวกนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าได้มาจากที่เลี้ยงอาหารของคหบดีโล้นสมณโคดม”
พวกอุบาสกได้ยินอาชีวกเหล่านั้นสนทนากัน ลำดับนั้น อุบาสกเหล่านั้นได้
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้ว ได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
แล้วนั่ง ณ ที่สมควร อุบาสกเหล่านั้นผู้นั่ง ณ ที่สมควรแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“พระพุทธเจ้าข้า พวกเดียรถีย์เหล่านี้ต้องการติเตียนพระพุทธ ต้องการติเตียนพระธรรม ต้องการติเตียนพระสงฆ์
ขอประทานวโรกาสเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดอย่าให้สิ่งของแก่พวกเดียรถีย์ด้วยมือตนเองเลย”
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้อุบาสกเหล่านั้นเห็นชัด
ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา
จากนั้น อุบาสกเหล่านั้นซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้เห็นชัดชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ
เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น ร่าเริงธรรมีกถาแล้วได้ลุกจากอาสนะ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้วจากไป
ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรง
แสดงธรรมีกถาแก่ภิกษุทั้งหลายให้สมควรให้เหมาะสมกับเรื่องนั้น แล้วรับสั่งกับ
ภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เราจะบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุ
ทั้งหลายโดยอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
๑. เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์
๒. เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์
ฯลฯ
๑๐. เพื่อเอื้อเฟื้อวินัย”๑-
แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
พระบัญญัติ
[๒๗๐] ก็ ภิกษุใดให้ของเคี้ยวหรือของฉันแก่อเจลก ปริพาชกหรือ ปริพาชิกาด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เรื่องพระอานนท์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๒๗๑] คำว่า ก็...ใด คือ ผู้ใด ผู้เช่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็...ใด
คำว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ขอ ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์เอาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ที่ชื่อว่า อเจลก ได้แก่ ชีเปลือยคนใดคนหนึ่งอยู่ในลัทธิปริพาชก
ที่ชื่อว่า ปริพาชก ได้แก่ นักบวชคนใดคนหนึ่งอยู่ในลัทธิปริพาชก ยกเว้น ภิกษุและสามเณร
ที่ชื่อว่า ปริพาชิกา ได้แก่ นักบวชหญิงคนใดคนหนึ่งนับเนื่องในลัทธิปริพาชก
ยกเว้นภิกษุณี สิกขมานาและสามเณรี
ที่ชื่อว่า ของเคี้ยว คือ ยกเว้นโภชนะ ๕ อย่าง น้ำและไม้ชำระฟัน นอกนั้นชื่อว่าของเคี้ยว
ที่ชื่อว่า ของฉัน ได้แก่ โภชนะ ๕ อย่างคือ ข้าวสุก ขนมสด ข้าวตู ปลา เนื้อ
คำว่า ให้ คือ ภิกษุให้ด้วยกาย ด้วยของเนื่องด้วยกาย หรือด้วยโยนให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๒๗๒] เดียรถีย์๑- ภิกษุสำคัญว่าเป็นเดียรถีย์ ให้ของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เดียรถีย์ ภิกษุไม่แน่ใจ ให้ของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เดียรถีย์ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่เดียรถีย์ให้ของเคี้ยวหรือของฉันด้วยมือตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ติกทุกกฏ
ภิกษุให้น้ำและไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่เดียรถีย์ ภิกษุสำคัญว่าเป็นเดียรถีย์ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่เดียรถีย์ ภิกษุไม่แน่ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่เดียรถีย์ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่เดียรถีย์ ไม่ต้องอาบัติ
อนาปัตติวาร
ภิกษุต่อไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คือ
[๒๗๓] ๑. ภิกษุใช้ให้ผู้อื่นให้ มิได้ให้เอง
๒. ภิกษุวางให้
๓. ภิกษุให้ของไล้ทาภายนอก
๔. ภิกษุวิกลจริต
๕. ภิกษุต้นบัญญัติ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?B=2&A=10664&w=%F2%F6%F9&option=2
ศึกษาอรรถกถา ที่นี่
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=2&i=527
คลิปเสียงและภาพ คุณสุจินต์ ที่นี่
ธรรม อ.สุจินต์_169 พระช่วยน้ำท่วม คนเข้าใจผิด บวชทำไม นับถือพุทธทำไม
https://www.youtube.com/watch?v=YtQj5CBN8pk&feature=youtu.be
วิเคราะห์
พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุแจกของเหลือเป็นทานได้ โดยมีข้อจำกัด เช่น ไม่ให้แจกด้วยมือของตน
แต่คุณสุจินต์ ซึ่งมักพูดเสมอว่า เป็นผู้ที่เคารพพระพุทธเจ้า เคารพธรรมพระพุทธเจ้า
ได้กล่าวไว้ว่า คำของพระองค์ เปลี่ยนไม่ได้เลย
แล้วเหตไฉน คุณสุจินต์จึงได้กล่าวเกินเลยเปลี่ยนแปลงพระวินัยสิกขาบท
ที่ถูกที่ควร ควรชี้แจงว่า สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ว่า อย่างนี้ ...
ถ้าพระภิกษุจะแจกของเป็นทานเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม
ก็ควรนำเสนอว่าการที่พระภิกษุช่วยหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมนั้นควรมีขอบเขตแค่ไหน อย่างไร ภิกษุเอื้อเฟื้อต่อชาวบ้านอย่างไรจึงจะไม่ต้องอาบัติ
ถ้ามีวัตถุทาน ของกินของใช้เหลือที่วัด พระภิกษุแจกเป็นทานให้ผู้ที่ประสบภัยได้หรือไม่ ก็ให้แสดงตามหลักพระวินัย
ตามนัยแห่งพระวินัยสิกขาบทที่มีในพระไตรปิฎกก็ควรตอบว่า ภิกษุให้สิ่งของแก่ผู้ที่ประสบภัยได้ไม่ต้องอาบัติ แต่ต้องปฏิบัติตามสิกขาบทดังนี้เป็นต้น
อนึ่ง ภิกษุให้ของเป็นทานโดยวิธีอื่น ๆ ที่เกินกว่าสิกขาบทนี้ จะสมควรหรือไม่สมควร ก็ควรนำมาวิเคราะห์แจกแจงตามหลักธรรมวินัย
ไม่ควรกล่าวตีขลุมว่าทำไม่ได้เลย ถ้าทำแล้วผิดวินัย กล่าวอย่างนี้เรียกว่ากล่าวไม่ตรงกับพระวินัย
การที่คุณสุจินต์กล่าวออกไปว่า
สุจินต์วาทะ [เวลาในคลิป 0:01-0:22]
"ภิกษุไปช่วยคนน้ำท่วม แจกของ สารพัด สรรเสริญกัน ว่าท่านทำความดี
แต่ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริง ตามพระวินัย ไม่สรรเสริญ
เพราะฉะนั้นใครจะบอกว่าทำไมไม่สรรเสริญ เก๊าะ ผิดพระวินัย ไม่ใช่ชีวิตของบรรพชิต”
^^^^^
^^^^^
การกล่าวอย่างนี้
ควรเรียกว่าเป็นการกล่าวเกินเลยพระวินัยสิกขาบท เสมือนเป็นการพูดเปลี่ยนแปลงสิกขาบท
ทำความเข้าใจว่า คำพูดเปลี่ยนแปลงที่เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะ กับ สิกขาบทในพระไตรปิฎก แยกส่วนกัน คือ
ต่อให้คุณสุจินต์พูดเปลี่ยนแปลงอย่างไร สิกขาบทในพระไตรปิฎกก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
การพูดของคุณสุจินต์ ที่แตกต่างไปจากสิกขาบทนี้ เป็นการใช้คำพูดเปลี่ยนแปลงพระวินัย
เป็นการกระทำที่ไม่ตรงกับที่ตนได้เคยพูดไว้ว่า "คำของพระองค์ เปลี่ยนไม่ได้เลย"
แต่แล้ว คุณสุจินต์ก็กลืนน้ำลายตนเอง เปลี่ยนคำของพระองค์เสียเอง
การพูดของคุณสุจินต์ทำให้บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ค้นคว้าศึกษาหลงเชื่อ พากันตำหนิพระภิกษุที่ให้ของเหลือเป็นทาน
จริงหรือที่คุณสุจินต์ รู้จักพระวินัย รู้จักพระไตรปิฎก และเคารพพระพุทธเจ้าจริง เคารพพระธรรมจริง เคารพพระวินัยจริง
ในขณะที่ปากพูดว่าเคารพ แต่อีกเวลาหนึ่งก็กล่าวล่วงเกินพระวินัยสิกขาบท อย่างนี้ควรเรียกว่าบุคคลประเภทไหน ?
กรณีพระภิกษุแจกของเป็นทานนี้ควรเชื่อถือพระวินัยสิกขาบท หรือ เชื่อคุณสุจินต์ ?
สนทนาอิงอรรถอิงธรรมอิงวินัย อิงพระไตรปิฎก เชิญครับ