คัดลอกจาก สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังคปกรณ์ แปล เล่ม1)
สำหรับผู้ที่ได้ศึกษากรรมฐานด้วยวิธีการอย่างนี้แล้ว พึงเว้นโทษแห่งเสนาสนะ 18 อย่างที่กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ แล้วอยู่ในเสนาสนะที่ประกอบด้วยองค์5 แม้ตนเองก็ต้องประกอบด้วยองค์แห่งความเพียร 5 กลับจากบิณฑบาตแล้ว ในเวลาปัจฉาภัต ต้องอยู่ในโอกาสที่สงัด พึงมนสิการกรรมฐาน. และเมื่อมนสิการ พึงมนสิการอาการ 32 มี ผมเป็นต้นทีละส่วนๆ ด้วยสามารถแห่งสี สัณฐาน ทิศ โอกาส และปริจเฉท แล้วในที่สุดพึงยังมนสิการให้เป็นไปอย่างนี้:-
มนสิการในเรื่องผม
ชื่อว่า ผม เหล่านี้ เกิดอยู่บนหนังหุ้มกระโหลกศีรษะ. ในเรื่องผมนั้น พึงมนสิการดังนี้-แม้หญ้าแฝกหอมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่บนจอมปลวก ฉันใด หนังหุ้มกระโหลกศีรษะก็ไม่รู้ว่า ผมเกิดอยู่บนตัวเอง ทั้งผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเกิดอยู่บนหนังหุ้มศีรษะ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ชื่อว่า ผมจึงเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ แข็งกระด้าง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องขน
ขน ก็เกิดอยู่บนหนังหุ้มสรีระ. ในเรื่องขนนั้น พึงมนสิการดังนี้- เมื่อหญ้าแพรกเกิดอยู่ในที่ว่างจากบ้าน ที่ว่างจากบ้านย่อมไม่รู้ว่าหญ้าแพรกเกิดอยู่บนตัวเอง แม้หญ้าแพรกเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่ที่ว่างจากบ้าน ฉันใด หนังหุ้มสรีระก็ไม่รู้ว่ามีขนเกิดอยู่บนตัวเอง ทั้งขนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่บนหนังหุ้มสรีระ ฉันนั้นเหมือนกัน. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ชื่อว่า ขน จึงเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่เจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่า เป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเล็บ
เล็บ เกิดอยู่ที่ปลายนิ้ว. ในเรื่องเล็บนั้น พึงมนสิการดังนี้- เมื่อพวกเด็กๆเอาไม้เสียบเม็ดมะซางเล่นอยู่ ไม้ย่อมไม่รู้ว่าเม็ดมะซางตั้งอยู่ที่ตัวเอง แม้เม็ดมะซางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่ที่ไม้ ฉันใด นิ้วก็ไม่รู้ว่ามีเล็บเกิดอยู่ที่ปลายของตัวเอง ทั้งเล็บเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่ที่ปลายนิ้ว ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เล็บซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนาเป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องฟัน
ฟัน เกิดอยู่ที่กระดูกคาง. ในเรื่องฟันนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อช่างไม้เอายางเหนียวอย่างใดอย่างหนึ่งเชื่อมเสาติดตั้งไว้ที่ครกหิน ครกหินย่อมไม่รู้ว่ามีเสาตั้งอยู่ที่ตัวเอง แม้เสาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่ที่ครกหินฉันใด กระดูกคางก็ไม่รู้ว่ามีฟันเกิดอยู่ที่ตัวเอง ทั้งฟันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่ที่กระดูกคาง ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ฟันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องหนัง
หนัง ย่อมห่อหุ้มทั่วทั้งสรีระอยู่. ในเรื่องหนังนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอาหนังโคสดหุ้มพิณใหญ่แล้ว พิณใหญ่ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกหุ้มด้วยหนังโคสด แม้หนังโคสดก็ไม่รู้ว่าตัวเองหุ้มพิณใหญ่อยู่ฉันใด สรีระก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกหุ้มไว้ด้วยหนัง ทั้งหนังเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหุ้มสรีระไว้ ฉันนั้นเหมือนกัน. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ หนังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเนื้อ
เนื้อ ย่อมฉาบติดอยู่ตามโครงกระดูก. ในเรื่องเนื้อนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอาดินเหนียวก้อนใหญ่ๆมาฉาบฝา ดินเหนียวก้อนใหญ่ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกฉาบฝาไว้ แม้ฝาก็ไม่รู้ว่าดินเหนียวก้อนใหญ่ฉาบตัวเองไว้, ฉันใด โครงกระดูกก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกฉาบด้วยเนื้อ 900 ชิ้น ทั้งเนื้อเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองฉาบโครงกระดูกไว้ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เนื้อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเอ็น
เอ็น รึงรัดกระดูกภายในสรีระอยู่. ในเรื่องเอ็นนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอาเถาวัลย์ผูกรัดกระดานฝาไว้ กระดานฝาย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกผูกรัดด้วยเถาวัลย์ แม้เถาวัลย์ก็ย่อมไม่รู้ว่าตนเองผูกรัดกระดานฝาไว้ ฉันใด กระดูกก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกรึงรัดไว้ด้วยเอ็น แม้เอ็นก็ไม่รู้ว่าตัวเองรึงรัดกระดูกไว้ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เอ็นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องกระดูก
ในบรรดากระดูกทั้งหลาย กระดูกส้นเท้า ตั้งหนุนกระดูกข้อเท้าอยู่. กระดูกข้อเท้าตั้งหนุนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งตั้งหนุนกระดูกขา กระดูกขาตั้งหนุนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวตั้งหนุนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังตั้งหนุนกระดูกคอ กระดูกคอตั้งหนุนกระดูกศีรษะ,กระดูกศีรษะตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวตั้งอยู่บนกระดูกขา กระดูกขาตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า.
ในเรื่องกระดูกนั้น พึงมนสิการดังนี้-ในบรรดาของที่กองสุมกันอยู่ มีอิฐฟืนและมูลโค เป็นต้น สิ่งที่อยู่ตอนล่างๆย่อมไม่รู้ว่าตัวเองหนุนสิ่งที่อยู่ตอนบนๆ แม้สิ่งที่อยู่ตอนบนๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่บนสิ่งที่อยู่ตอนล่างๆฉันใด กระดูกส้นเท้าย่อมไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกข้อเท้าอยู่ กระดูกข้อเท้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุ่นกระดูกขา กระดูกขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกคอ กระดูกคอก็ไม่รู้ว่าตนเองตั้งหนุนกระดูกศีรษะ,กระดูกศีรษะก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกขา กระดูกขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ กระดูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเยื่อในกระดูก
เยื่อในกระดูก อยู่ภายในกระดูกนั้นๆ ในเรื่องเยื่อในกระดูกนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอายอดหวายนึ่งเป็นต้นใส่ไว้ในตัวเอง แม้ยอดหวายเป็นต้นก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในกระบอกไม้ไผ่เป็นต้น ฉันใด กระดูกก็ย่อมไม่รู้ว่ามีเยื่ออยู่ในภายในตัวเอง แม้เยื่อในกระดูกเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ภายในกระดูก ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เยื่อในกระดูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องไต
ไต ย่อมบริรักษ์เนื้อหัวใจอยู่ โดยถูกยึดไว้ด้วยเอ็นอวบๆ ซึ่งมีโคนอันเดียวที่งอกออกจากหลุมคอ ยื่นออกไปหน่อยหนึ่ง แล้วแยกออกเป็นสองเส้น. ในเรื่องไตนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อมีมะม่วงสองผลติดอยู่กับขั้ว ขั้วย่อมไม่รู้ว่าตัวเองยึดไตไว้ แม้ไตเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกเอ็นอวบยึดไว้ฉันนั้นเหมือนกัน, สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ไตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องหัวใจ
หัวใจ แนบอยู่ตรงกลางโครงกระดูกอกภายในสรีระ. ในเรื่องหัวใจนั้นพึงมนสิการดังนี้- เมื่อเอาชิ้นเนื้อวางแนบไว้ภายในโครงรถม้าโบราณ ภายในโครงรถม้าโบราณย่อมไม่รู้ว่ามีชิ้นเนื้อวางแนบตัวเองอยู่ แม้ชิ้นเนื้อก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่กับโครงรถม้าโบราณฉันใด ภายในโครงกระดูกอกย่อมไม่รู้ว่ามีหัวใจแนบตัวเองอยู่ แม้หัวใจก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่ภายในโครงกระดูกอก ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาซึ่งกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ หัวใจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องตับ
ตับ อยู่ภายในสรีระแนบอยู่ทางสีข้างด้านขวาระหว่างราวนมทั้งสอง. ในเรื่องตับนั้นพึงมนสิการดังนี้- เมื่อเอาก้อนเนื้อหนึ่งคู่ห้อยไว้ตรงข้างกระพุ้งหม้อข้าว ข้างกระพุ้งหม้อข้าวย่อมไม่รู้ว่ามีก้อนเนื้อหนึ่งคู่ห้อยอยู่ที่ตัวเอง แม้ก้อนเนื้อทั้งคู่เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองห้อยอยู่ที่ข้างกระพุ้งหม้อข้าว ฉันใด สีข้างด้านขวาระหว่างราวนมก็ไม่รู้ว่ามีตับแนบตัวเองอยู่ แม้ตับก็ไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่ทางสีข้างด้านขวาระหว่างราวนม ฉันนั้นเหมือนกัน. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและพิจารณาซึ่งกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ตับซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องพังผืด
ในบรรดา พังผืด ทั้งหลาย พังผืดชนิดที่มิดชิดย่อมห่อหุ้มหัวใจและม้ามอยู่. พังผืดชนิดที่ไม่มิดชิด ย่อมห่อหุ้มเนื้อภายใต้ทั่วหนังสรีระอยู่. ในเรื่องพังผืดนั้น พึงมนสิการดังนี้- เมื่อเอาผ้าขี้ริ้วห่อเนื้อไว้ เนื้อย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกห่อไว้ด้วยผ้าขี้ริ้ว แม้ผ้าขี้ริ้วเองก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองห่อเนื้อไว้ ฉันใด ม้าม หัวใจ และเนื้อทั่วสรีระ ย่อมไม่รู้ว่ามีพังผืดห่อหุ้มตัวเองอยู่ แม้พังผืดเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองห่อหุ้มม้าม หัวใจ และเนื้อทั่วสรีระไว้ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ พังผืดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องม้าม
ม้าม แนบติดอยู่กับแถบบนสุดของเยื่อหุ้มท้องตรงด้านซ้ายของหัวใจ. ในเรื่องม้ามนั้นพึงมนสิการดังนี้- เมื่อมีก้อนมูลโควางแนบอยู่กับด้านบนสุดของซุ้มประตู ด้านบนสุดของซุ้มประตูย่อมไม่รู้ว่ามีก้อนมูลโควางแนบตัวเองอยู่ แม้ก้อนมูลโคก็ไม่รู้ว่าตัวเองวางแนบอยู่ด้านบนสุดของซุ้มประตู ฉันใด แถบบนสุดของเยื่อหุ้มท้องก็ไม่รู้ว่ามีม้ามแนบตัวเองอยู่ แม้ม้ามเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่แถบบนสุดของเยื่อหุ้มท้องฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาซึ่งกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ม้ามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
คัดลอกจาก สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังคปกรณ์ แปล เล่ม1) สำหรับผู้ที่ได้ศึกษากรรมฐานด้วยวิธีการอย่างนี้แล้ว พึงเว้นโทษแห
สำหรับผู้ที่ได้ศึกษากรรมฐานด้วยวิธีการอย่างนี้แล้ว พึงเว้นโทษแห่งเสนาสนะ 18 อย่างที่กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ แล้วอยู่ในเสนาสนะที่ประกอบด้วยองค์5 แม้ตนเองก็ต้องประกอบด้วยองค์แห่งความเพียร 5 กลับจากบิณฑบาตแล้ว ในเวลาปัจฉาภัต ต้องอยู่ในโอกาสที่สงัด พึงมนสิการกรรมฐาน. และเมื่อมนสิการ พึงมนสิการอาการ 32 มี ผมเป็นต้นทีละส่วนๆ ด้วยสามารถแห่งสี สัณฐาน ทิศ โอกาส และปริจเฉท แล้วในที่สุดพึงยังมนสิการให้เป็นไปอย่างนี้:-
มนสิการในเรื่องผม
ชื่อว่า ผม เหล่านี้ เกิดอยู่บนหนังหุ้มกระโหลกศีรษะ. ในเรื่องผมนั้น พึงมนสิการดังนี้-แม้หญ้าแฝกหอมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่บนจอมปลวก ฉันใด หนังหุ้มกระโหลกศีรษะก็ไม่รู้ว่า ผมเกิดอยู่บนตัวเอง ทั้งผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเกิดอยู่บนหนังหุ้มศีรษะ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ชื่อว่า ผมจึงเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ แข็งกระด้าง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องขน
ขน ก็เกิดอยู่บนหนังหุ้มสรีระ. ในเรื่องขนนั้น พึงมนสิการดังนี้- เมื่อหญ้าแพรกเกิดอยู่ในที่ว่างจากบ้าน ที่ว่างจากบ้านย่อมไม่รู้ว่าหญ้าแพรกเกิดอยู่บนตัวเอง แม้หญ้าแพรกเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่ที่ว่างจากบ้าน ฉันใด หนังหุ้มสรีระก็ไม่รู้ว่ามีขนเกิดอยู่บนตัวเอง ทั้งขนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่บนหนังหุ้มสรีระ ฉันนั้นเหมือนกัน. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ชื่อว่า ขน จึงเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่เจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่า เป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเล็บ
เล็บ เกิดอยู่ที่ปลายนิ้ว. ในเรื่องเล็บนั้น พึงมนสิการดังนี้- เมื่อพวกเด็กๆเอาไม้เสียบเม็ดมะซางเล่นอยู่ ไม้ย่อมไม่รู้ว่าเม็ดมะซางตั้งอยู่ที่ตัวเอง แม้เม็ดมะซางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่ที่ไม้ ฉันใด นิ้วก็ไม่รู้ว่ามีเล็บเกิดอยู่ที่ปลายของตัวเอง ทั้งเล็บเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่ที่ปลายนิ้ว ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เล็บซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนาเป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องฟัน
ฟัน เกิดอยู่ที่กระดูกคาง. ในเรื่องฟันนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อช่างไม้เอายางเหนียวอย่างใดอย่างหนึ่งเชื่อมเสาติดตั้งไว้ที่ครกหิน ครกหินย่อมไม่รู้ว่ามีเสาตั้งอยู่ที่ตัวเอง แม้เสาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่ที่ครกหินฉันใด กระดูกคางก็ไม่รู้ว่ามีฟันเกิดอยู่ที่ตัวเอง ทั้งฟันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดอยู่ที่กระดูกคาง ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ฟันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องหนัง
หนัง ย่อมห่อหุ้มทั่วทั้งสรีระอยู่. ในเรื่องหนังนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอาหนังโคสดหุ้มพิณใหญ่แล้ว พิณใหญ่ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกหุ้มด้วยหนังโคสด แม้หนังโคสดก็ไม่รู้ว่าตัวเองหุ้มพิณใหญ่อยู่ฉันใด สรีระก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกหุ้มไว้ด้วยหนัง ทั้งหนังเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหุ้มสรีระไว้ ฉันนั้นเหมือนกัน. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ หนังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเนื้อ
เนื้อ ย่อมฉาบติดอยู่ตามโครงกระดูก. ในเรื่องเนื้อนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอาดินเหนียวก้อนใหญ่ๆมาฉาบฝา ดินเหนียวก้อนใหญ่ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกฉาบฝาไว้ แม้ฝาก็ไม่รู้ว่าดินเหนียวก้อนใหญ่ฉาบตัวเองไว้, ฉันใด โครงกระดูกก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกฉาบด้วยเนื้อ 900 ชิ้น ทั้งเนื้อเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองฉาบโครงกระดูกไว้ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เนื้อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเอ็น
เอ็น รึงรัดกระดูกภายในสรีระอยู่. ในเรื่องเอ็นนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอาเถาวัลย์ผูกรัดกระดานฝาไว้ กระดานฝาย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกผูกรัดด้วยเถาวัลย์ แม้เถาวัลย์ก็ย่อมไม่รู้ว่าตนเองผูกรัดกระดานฝาไว้ ฉันใด กระดูกก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกรึงรัดไว้ด้วยเอ็น แม้เอ็นก็ไม่รู้ว่าตัวเองรึงรัดกระดูกไว้ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมปราศจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เอ็นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องกระดูก
ในบรรดากระดูกทั้งหลาย กระดูกส้นเท้า ตั้งหนุนกระดูกข้อเท้าอยู่. กระดูกข้อเท้าตั้งหนุนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งตั้งหนุนกระดูกขา กระดูกขาตั้งหนุนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวตั้งหนุนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังตั้งหนุนกระดูกคอ กระดูกคอตั้งหนุนกระดูกศีรษะ,กระดูกศีรษะตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวตั้งอยู่บนกระดูกขา กระดูกขาตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า.
ในเรื่องกระดูกนั้น พึงมนสิการดังนี้-ในบรรดาของที่กองสุมกันอยู่ มีอิฐฟืนและมูลโค เป็นต้น สิ่งที่อยู่ตอนล่างๆย่อมไม่รู้ว่าตัวเองหนุนสิ่งที่อยู่ตอนบนๆ แม้สิ่งที่อยู่ตอนบนๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่บนสิ่งที่อยู่ตอนล่างๆฉันใด กระดูกส้นเท้าย่อมไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกข้อเท้าอยู่ กระดูกข้อเท้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุ่นกระดูกขา กระดูกขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งหนุนกระดูกคอ กระดูกคอก็ไม่รู้ว่าตนเองตั้งหนุนกระดูกศีรษะ,กระดูกศีรษะก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกขา กระดูกขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ กระดูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องเยื่อในกระดูก
เยื่อในกระดูก อยู่ภายในกระดูกนั้นๆ ในเรื่องเยื่อในกระดูกนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อเอายอดหวายนึ่งเป็นต้นใส่ไว้ในตัวเอง แม้ยอดหวายเป็นต้นก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในกระบอกไม้ไผ่เป็นต้น ฉันใด กระดูกก็ย่อมไม่รู้ว่ามีเยื่ออยู่ในภายในตัวเอง แม้เยื่อในกระดูกเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ภายในกระดูก ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เยื่อในกระดูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องไต
ไต ย่อมบริรักษ์เนื้อหัวใจอยู่ โดยถูกยึดไว้ด้วยเอ็นอวบๆ ซึ่งมีโคนอันเดียวที่งอกออกจากหลุมคอ ยื่นออกไปหน่อยหนึ่ง แล้วแยกออกเป็นสองเส้น. ในเรื่องไตนั้น พึงมนสิการดังนี้-เมื่อมีมะม่วงสองผลติดอยู่กับขั้ว ขั้วย่อมไม่รู้ว่าตัวเองยึดไตไว้ แม้ไตเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกเอ็นอวบยึดไว้ฉันนั้นเหมือนกัน, สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาของกันและกัน ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ไตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องหัวใจ
หัวใจ แนบอยู่ตรงกลางโครงกระดูกอกภายในสรีระ. ในเรื่องหัวใจนั้นพึงมนสิการดังนี้- เมื่อเอาชิ้นเนื้อวางแนบไว้ภายในโครงรถม้าโบราณ ภายในโครงรถม้าโบราณย่อมไม่รู้ว่ามีชิ้นเนื้อวางแนบตัวเองอยู่ แม้ชิ้นเนื้อก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่กับโครงรถม้าโบราณฉันใด ภายในโครงกระดูกอกย่อมไม่รู้ว่ามีหัวใจแนบตัวเองอยู่ แม้หัวใจก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่ภายในโครงกระดูกอก ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาซึ่งกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ หัวใจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องตับ
ตับ อยู่ภายในสรีระแนบอยู่ทางสีข้างด้านขวาระหว่างราวนมทั้งสอง. ในเรื่องตับนั้นพึงมนสิการดังนี้- เมื่อเอาก้อนเนื้อหนึ่งคู่ห้อยไว้ตรงข้างกระพุ้งหม้อข้าว ข้างกระพุ้งหม้อข้าวย่อมไม่รู้ว่ามีก้อนเนื้อหนึ่งคู่ห้อยอยู่ที่ตัวเอง แม้ก้อนเนื้อทั้งคู่เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองห้อยอยู่ที่ข้างกระพุ้งหม้อข้าว ฉันใด สีข้างด้านขวาระหว่างราวนมก็ไม่รู้ว่ามีตับแนบตัวเองอยู่ แม้ตับก็ไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่ทางสีข้างด้านขวาระหว่างราวนม ฉันนั้นเหมือนกัน. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและพิจารณาซึ่งกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ตับซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องพังผืด
ในบรรดา พังผืด ทั้งหลาย พังผืดชนิดที่มิดชิดย่อมห่อหุ้มหัวใจและม้ามอยู่. พังผืดชนิดที่ไม่มิดชิด ย่อมห่อหุ้มเนื้อภายใต้ทั่วหนังสรีระอยู่. ในเรื่องพังผืดนั้น พึงมนสิการดังนี้- เมื่อเอาผ้าขี้ริ้วห่อเนื้อไว้ เนื้อย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกห่อไว้ด้วยผ้าขี้ริ้ว แม้ผ้าขี้ริ้วเองก็ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองห่อเนื้อไว้ ฉันใด ม้าม หัวใจ และเนื้อทั่วสรีระ ย่อมไม่รู้ว่ามีพังผืดห่อหุ้มตัวเองอยู่ แม้พังผืดเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองห่อหุ้มม้าม หัวใจ และเนื้อทั่วสรีระไว้ ฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ พังผืดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.
มนสิการในเรื่องม้าม
ม้าม แนบติดอยู่กับแถบบนสุดของเยื่อหุ้มท้องตรงด้านซ้ายของหัวใจ. ในเรื่องม้ามนั้นพึงมนสิการดังนี้- เมื่อมีก้อนมูลโควางแนบอยู่กับด้านบนสุดของซุ้มประตู ด้านบนสุดของซุ้มประตูย่อมไม่รู้ว่ามีก้อนมูลโควางแนบตัวเองอยู่ แม้ก้อนมูลโคก็ไม่รู้ว่าตัวเองวางแนบอยู่ด้านบนสุดของซุ้มประตู ฉันใด แถบบนสุดของเยื่อหุ้มท้องก็ไม่รู้ว่ามีม้ามแนบตัวเองอยู่ แม้ม้ามเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองแนบอยู่แถบบนสุดของเยื่อหุ้มท้องฉันนั้นนั่นแล. สิ่งเหล่านี้ ย่อมเว้นจากการนึกและการพิจารณาซึ่งกันและกัน. ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ม้ามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอพยากฤต เป็นของสูญ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นของแข็ง จึงชื่อว่าเป็นปฐวีธาตุ.