ผมเรียน จบ. ปวส.สายวิทย์สุขภาพ ทำงานในหน่วยงานของรัฐ มา 8 ปีแล้ว เงินเดือนเริ่มต้น 8500 ตอนนี้บรรจุเป็นราชการ เงินเดือน 16000 ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน มีแต่จักรยาน ไม่คิดจะมี เพราะต้องเก็บเงินไว้ดูแลย่า เป็นค่าเทอมเรียนต่อ ใช้หนี้ให้กับครอบครัว คิดเสมอว่า มีเงินไว้ซื้อกับข้าวกับปลา เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ให้ตัวเองและย่าดีกว่า เพราะถ้ามีหนี้ตอนนี้คงไม่พอใช้แน่นอน ใครจะดูถูกยังไง ก็พยายามบอกตัวเองเสมอ เรามาจากศูนย์ ไม่มีใครคอย support มาถุงจุดนี้ได้ก็ภูมิใจแล้ว
เมื่อ 3 ปีก่อน ต้องย้ายไปบรรจุเป็นข้าราชการที่อำเภออื่น เพราะแถวบ้านไม่มีตำแหน่งลง ตัดสินใจจะสละสิทธิ์ เพราะไม่อยากทำงานไกลบ้านเป็นห่วงย่า แต่เพื่อนไม่ยอม กลัวเสียโอกาส ตัดสินใจเอาก็เอา ชีวิตเปลี่ยน ต้องตื่นแต่เช้า กลับค่ำทุกวัน เพราะที่ทำงานไกลบ้านมากๆ ไปกลับทุกวัน นั่งรถตู้แล้วไปต่อสองแถว รู้จักคนขับรถตู้กับสองแถวทุกคน เพราะนั่งร้องไห้บนรถบ่อยๆ มันเหนื่อยมาก ห่วงย่ามาก อายุมากแล้ว ไม่ได้ดูแลเต็มที่เหมือนแต่ก่อน ข้าวเช้าข้าวเที่ยง ย่าต้องเดินไปซื้อเองแถวบ้าน เพราะกลัวผมไปทำงานสาย ตอนนั้นย่าแข็งแรง คิดว่าให้แกได้ออกกำลังกาย ได้พบปะผู้อื่น ป้องกันซึมเศร้า พยายามบอกสอนแกทุกเรื่อง ให้แกใช้ชีวิตให้ปลอดภัยที่สุดเวลาผมไม่อยู่บ้าน กลับมาช่วงเย็นผมก็จะแวะตลาด เต็มที่ ชดเชยช่วงเช้า ค่าเดินทาง วันละ 150 มากกว่าที่ให้ย่าใช้ 50 บาท มันไม่โอเคเลย
คุณภาพชีวิตแย่ลงมาก ถ้ามีบ้านพักว่าง คงเอาย่าไปอยู่ คงไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ และได้ดูแลย่าได้เต็มที่เหมือนเดิม 3 ปีเต็มๆ ที่ทำหน้าที่ ณ จุดนั้น ได้ย้ายมาใกล้บ้าน ดีใจมาก แต่ก็ต้องเจ็บปวด ย่าจากที่แข็ง เริ่มป่วย ผอมลงมาก ช่วยเหบือตนเองได้น้อยลง หาคนมาดูแลไม่ได้ จะฝากศูนย์แบบไปกลับก็แพงสู้ไม่ไหว ปล่อยให้ย่าอยู่บ้านลำพังคนเดียว เกือบสองเดือน แทบจะลาออกมาดูแล ห่วงแกมาก กลัวแกล้ม กลัวแกสำลักอาหาร ร้องไห้กราบวิงวอนเจ้าที่เจ้าทางให้ช่วยดูแล เพราะพึ่งพาลูกหลานคนไหนไม่ได้เลย จนย่าเริ่มทรุดหนัก ตัดสินใจจ้างอาสะใภ้ที่พึ่งตกงานมาดูแล ช่วยกันดูแลย่าอย่างดี จะบวชให้ย่าให้ย่าได้จับชายผ้าเหลืองแต่กลัวอาดูแลคนเดียวไม่ไหว บอกกับย่า ว่าขอโทษ คงไม่ได้บวชให้ ขอดูแลย่าแทนการบวชนะย่า ดูแลอย่างดีหวังว่าย่าจะดีขึ้น แต่กลับทรุดลง เข้าออก รพ. สามวันดีสี่วันไข้ จนย่าจากไปอย่างสงบ
สิ่งที่ทำให้ผมโทษตัวเองมาตลอด
1. ดูแลย่าได้ไม่ดี ละเลยหลายอย่าง
2. ไม่น่าไปบรรจุ ทำงานไกลบ้าน
3. ไม่ได้บวชให้ย่า
4. ไม่ได้ซื้อบ้านซื้อรถให้ย่าได้เห็น
5. ไม่ได้เห็นใจย่า ย่าสิ้นใจเพียงลำพังที่ รพ. ไปไม่ทัน เสียใจข้อนี้มาก ไปนอนเฝ้าย่าทุกคืน นอนตรงไหนก็นอน นอนคนเดียวก็นอน กลัวไม่ได้เห็นใจย่า ถ้าย่าจะเป็นอะไรไป ขอให้ได้พูดคุย ได้กอด พาย่าสวดมนต์ นำทางให้ย่า วันนั้นหมอถอดเครื่องช่วยหายใจให้ย่า เพราะอาการดีขึ้น หายใจเองได้ คืนนั้น 20.00 น. ผมขอพยาบาลว่าขอเฝ้าข้างเตียงได้ไหม แทบจะกราบเลย เพราะกลัวย่าเหงา แต่พยาบาลไม่ให้ เลยตัดสินใจไปส่งอาที่บ้าน เพราะไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน พอสี่ทุ่มกำลังแต่งตัวจะไป พยาบาลโทรมาว่า ย่าชีพจรเหลือ 32 ชาไปทั้งตัว รีบแต่งตัว ตามทุกคนมารวมกัน รถยนต์ไม่มี มอไซก็ไปไม่หมด ต้องรอป้า ป้ามาได้ไม่ถึงนาที กำลังขึ้นรถ พยาบาลโทรมาบอกว่าสิ้นใจแล้ว โลกสลายไปเลย เปลี่ยนเป็นสีดำ การสูญเสียครั้งแรกในชีวิตกับย่าที่ผมรักที่สุด
ผมอดทนและเข้มแข็ง แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ ช่วยชี้ทางให้ทีครับ ทุกข์ในใจมาก
ดูแลย่าได้ไม่ดี
เมื่อ 3 ปีก่อน ต้องย้ายไปบรรจุเป็นข้าราชการที่อำเภออื่น เพราะแถวบ้านไม่มีตำแหน่งลง ตัดสินใจจะสละสิทธิ์ เพราะไม่อยากทำงานไกลบ้านเป็นห่วงย่า แต่เพื่อนไม่ยอม กลัวเสียโอกาส ตัดสินใจเอาก็เอา ชีวิตเปลี่ยน ต้องตื่นแต่เช้า กลับค่ำทุกวัน เพราะที่ทำงานไกลบ้านมากๆ ไปกลับทุกวัน นั่งรถตู้แล้วไปต่อสองแถว รู้จักคนขับรถตู้กับสองแถวทุกคน เพราะนั่งร้องไห้บนรถบ่อยๆ มันเหนื่อยมาก ห่วงย่ามาก อายุมากแล้ว ไม่ได้ดูแลเต็มที่เหมือนแต่ก่อน ข้าวเช้าข้าวเที่ยง ย่าต้องเดินไปซื้อเองแถวบ้าน เพราะกลัวผมไปทำงานสาย ตอนนั้นย่าแข็งแรง คิดว่าให้แกได้ออกกำลังกาย ได้พบปะผู้อื่น ป้องกันซึมเศร้า พยายามบอกสอนแกทุกเรื่อง ให้แกใช้ชีวิตให้ปลอดภัยที่สุดเวลาผมไม่อยู่บ้าน กลับมาช่วงเย็นผมก็จะแวะตลาด เต็มที่ ชดเชยช่วงเช้า ค่าเดินทาง วันละ 150 มากกว่าที่ให้ย่าใช้ 50 บาท มันไม่โอเคเลย
คุณภาพชีวิตแย่ลงมาก ถ้ามีบ้านพักว่าง คงเอาย่าไปอยู่ คงไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ และได้ดูแลย่าได้เต็มที่เหมือนเดิม 3 ปีเต็มๆ ที่ทำหน้าที่ ณ จุดนั้น ได้ย้ายมาใกล้บ้าน ดีใจมาก แต่ก็ต้องเจ็บปวด ย่าจากที่แข็ง เริ่มป่วย ผอมลงมาก ช่วยเหบือตนเองได้น้อยลง หาคนมาดูแลไม่ได้ จะฝากศูนย์แบบไปกลับก็แพงสู้ไม่ไหว ปล่อยให้ย่าอยู่บ้านลำพังคนเดียว เกือบสองเดือน แทบจะลาออกมาดูแล ห่วงแกมาก กลัวแกล้ม กลัวแกสำลักอาหาร ร้องไห้กราบวิงวอนเจ้าที่เจ้าทางให้ช่วยดูแล เพราะพึ่งพาลูกหลานคนไหนไม่ได้เลย จนย่าเริ่มทรุดหนัก ตัดสินใจจ้างอาสะใภ้ที่พึ่งตกงานมาดูแล ช่วยกันดูแลย่าอย่างดี จะบวชให้ย่าให้ย่าได้จับชายผ้าเหลืองแต่กลัวอาดูแลคนเดียวไม่ไหว บอกกับย่า ว่าขอโทษ คงไม่ได้บวชให้ ขอดูแลย่าแทนการบวชนะย่า ดูแลอย่างดีหวังว่าย่าจะดีขึ้น แต่กลับทรุดลง เข้าออก รพ. สามวันดีสี่วันไข้ จนย่าจากไปอย่างสงบ
สิ่งที่ทำให้ผมโทษตัวเองมาตลอด
1. ดูแลย่าได้ไม่ดี ละเลยหลายอย่าง
2. ไม่น่าไปบรรจุ ทำงานไกลบ้าน
3. ไม่ได้บวชให้ย่า
4. ไม่ได้ซื้อบ้านซื้อรถให้ย่าได้เห็น
5. ไม่ได้เห็นใจย่า ย่าสิ้นใจเพียงลำพังที่ รพ. ไปไม่ทัน เสียใจข้อนี้มาก ไปนอนเฝ้าย่าทุกคืน นอนตรงไหนก็นอน นอนคนเดียวก็นอน กลัวไม่ได้เห็นใจย่า ถ้าย่าจะเป็นอะไรไป ขอให้ได้พูดคุย ได้กอด พาย่าสวดมนต์ นำทางให้ย่า วันนั้นหมอถอดเครื่องช่วยหายใจให้ย่า เพราะอาการดีขึ้น หายใจเองได้ คืนนั้น 20.00 น. ผมขอพยาบาลว่าขอเฝ้าข้างเตียงได้ไหม แทบจะกราบเลย เพราะกลัวย่าเหงา แต่พยาบาลไม่ให้ เลยตัดสินใจไปส่งอาที่บ้าน เพราะไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน พอสี่ทุ่มกำลังแต่งตัวจะไป พยาบาลโทรมาว่า ย่าชีพจรเหลือ 32 ชาไปทั้งตัว รีบแต่งตัว ตามทุกคนมารวมกัน รถยนต์ไม่มี มอไซก็ไปไม่หมด ต้องรอป้า ป้ามาได้ไม่ถึงนาที กำลังขึ้นรถ พยาบาลโทรมาบอกว่าสิ้นใจแล้ว โลกสลายไปเลย เปลี่ยนเป็นสีดำ การสูญเสียครั้งแรกในชีวิตกับย่าที่ผมรักที่สุด
ผมอดทนและเข้มแข็ง แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ ช่วยชี้ทางให้ทีครับ ทุกข์ในใจมาก