Fabbriche di Careggine
ท่ามกลางหุบเขาที่ล้อมรอบในพื้นที่ตอนกลางของประเทศอิตาลี มีหมู่บ้านโบราณจากยุคกลางที่มีฉายาว่า “Ghost Village” หรือ “หมู่บ้านผี” ได้จมน้ำไปตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ 1940 กำลังจะโผล่พ้นน้ำอีกครั้งหลังจากครั้งล่าสุดในปี 1994 และมันจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอิตาลี
หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้มีชื่อเต็มว่า Fabbriche di Careggine เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลุกกา แคว้นตอสกานา โดยถูกค้นพบว่ามันเป็นหมู่บ้านที่ถูกก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 หรือประมาณ 600 ปีมาแล้ว
หมู่บ้านแห่งนี้เดิมทีเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนงานทำเหล็ก จนกระทั่งในปี 1947 ได้มีการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำ Edron จนส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ หมู่บ้านได้จมอยู่ใต้บาดาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และพื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นทะเลสาบเทียม Vagli ในที่สุด หลังจากที่น้ำท่วมหมู่บ้านจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ชาวบ้านทั้งหมดจึงต้องอพยพไปอยู่ในบริเวณเมืองใกล้เคียง
Fabbriche di Careggine เคยโผล่พ้นน้ำมาแล้วถึง 4 ครั้ง ในปี 1958, 1974, 1983 และ 1994 จากการถูกสูบน้ำในทะเลสาบที่มากถึง 34 ล้านลูกบาศก์เมตรออกไป และหลังจากผ่านไปนานถึง 26 ปีจากครั้งล่าสุด หมู่บ้านแห่งนี้กำลังจะกลับมาโผล่พ้นน้ำอีกครั้งในปี 2021
อ้างอิงจากบริษัท Lonely Planet, Enel บริษัทผู้เป็นเจ้าของเขื่อนได้เปิดเผยว่า พวกเขากำลังวางแผนจะทำความสะอาดชั้นตะกอนในทะเลสาบอีกครั้งและมันจะเกิดขึ้นในปี 2021 โดยก่อนหน้านี้พวกเขามีแผนจะทำมันในปี 2016 แต่ในที่สุดมันก็ไม่เกิดขึ้น
ย้อนกลับไปครั้งล่าสุดที่หมู่บ้านผีได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเมื่อปี 1994 สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมาท่องเที่ยวในตอสกานา มันเป็นเหมือนอัญมณีแห่งประวัติศาสตร์ที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน และมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
Cr.
https://petmaya.com/fabbriche-di-careggine
ซาน ปิเอโตร อินฟิเน
"เมืองผี" ในประเทศอิตาลี ถูกปล่อยทิ้งร้างเพราะสาเหตุเกิดจากการหลบหนีศึกสงครามและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เมืองเก่าแก่แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองอไปซ์ จังหวัดเบเนเวนโต้ ประเทศอิตาลี ครั้งหนึ่งเมืองแห่งนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ผู้คนเดินทางย้ายกันออกไปและไม่หวนกลับมาที่แห่งนี้กันอีกเลย
สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในยุครุ่งโรจน์ของจักรวรรดิโรม ซึ่งย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 8 เหรียญโบราณ, รูปปั้นรัฐบุรุษ และเครื่องปั้นดินเผา มีวางไว้กระจายอยู่ทั่วทุกที่ในชุมชน ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเคยเป็นเขตการค้าที่คึกคักจนกระทั่งถึงในช่วงศตวรรษที่ 20
เมืองแห่งนี้ได้รับการตั้งชื่อจากขุนนางชาวโรมันและนักชิมอาหารชื่อดัง มาร์คัส กาวิอุส เอพิซิอุส ผู้ซึ่งได้ทำการเขียนตำราอาหารโรมันเป็นคนแรก
เขาได้รับมอบหมายจากวุฒิสภา ในการแจกจ่ายที่ดินให้กับทางกองทหาร เพื่อตอบแทนที่พวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่และมีความจงรักภักดีในการต่อสู้กับศัตรูจากกรุงโรม
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ที่เปิดโล่งที่ถูกหยุดเวลาไว้ให้เหมือนกับในสมัยโรมัน จะเห็นซากปรักหักพังของบ้านพัก โรงเหล้า และสะพาน รูปปั้นของผู้พิพากษาและสุสาน นอกจากนั้นยังมีป้อมปราการที่มีคุกใต้ดิน และมีอุโมงค์ซึ่งเป็นทางออกที่ปลอดภัยจากหมู่บ้านแห่งนี้
มีผู้คนนับพันเคยอาศัยอยู่ที่เมืองอไปซ์ ซึ่งตั้งห่างออกไป 70 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเนเปิลส์ มานานหลายศตวรรษ จนกระทั่งได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว 2 ครั้ง ซึ่งได้ทำลายล้างเมืองอไปซ์ในปี 1962 และทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 17 คนในเวลานั้น
เมือง ซาน ปิเอโตร อินฟิเน ตั้งอยู่ห่างออกไป 150 กิโลเมตร ทางตอนใต้ของกรุงโรม ถูกค้นพบโดยชาวซานนิตี้ ก่อนที่พวกเขาจะถูกทำร้ายทารุณอย่างโหดเหี้ยมจากชาวโรมัน ซึ่งในตอนนี้ก็จะเห็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้คือซากหินก่อนยุคประวัติศาสตร์
เมื่อถูกขับไล่อย่างป่าเถื่อนจากชาวเยอรมัน หลังจากยุคการล่มสลายของกรุงโรม ทำให้ดินแดนแห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเซนต์เบเนดิกท์ แต่เมืองซาน ปิเอโตร อินฟิเน ก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวของกองกำลังโจรที่ซ่อนตัวจากสถาบันกษัตริย์ โดยพวกเขาได้พยายามต่อสู้เพื่อให้เกิดการรวมตัวกันของประเทศอิตาลี
หมู่บ้านแห่งนี้เกิดเรื่องราวความขัดแย้งขึ้นอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการสู้รบในเมืองซาน ปิเอโตร อินฟิเน ได้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1943 ระหว่างกองกำลังพันธมิตรและชาวเยอรมัน
ท่ามกลางการสู้รบอย่างหนักตลอดระยะเวลากว่า 15 วัน ทำให้เมืองนั้นพังทลาย และผู้คนในเมืองต่างพากันไปหลบหนีอยู่ในถ้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งในตอนนั้น
หลังจากเหตุความขัดแย้งในครั้งนั้น พื้นที่แห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดย้อนกลับมาพักอาศัยกันอีกเลย และเหลือทิ้งไว้เพียงเมืองร้างนับตั้งแต่ตอนนั้นมา
( อ่านเพิ่ม
http://www.popcornfor2.com/content/-news-92442 )
รอสซิกโน
เมืองผี อีกแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลีคือเมืองรอสซิกโน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเนเปิลส์ ซึ่งถูกขนานนามว่าปอมเปอีแห่งศตวรรษที่ 20 หลังจากที่ประชาชนต้องหลบหนีออกจากเมือง เนื่องจากเหตุภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม
สถานที่แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยชาวรอสซิกโน เพื่อมีไว้สำหรับรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่สำหรับชาวเมืองหลายๆ คนในปี 1902 นั้น ได้มีผู้คนจำนวนมากต่างพากันย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองแห่งนี้กัน
หลังจากนั้นในปี 1950 รัฐบาลได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านย้ายออกมาจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปทั้งหมด แต่ด้วยความรวดเร็วในการย้ายออกของผู้พักอาศัย เลยทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองปอมเปอีในปี 1900
สำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชมยังเมืองรอสซิกโน ก็จะได้พบกับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีผู้คนในที่แห่งนี้ได้ใช้งานสิ่งของเหล่านั้นกัน
ล่าสุด เมืองรอสซิกโนก็กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวกันไปแล้ว
แปลจาก
http://www.dailymail.co.uk
โดย
http://www.popcornfor2.com
Cr.
http://www.popcornfor2.com/content/-news-92442
หมู่บ้านซอมบี้
ประเทศอินโดนีเซีย มีหมู่บ้าน Toraja ในเมือง ซูลาเวซี ได้เป็นที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นหมู่บ้านผีเดินได้ หรือ "หมู่บ้านซอมบี้" เพราะว่าในเดือนสิงหาคมของทุกๆ ปี จะมีการจัดพิธีกรรมที่ชวนขนลุกที่มีชื่อว่า MaiNene หรือ The Ceremony of Cleaning Corpses
โดยชาวบ้านจะทำการขุดศพญาติพี่น้องของตัวเองที่ถูกฝังอยู่ขึ้นมาทำความสะอาด และจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมาแต่งตัวให้ใหม่ ทั้งหวีผม และทำการซ่อมโลงศพ จากนั้นก็จะพาศพเดินไปยังที่ที่ศพเสียชีวิต และพากลับมายังหมู่บ้านด้วย ซึ่งหลังจากเสร็จพิธีกรรมแล้วก็จะเก็บศพใส่โรงเช่นเดิม ซึ่งพิธีกรรมนี้ชาวบ้านแห่งนี้เชื่อกันว่า คนตายยังมีชีวิตอยู่ในจิตใจแล้วความคิดของเรา
ในอดีตชาวบ้านที่นี่มักกลัวการที่จะต้องเดินทางไปไหนไกลๆของญาติพี่น้องตัวเอง เพราะเกรงว่าถ้าหากเสียชีวิตระหว่างเดินทางจะไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้เลย และยังมีเรื่องเล่ากันอีกว่า หมู่บ้านหนึ่งใน ซูลาเวซี ศพที่ถูกขุดขึ้นมาสามารถกลับมาเดินได้ด้วยตัวเอง
ข้อมูลจาก dailymail
เรียบเรียงโดย ว.วัฒนะกิจจง ทีมงาน
http://www.goosiam.com
Cr.
https://www.nytimes.com/2015/07/30/travel/frugal-traveler-indonesia-death-rituals.html
Cr.
https://news.goosiam.com/html/0000015.html
PLUCKLEY
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในเคนต์ (Kent) มณฑลที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหราชอาณาจักร ซึ่งที่นี่มีการกล่าวขานในเรื่องของหมู่บ้านที่มีผีสิงมากที่สุดถึง 15 ตัว คือหมู่บ้าน Pluckley ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นหมู่บ้านผีสิงที่มีผีสิงมากที่สุดในสหราชอาณาจักร ในทุกๆช่วงพลบค่ำ เหล่าผีทั้ง 15 ตัว จะส่งเสียงกรีดร้องชวนสยองขวัญ จนชาวบ้านแทบไม่กล้าออกไปไหนในยามค่ำคืน
หมู่บ้าน Pluckley เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยอยู่ เพียง 1,000 คน นับเป็นหมู่บ้านชนบทที่มีความงดงามแห่งหนึ่ง ยกเว้นเสียแต่ชื่อเสียงเรื่องผีร้ายที่คอยหลอกหลอนผู้คนรางกับว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือหมู่บ้านที่โดนคำสาป
ทั้งเหตุการณ์วิญญาณผู้ชายที่เฝ้ากรีดร้องวนเวียนอยู่ในหมู่บ้าน เพราะเสียชีวิตพลัดตกจากงานก่อสร้าง วิญญาณผู้ชายที่ถูกฆ่าตายด้วยการปักดาบตรึงร่างไว้กับต้นไม้ เท่านั้นยังไม่พอยังมีคนเห็นผีครูใหญ่ที่เคยผูกคอตาย เดินวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านอยู่หลายครั้งหลายครา ซึ่งเรื่องราวของหมูบ้านแห่งนี้หลอนถึงขนาดได้การยอมรับอย่างเป็นทางการจากกินเนสส์บุ๊ก เมื่อปี ค.ศ. 1989
เรื่องโดย dusita
Cr.
https://www.thailandstack.com/post-2415-pluckley-หมู่บ้านที่มีผีสิงอยู่-ถึง-15-ตัว-จนถูกยกให้เป็นหมู่บ้านที่มีผีสิงมากที่สุดในสหราชอาณาจักร/
Cr.
https://www.facebook.com/SFcinema/photos/paranormal-pluckley-ประเทศอังกฤษ-ฉายา-หมู่บ้านเฮี้ยนพลัคลีย์หมู่บ้านที่ได้ร่ำลือ/10158159569670833/
Oppède-le-Vieux
หมู่บ้านผีในโปรวองซ์ ฝรั่งเศส สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ( Hidden in Provence ) ตั้งอยู่สูงบนยอดเขาในเมือง Lubéron เป็นเมืองโบราณเต็มไปด้วยถนนแคบ ๆ ที่ปูด้วยหินและซากปรักหักพังของบ้านที่ว่างเปล่าและปราสาทเก่าแก่ เคยเป็นที่หลบภัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
Oppède-le-Vieux เป็นหมู่บ้านที่มีความพิเศษถูกสร้างขึ้นมาสองที่คือ Oppède le Vieux อยู่ในหุบเขา ในขณะที่คู่แฝด Oppède les Poulivets อยู่บนยอดเขาสูง 140 เมตร
Oppède le Vieux สร้างขึ้นบนโขดหินจากป่า Petit Luberon ในศตวรรษที่ 12 ซึ่งมีทัศนียภาพอันกว้างไกลรวมถึงซากปรักหักพังของปราสาทยุคกลาง ที่พักอาศัยเก่าแก่จากศตวรรษที่ 15 และ 16
ที่มา
http://www.messynessychic.com/2017/08/16/exploring-a-ghost-village-in-provence/
Cr.
https://www.clipmass.com/story/125658
Cr.
https://www.luberon-news.com/oppede-le-vieux.php?id=3626
Burj Al Babas
นี่คือ “ดิสนีย์ที่วังเวง” เมืองผีตุรกีสุดหรู โดยในปี 2014 กลุ่มบริษัทพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “ซารอต กรุ๊ป” (Sarot Group) ได้เปิดตัวโครงการที่มีความทะเยอทะยานในการสร้าง เบิร์จ อัล-บาบาส” (Burj Al Babas) ซึ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรรหรูประกอบด้วยวิลล่า 732 หลังและศูนย์การค้า อย่างไรก็ตามโครงการยังคงซบเซาหลังจากที่บริษัทผู้พัฒนาล้มละลาย
โครงการสร้างบ้านพักตากอากาศและศูนย์การค้าหรูกว่า 730 ยูนิตนี้ (ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2014) ประสบปัญหาหลังจากซารอต กรุ๊ป ประกาศล้มละลาย
บริษัทได้ตัดสินใจขอล้มละลายหลังจากลูกค้าจากประเทศอ่าวอาหรับของพวกเขา ไม่สามารถจ่ายค่าวิลล่าที่พวกเขาซื้อ โครงการนี้มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.6 พันล้านบาท โดยบ้านพักมีมูลค่าระหว่าง 400,000 ถึง 500,000 ดอลลาร์ต่อยูนิต หรือราว 13-16.5 ล้านบาท
Source : Sputnik
Cr.
https://www.publicpostonline.net/22276 / โดย กองบรรณาธิการ
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
หมู่บ้านผีที่โด่งดัง
ท่ามกลางหุบเขาที่ล้อมรอบในพื้นที่ตอนกลางของประเทศอิตาลี มีหมู่บ้านโบราณจากยุคกลางที่มีฉายาว่า “Ghost Village” หรือ “หมู่บ้านผี” ได้จมน้ำไปตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ 1940 กำลังจะโผล่พ้นน้ำอีกครั้งหลังจากครั้งล่าสุดในปี 1994 และมันจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอิตาลี
หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้มีชื่อเต็มว่า Fabbriche di Careggine เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลุกกา แคว้นตอสกานา โดยถูกค้นพบว่ามันเป็นหมู่บ้านที่ถูกก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 หรือประมาณ 600 ปีมาแล้ว
หมู่บ้านแห่งนี้เดิมทีเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนงานทำเหล็ก จนกระทั่งในปี 1947 ได้มีการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำ Edron จนส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ หมู่บ้านได้จมอยู่ใต้บาดาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และพื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นทะเลสาบเทียม Vagli ในที่สุด หลังจากที่น้ำท่วมหมู่บ้านจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ชาวบ้านทั้งหมดจึงต้องอพยพไปอยู่ในบริเวณเมืองใกล้เคียง
Fabbriche di Careggine เคยโผล่พ้นน้ำมาแล้วถึง 4 ครั้ง ในปี 1958, 1974, 1983 และ 1994 จากการถูกสูบน้ำในทะเลสาบที่มากถึง 34 ล้านลูกบาศก์เมตรออกไป และหลังจากผ่านไปนานถึง 26 ปีจากครั้งล่าสุด หมู่บ้านแห่งนี้กำลังจะกลับมาโผล่พ้นน้ำอีกครั้งในปี 2021
อ้างอิงจากบริษัท Lonely Planet, Enel บริษัทผู้เป็นเจ้าของเขื่อนได้เปิดเผยว่า พวกเขากำลังวางแผนจะทำความสะอาดชั้นตะกอนในทะเลสาบอีกครั้งและมันจะเกิดขึ้นในปี 2021 โดยก่อนหน้านี้พวกเขามีแผนจะทำมันในปี 2016 แต่ในที่สุดมันก็ไม่เกิดขึ้น
ย้อนกลับไปครั้งล่าสุดที่หมู่บ้านผีได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเมื่อปี 1994 สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมาท่องเที่ยวในตอสกานา มันเป็นเหมือนอัญมณีแห่งประวัติศาสตร์ที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน และมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
Cr.https://petmaya.com/fabbriche-di-careggine
ซาน ปิเอโตร อินฟิเน
"เมืองผี" ในประเทศอิตาลี ถูกปล่อยทิ้งร้างเพราะสาเหตุเกิดจากการหลบหนีศึกสงครามและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เมืองเก่าแก่แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองอไปซ์ จังหวัดเบเนเวนโต้ ประเทศอิตาลี ครั้งหนึ่งเมืองแห่งนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ผู้คนเดินทางย้ายกันออกไปและไม่หวนกลับมาที่แห่งนี้กันอีกเลย
สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในยุครุ่งโรจน์ของจักรวรรดิโรม ซึ่งย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 8 เหรียญโบราณ, รูปปั้นรัฐบุรุษ และเครื่องปั้นดินเผา มีวางไว้กระจายอยู่ทั่วทุกที่ในชุมชน ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเคยเป็นเขตการค้าที่คึกคักจนกระทั่งถึงในช่วงศตวรรษที่ 20
เมืองแห่งนี้ได้รับการตั้งชื่อจากขุนนางชาวโรมันและนักชิมอาหารชื่อดัง มาร์คัส กาวิอุส เอพิซิอุส ผู้ซึ่งได้ทำการเขียนตำราอาหารโรมันเป็นคนแรก
เขาได้รับมอบหมายจากวุฒิสภา ในการแจกจ่ายที่ดินให้กับทางกองทหาร เพื่อตอบแทนที่พวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่และมีความจงรักภักดีในการต่อสู้กับศัตรูจากกรุงโรม
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ที่เปิดโล่งที่ถูกหยุดเวลาไว้ให้เหมือนกับในสมัยโรมัน จะเห็นซากปรักหักพังของบ้านพัก โรงเหล้า และสะพาน รูปปั้นของผู้พิพากษาและสุสาน นอกจากนั้นยังมีป้อมปราการที่มีคุกใต้ดิน และมีอุโมงค์ซึ่งเป็นทางออกที่ปลอดภัยจากหมู่บ้านแห่งนี้
มีผู้คนนับพันเคยอาศัยอยู่ที่เมืองอไปซ์ ซึ่งตั้งห่างออกไป 70 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเนเปิลส์ มานานหลายศตวรรษ จนกระทั่งได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว 2 ครั้ง ซึ่งได้ทำลายล้างเมืองอไปซ์ในปี 1962 และทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 17 คนในเวลานั้น
เมือง ซาน ปิเอโตร อินฟิเน ตั้งอยู่ห่างออกไป 150 กิโลเมตร ทางตอนใต้ของกรุงโรม ถูกค้นพบโดยชาวซานนิตี้ ก่อนที่พวกเขาจะถูกทำร้ายทารุณอย่างโหดเหี้ยมจากชาวโรมัน ซึ่งในตอนนี้ก็จะเห็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้คือซากหินก่อนยุคประวัติศาสตร์
เมื่อถูกขับไล่อย่างป่าเถื่อนจากชาวเยอรมัน หลังจากยุคการล่มสลายของกรุงโรม ทำให้ดินแดนแห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเซนต์เบเนดิกท์ แต่เมืองซาน ปิเอโตร อินฟิเน ก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวของกองกำลังโจรที่ซ่อนตัวจากสถาบันกษัตริย์ โดยพวกเขาได้พยายามต่อสู้เพื่อให้เกิดการรวมตัวกันของประเทศอิตาลี
หมู่บ้านแห่งนี้เกิดเรื่องราวความขัดแย้งขึ้นอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการสู้รบในเมืองซาน ปิเอโตร อินฟิเน ได้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1943 ระหว่างกองกำลังพันธมิตรและชาวเยอรมัน
ท่ามกลางการสู้รบอย่างหนักตลอดระยะเวลากว่า 15 วัน ทำให้เมืองนั้นพังทลาย และผู้คนในเมืองต่างพากันไปหลบหนีอยู่ในถ้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งในตอนนั้น
หลังจากเหตุความขัดแย้งในครั้งนั้น พื้นที่แห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดย้อนกลับมาพักอาศัยกันอีกเลย และเหลือทิ้งไว้เพียงเมืองร้างนับตั้งแต่ตอนนั้นมา
( อ่านเพิ่ม http://www.popcornfor2.com/content/-news-92442 )
รอสซิกโน
เมืองผี อีกแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลีคือเมืองรอสซิกโน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเนเปิลส์ ซึ่งถูกขนานนามว่าปอมเปอีแห่งศตวรรษที่ 20 หลังจากที่ประชาชนต้องหลบหนีออกจากเมือง เนื่องจากเหตุภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม
สถานที่แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยชาวรอสซิกโน เพื่อมีไว้สำหรับรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่สำหรับชาวเมืองหลายๆ คนในปี 1902 นั้น ได้มีผู้คนจำนวนมากต่างพากันย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองแห่งนี้กัน
หลังจากนั้นในปี 1950 รัฐบาลได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านย้ายออกมาจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปทั้งหมด แต่ด้วยความรวดเร็วในการย้ายออกของผู้พักอาศัย เลยทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองปอมเปอีในปี 1900
สำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชมยังเมืองรอสซิกโน ก็จะได้พบกับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีผู้คนในที่แห่งนี้ได้ใช้งานสิ่งของเหล่านั้นกัน
ล่าสุด เมืองรอสซิกโนก็กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวกันไปแล้ว
แปลจาก http://www.dailymail.co.uk
โดย http://www.popcornfor2.com
Cr. http://www.popcornfor2.com/content/-news-92442
หมู่บ้านซอมบี้
ประเทศอินโดนีเซีย มีหมู่บ้าน Toraja ในเมือง ซูลาเวซี ได้เป็นที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นหมู่บ้านผีเดินได้ หรือ "หมู่บ้านซอมบี้" เพราะว่าในเดือนสิงหาคมของทุกๆ ปี จะมีการจัดพิธีกรรมที่ชวนขนลุกที่มีชื่อว่า MaiNene หรือ The Ceremony of Cleaning Corpses
โดยชาวบ้านจะทำการขุดศพญาติพี่น้องของตัวเองที่ถูกฝังอยู่ขึ้นมาทำความสะอาด และจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมาแต่งตัวให้ใหม่ ทั้งหวีผม และทำการซ่อมโลงศพ จากนั้นก็จะพาศพเดินไปยังที่ที่ศพเสียชีวิต และพากลับมายังหมู่บ้านด้วย ซึ่งหลังจากเสร็จพิธีกรรมแล้วก็จะเก็บศพใส่โรงเช่นเดิม ซึ่งพิธีกรรมนี้ชาวบ้านแห่งนี้เชื่อกันว่า คนตายยังมีชีวิตอยู่ในจิตใจแล้วความคิดของเรา
ในอดีตชาวบ้านที่นี่มักกลัวการที่จะต้องเดินทางไปไหนไกลๆของญาติพี่น้องตัวเอง เพราะเกรงว่าถ้าหากเสียชีวิตระหว่างเดินทางจะไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้เลย และยังมีเรื่องเล่ากันอีกว่า หมู่บ้านหนึ่งใน ซูลาเวซี ศพที่ถูกขุดขึ้นมาสามารถกลับมาเดินได้ด้วยตัวเอง
ข้อมูลจาก dailymail
เรียบเรียงโดย ว.วัฒนะกิจจง ทีมงาน http://www.goosiam.com
Cr.https://www.nytimes.com/2015/07/30/travel/frugal-traveler-indonesia-death-rituals.html
Cr. https://news.goosiam.com/html/0000015.html
PLUCKLEY
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในเคนต์ (Kent) มณฑลที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหราชอาณาจักร ซึ่งที่นี่มีการกล่าวขานในเรื่องของหมู่บ้านที่มีผีสิงมากที่สุดถึง 15 ตัว คือหมู่บ้าน Pluckley ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นหมู่บ้านผีสิงที่มีผีสิงมากที่สุดในสหราชอาณาจักร ในทุกๆช่วงพลบค่ำ เหล่าผีทั้ง 15 ตัว จะส่งเสียงกรีดร้องชวนสยองขวัญ จนชาวบ้านแทบไม่กล้าออกไปไหนในยามค่ำคืน
หมู่บ้าน Pluckley เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยอยู่ เพียง 1,000 คน นับเป็นหมู่บ้านชนบทที่มีความงดงามแห่งหนึ่ง ยกเว้นเสียแต่ชื่อเสียงเรื่องผีร้ายที่คอยหลอกหลอนผู้คนรางกับว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือหมู่บ้านที่โดนคำสาป
ทั้งเหตุการณ์วิญญาณผู้ชายที่เฝ้ากรีดร้องวนเวียนอยู่ในหมู่บ้าน เพราะเสียชีวิตพลัดตกจากงานก่อสร้าง วิญญาณผู้ชายที่ถูกฆ่าตายด้วยการปักดาบตรึงร่างไว้กับต้นไม้ เท่านั้นยังไม่พอยังมีคนเห็นผีครูใหญ่ที่เคยผูกคอตาย เดินวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านอยู่หลายครั้งหลายครา ซึ่งเรื่องราวของหมูบ้านแห่งนี้หลอนถึงขนาดได้การยอมรับอย่างเป็นทางการจากกินเนสส์บุ๊ก เมื่อปี ค.ศ. 1989
เรื่องโดย dusita
Cr.https://www.thailandstack.com/post-2415-pluckley-หมู่บ้านที่มีผีสิงอยู่-ถึง-15-ตัว-จนถูกยกให้เป็นหมู่บ้านที่มีผีสิงมากที่สุดในสหราชอาณาจักร/
Cr.https://www.facebook.com/SFcinema/photos/paranormal-pluckley-ประเทศอังกฤษ-ฉายา-หมู่บ้านเฮี้ยนพลัคลีย์หมู่บ้านที่ได้ร่ำลือ/10158159569670833/
Oppède-le-Vieux
หมู่บ้านผีในโปรวองซ์ ฝรั่งเศส สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ( Hidden in Provence ) ตั้งอยู่สูงบนยอดเขาในเมือง Lubéron เป็นเมืองโบราณเต็มไปด้วยถนนแคบ ๆ ที่ปูด้วยหินและซากปรักหักพังของบ้านที่ว่างเปล่าและปราสาทเก่าแก่ เคยเป็นที่หลบภัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
Oppède-le-Vieux เป็นหมู่บ้านที่มีความพิเศษถูกสร้างขึ้นมาสองที่คือ Oppède le Vieux อยู่ในหุบเขา ในขณะที่คู่แฝด Oppède les Poulivets อยู่บนยอดเขาสูง 140 เมตร
Oppède le Vieux สร้างขึ้นบนโขดหินจากป่า Petit Luberon ในศตวรรษที่ 12 ซึ่งมีทัศนียภาพอันกว้างไกลรวมถึงซากปรักหักพังของปราสาทยุคกลาง ที่พักอาศัยเก่าแก่จากศตวรรษที่ 15 และ 16
ที่มา http://www.messynessychic.com/2017/08/16/exploring-a-ghost-village-in-provence/
Cr.https://www.clipmass.com/story/125658
Cr. https://www.luberon-news.com/oppede-le-vieux.php?id=3626
Burj Al Babas
นี่คือ “ดิสนีย์ที่วังเวง” เมืองผีตุรกีสุดหรู โดยในปี 2014 กลุ่มบริษัทพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “ซารอต กรุ๊ป” (Sarot Group) ได้เปิดตัวโครงการที่มีความทะเยอทะยานในการสร้าง เบิร์จ อัล-บาบาส” (Burj Al Babas) ซึ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรรหรูประกอบด้วยวิลล่า 732 หลังและศูนย์การค้า อย่างไรก็ตามโครงการยังคงซบเซาหลังจากที่บริษัทผู้พัฒนาล้มละลาย
โครงการสร้างบ้านพักตากอากาศและศูนย์การค้าหรูกว่า 730 ยูนิตนี้ (ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2014) ประสบปัญหาหลังจากซารอต กรุ๊ป ประกาศล้มละลาย
บริษัทได้ตัดสินใจขอล้มละลายหลังจากลูกค้าจากประเทศอ่าวอาหรับของพวกเขา ไม่สามารถจ่ายค่าวิลล่าที่พวกเขาซื้อ โครงการนี้มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.6 พันล้านบาท โดยบ้านพักมีมูลค่าระหว่าง 400,000 ถึง 500,000 ดอลลาร์ต่อยูนิต หรือราว 13-16.5 ล้านบาท
Source : Sputnik
Cr.https://www.publicpostonline.net/22276 / โดย กองบรรณาธิการ
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)