สังขาร เจตนนา จนเลยไปถึงการ ตรึก นึกคิด คืออย่างไร? จากกระทู้ที่ถกกันข้างล่าง

จากกระทู้เก่า https://ppantip.com/topic/39935543/comment27

   คำว่า "สังขาร"  ตัวเดียวนี้มีอยู่หลายที่ในธรรมเบื้องต้น  ผมสงสัยตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ในชั้น ประถม 7  เมื่ออายุ 14 ปีเมื่อได้อ่านหนังสือธรรมะ เพราะไม่เข้าใจว่า อยู่ตรงใหน เพราะ รูป หรือร่างกายเป็น รูปอยู่แล้ว  แล้วสังขาร มันอยู่ตรงใหน?  เมื่อโตขึ้นก็มีปัญหาเพิ่มคือ

 1.ขันธ์ 5  รูป  เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
 2.เพราะอวิขขา เป็นปัจจัยจึงเกิด  สังขาร
 3.อุปทานขันธ์ ก็รวม อุปทานสังขาร ลงไปด้วย    แล้ว เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย จึงเกิด อุปทาน ต่างกันอย่างไร กับอุปทานขันธ์

  และอีกอย่างหนึ่ง สติปัฏฐาน 4  ข้อ พิจารณา ธรรมในธรรม  คืออย่างไร?  ข้อ 1 กายในกาย  2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิตไม่ได้มีปัญหา ในการฝึกปฏิบัติ 

        คือ ผมไม่สามารถรู้แยกแยะได้ ด้วยความ นึก ตรึกตรองเลย  แต่เมื่อได้ปฏิบัติ เจริญสติ ที่ป็นวิปัสสนา อยู่เนื่องๆ ก็๋จะสามารถแยกชัดได้หมด  ผมให้เวลาและความสนใจการปฏิบัติมากกว่า การศึกษาบัญยัติ. จึงสามารถลวงลึกไป ก่อนผัสสะ ได้  คือ อายตนะ  -> มโนมยตนะ (ลึกไปถึง นามรูป วิญญาณ และสังขาร) จึงแจ่มแจ้งใน สังขาร ได้

        คือเมื่อผู้ปฏิบัติธรรม  เจริญสติอยู่เนื่องๆ  สมาธิย่อมเจริญขึ้น (ยังไม่กล่าวถึงปัญญา เพราะจะคอยตามมาที่หลังเมื่อทิ้งบัญญัติไปหมดเพื่อปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ ของสติ สมาธิที่เจริญขึ้น)  จนค่อยๆ ปลดความรู้สึกทางกายจนหมดทั้ง กาย หู จมูก ลิ้น ไม่เกิดผัสสะ และอายตะทางนั้นแล้ว(ต้องฝึกปฏิบัติกันนาน เป็นเดือนเป็นปีๆ  ไม่ใช่ปรึบพับก็จะเกิดได้ทันที่)  ก็จะเหลือแต่ อายตนะ ทางใจ หรือ จิตเท่านั้น  ที่ดำเนินไปตามการกำหนดภาวนากรรมฐานไป  

      เมื่อละเอียดลงไปย่อมเห็น นามรูป  และ วิญญาณที่เป็นปัจจัยกัน ในจิต นั้น  ก็คือ มโนมายตนะ ที่เกิดเป็นปัจจัยกันอยู่  แต่ยังไม่สามารถรู้ว่า สังขาร นั้นเป็นอย่างไร รู้เพียงแค่ วิญญาณ > นามรูป > อายตนะ  (รวมกันเป็น มะโนมายตนะ)

     และเป็นที่น่าสนใจหรือน่าคิดว่า แม้ดับพ้นไปจากสังขารไปแล้ว จากชีวิต หรือ รูป-นามไปแล้ว เมื่ออายุ 23-24 ปี  ก็ยังไม่แจ่มชัดด้วยปัญญาว่า สังขาร อยู่ตรงใหนเป็นอย่างไร  ยังแยกแยะตามบัญญัติตามบัญญัติได้ และยังไม่ทราบว่า ธรรมที่ปรากฏนั้นเป็น วิสังขาร  
    ธรรมเหล่านี้เกิดก่อน แต่ธรรมบัญยัติมีน้อย จึงแยกแยะเป็นภาษาธรรมบัญญัติไม่ได้.  จึงต้องศึกษาธรรมบัญยัติและปฏิบัติธรรมเนื่องๆ จนอย่างยิ่ง และสับสนในตนเองเป็นเวลาเกือบ 30 ปี จนวนขึ้นใหม่อีกรอบหนึ่งในครังนี้

       สัญญาเกิดเกิดก่อน ปัญญาเกิดตามที่หลังต่อกัน   เมื่อปฏิบัติธรรมในห้องไอชียู จนละเอียดปรานีตยิ่งกว่าเก่า ด้วยเห็นทุกข์เห็นภัยความเป็นกับความตายด้วยเสมือนมีแผ่นบางๆ กันไว้เท่านั้น ด้วยลิ้มเลือดอุดตันในสมองอย่างเฉียบพลันน็อก ขณะกำลังเดินเข้าบ้าน
      สัญญาได้เกิดขึ้นเองพิจารณาไปว่าต้องเป็น วิสังขาร จึงพ้นจากสังขาร อันเป็นทุกข์ได้   (ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าคำว่า วิสังขาร มีหรือไม่ในพระไตรปิฏก)

     เมื่อกำหนดภาวนาตามพุทธพจน์ข้างล่างและแจ้งชัดทุกตัวอักษร ตามความเป็นจริงของ รูป-นาม ที่ปรากฏตามความเป็นจริง  ก็เริ่มทิ้งจากความรู้สึกทางกายหมดสิ้น จนเหลือ มโนมยาตะ ที่ระเอียดเท่านั้นที่ภาวนาตามพุทธพจน์ ที่ไหลไปเอง จากพุท.ธพจน์

                                 สิ่งใดไม่เทียง   สิ่งนั้นเป็นทุกข์
                                 สิ่งใดเป็นทุกข์  สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
                        
                                นั้นไม่ใช่เรา  นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา

      ที่เป็นองค์ภาวนาด้วยสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ จึงผลิกพ้นหรือ หลุดพ้นไปจาก มโนมายตนะ + สังขาร  ดับสิ้นไปหมดสิ้นไป ไม่มีกำหนดหมาย ไม่เป็นที่ตั้งใดๆ ซึ่งก็เป็น วิสังขาร  นั้นเอง.

       หลังจากนั้นปัญญาก็รู้แจังถึงสังขาร ไม่ใช่ผ่านจากบัญญัตที่เรียนรู้ แต่ผ่านจากการปฏิบัติ

       สังขารด้วยความระเอียดจริงๆ ก็คือ ที่ตั้ง ขอบเขตที่ตั้ง จุดที่ตั้ง หรือพื้นที่ตั้ง ที่แรกเริ่มปรากฏขึ้นในแต่ละขณะ ในกายยาววาหนาศอก ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเอง  หรือเป็นที่ตั้ง ขอบเขตที่ตั้ง จุดที่ตั้ง หรือพื้นที่ตั้งใหม่(กายใหม่) ที่อวิชชาเป็นคตินำไป ปฏิสนธิ(เกิด) นั้นเอง.

         อวิชชา เป็นปัจจัยเกิด สังขาร 
        สังขาร  เป็นปัจจัยเกิด วิญญาณ
        ...
       ...

       ตามสายปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิด ตามวัฏฏะ 

     วิสังขาร ย่อม ดับสังขาร ทำให้อวิชชาอ่อนกำลัง ไปตามลำดับ จนดับสิ้นอวิชชา ด้วยปัญญา(วิชชา) 

 หวังว่า อ่านแล้วคงพอทำความเข้าใจตามบัญญัติได้ นะ.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่