พระพุทธเจ้า : ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่
ลงในห้วงน้ำลึก
หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือ
เดินเวียนรอบหินนั้นว่า ขอจงโผล่ขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่าน
ก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก้อน
หินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือพึงขึ้นบก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ฯ
นายคามณี: ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พระพุทธเจ้า: ดูกรนายคามณี
ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วย
อภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด
หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวด
วิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป
จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็จริง แต่บุรุษนั้นเมื่อตาย พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก ฯ
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการบนบานศาลกล่าวไว้แบบนี้....
ลงในห้วงน้ำลึก
เดินเวียนรอบหินนั้นว่า ขอจงโผล่ขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่าน
ก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน
หินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือพึงขึ้นบก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ฯ
พระพุทธเจ้า: ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วย
อภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด
วิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป
จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็จริง แต่บุรุษนั้นเมื่อตาย พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก ฯ