DARKEST HOUR
สื่อสารแบบวินสตัน เชอร์ชิลอย่างไร ให้ได้ใจลูกน้อง
เราเคยได้ยินว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่วินสตัน เชอร์ชิล ใช้ คำพูดเป็นอาวุธ และส่งมันออกไปรบ
ในช่วงเวลาวิกฤติโรคระบาด หลายเจ้าของธุรกิจเปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้ว่า เรากำลังอยู่ในสงคราม
แล้วถ้าเรากำลังอยู่ในสงครามจริง เราจะสื่อสารกับคนในองค์กรอย่างไร? ให้มีขวัญกำลังใจ
เราคงต้องพาย้อนไปช่วงสงครามโลก ช่วงเวลาวิกฤติที่สุดของอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิลกล่าวสุนทรพจน์อย่างไรถึงรวมใจคนทั้งชาติสู้กับศัตรูได้ จนพลิกประวัติศาสตร์โลก เป็นสุนทรพจน์อมตะจนทุกวันนี้
เราจะพาไปเจาะลึกกับ SUPER LEADER กับซีรี่ย์ฝ่าวิกฤติโควิด
------------------------------------------------------
We shall Fight on the Beaches
ปี 1940 อาจเป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ
กองทัพนาซี ได้บุกยึดครองยุโรปเกือบทั้งหมด ด้วยแสนยานุภาพทหารที่เกรียงไกรและโหดร้ายที่สุดในโลก สงครามและหายนะกำลังคืบคลานเข้าสู่เกาะอังกฤษ เมื่อฝรั่งเศสได้แตกพ่ายลงอย่างรวดเร็ว
เชอร์ชิลตกอยู่ในภาวะกดดันเป็นที่สุด
รัฐมนตรีและนายพลมีความเห็นตรงกันว่าไม่มีทางต้านทานกองทัพนาซีได้ ควรเจรจาสันติภาพ แต่วินสตัน เชอร์ชิลยืนกรานที่จะสู้ ในขณะที่เสียงสนับสนุนเขาน้อยลงไปทุกทีจนเหมือนกำลังสู้เพียงลำพัง
เชอร์ชิลได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กลายเป็นวลีอมตะที่ดีที่สุดของยุคและปลุกใจคนทั้งชาติรวมถึงเสียงในรัฐสภาที่ขัดแย้งให้ร่วมสามัคคีลุกขึ้นสู้
เราจะก้าวเดินไปถึงจุดจบ
เราจะสู้ในฝรั่งเศส เราจะสู้กับผืนทะเลและมหาสมุทร เราจะสู้ด้วยความมุ่งมั่นและแข็งแกร่งบนท้องนภา เราจะป้องกันเกาะของเราไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม เราจะสู้บนหาดทราย เราจะสู้บนลานบิน เราจะสู้บนท้องทุ่งและบนถนน เราจะสู้ในขุนเขา
เราจะไม่มีวันยอมแพ้
-----------------------------------------------------
ถอดบทเรียน
แน่นอน ในความเป็นจริงเราไม่สามารถสื่อสารกับลูกน้องแบบเชอร์ชิลได้ ด้วยบริบทและสถานการณ์ที่แตกต่าง ฉะนั้นต้องปรับให้เข้ากับตัวเอง แต่สิ่งที่ทั้งประชาชนและพนักงานเป็นเหมือนกันทั้งภาวะสงครามและวิกฤติจากโรคระบาดคือ
1.ความสับสนวิตกกังวล ความไม่รู้สถานการณ์ทำให้กังวลต่ออนาคตและรายได้ หนี้สินตัวเองของพนักงาน
2.ความไม่รู้ นำไปสู่ข้อมูลที่ผิดแพร่กระจายออกไป ทำให้บรรยากาศทำงานไม่ดี ยอดตกได้ หรืออาจเกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์บริษัท เช่นข่าวลือว่าบริษัทกำลังจะปิดตัวลง ทั้งๆที่ไม่จริง ทำให้เกิดข่าวลือออกไป
สิ่งที่เราถอดบทเรียนจากกลยุทธ์ของเชอร์ชิลได้ คือ
1.ความเชื่อมั่น
“ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะมอบให้นอกจากเลือด เรี่ยวแรงไม่ทดท้อ หยาดเหงื่อและน้ำตา” เชอร์ชิลกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนประชาชนที่กำลังหวาดกลัวสงครามรู้สึกมีความหวัง
อย่างแรกที่ผู้นำองค์กรควรสื่อสารคือความเชื่อมั่นและชัดเจน รู้ว่าคนฟังเป็นใคร กำลังกังวลอะไร ต้องการสิ่งใด
ยิ่งถ้าสามารถมอบสัญญาที่ทำได้แน่นอนเช่น จะไม่มีการปลดพนักงานออกภายในปีนี้ จะสร้างกำลังใจที่ดีมากๆ
2.ความเตรียมพร้อมและความหวัง
“มีคนบอกว่า ฮิตเลอร์มีแผนรุกรานอังกฤษ ข้อนี้ก็เคยคิดกันมาก่อนหลายครั้ง เราจะขอพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของเรา และเราจะผ่านพ้นภัยทรราชนี้”
เชอร์ชิลมักขึ้นต้นด้วยข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมและยอมรับ แต่จะปิดท้ายด้วยการพูดเรียกความหวังและกำลังใจ อย่างหนักแน่น
การพูดความจริงให้พนักงานรับทราบถึงสถานการณ์ในวิกฤติครั้งนี้ ว่าอยู่จุดไหน เงินทุนเหลือถึงแค่ไหน เพราะจะเกิดการยอมรับและเตรียมตัวในมาตราการณ์ต่างๆที่บริษัทออก
เราอาจจะต้องขอให้พนักงานทำงานหนักกว่าที่เคย
เราอาจจะต้องขอให้พนักงานเสียสละบางอย่างในขอบเขตที่รับได้
แต่ต้องไม่ลืมให้ความหวังว่าจะผ่านไปได้ ในช่วงเวลานี้ผู้นำควรเสียสละเป็นคนแรกๆเช่น ตัดเงินเดือนตัวเองก่อน แต่ยังให้พนักงานเต็มเดือน ลดความฟุ่มเฟือยตัวเองลง เพื่อให้พนักงานเห็น ยอมรับ และเตรียมตัวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้
3.เรียบง่ายและตรงประเด็น
เชอร์ชิลมักใช้ภาษาที่มาจากใจ เรียบง่าย ไม่เป็นทางการ แต่เข้าใจง่าย มีอารมณ์ขันบ้าง เช่น ถ้านักการเมืองใช้คำว่า ทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลง เชอร์ชิลจะใช้คำว่า ทั้งสองจับมือกัน หรือ ชนชั้นกรรมมาชีพ เชอร์ชิลจะใช้คำว่า คนยากจน ฉะนั้นภาษาที่สื่อสารต้องเรียบง่าย
4.สื่อสาร ทั้งบนลงล่าง ล่างขึ้นบน
อย่าลืมสื่อสารกับทุกฝ่ายตลอด คอยรายงานสถานการณ์ แผนที่ทำไว้ตามเป้าหรือเปล่า ไม่จำเป็นที่การสื่อสารต้องมาจากผู้นำอย่างเดียว พนักงานก็ต้องคอยสื่อสาร รายงานกับหัวหน้าบ่อยๆด้วยเช่นกัน เหมือนยามสงครามที่นายพลต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชา เพราะช่วงเวลานี้ไม่ปกติ ต้องทำให้พนักงานกล้ารายงานสถานการณ์ต่อหัวหน้าโดยไม่โดนดุด้วย
สุดท้ายขอจบด้วยอีกหนึ่งวรรคทองของ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ว่า
“....แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด จงเดินต่อไป แม้ข้างหน้าจะไม่มีใครเคียงข้าง จงอย่าหยุดเดิน
จงมั่นใจในตัวเองและอย่าลืมที่จะฟังเสียงแวดล้อมที่เดินผ่าน รับฟังพวกเขาและตัดสินใจด้วยตัวเอง
เมื่อนั้นม่านหมอกความกลัวที่มืดมนจะจางหายไป เมื่อนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ คือแสงสว่าง....”
ติดตามเพจได้ที่
http://www.facebook.com/iamsuperleader
สื่อสารแบบ Winston Churchill อย่างไรให้ได้ใจลูกน้องในช่วงวิกฤติ
DARKEST HOUR
สื่อสารแบบวินสตัน เชอร์ชิลอย่างไร ให้ได้ใจลูกน้อง
เราเคยได้ยินว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่วินสตัน เชอร์ชิล ใช้ คำพูดเป็นอาวุธ และส่งมันออกไปรบ
ในช่วงเวลาวิกฤติโรคระบาด หลายเจ้าของธุรกิจเปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้ว่า เรากำลังอยู่ในสงคราม
แล้วถ้าเรากำลังอยู่ในสงครามจริง เราจะสื่อสารกับคนในองค์กรอย่างไร? ให้มีขวัญกำลังใจ
เราคงต้องพาย้อนไปช่วงสงครามโลก ช่วงเวลาวิกฤติที่สุดของอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิลกล่าวสุนทรพจน์อย่างไรถึงรวมใจคนทั้งชาติสู้กับศัตรูได้ จนพลิกประวัติศาสตร์โลก เป็นสุนทรพจน์อมตะจนทุกวันนี้
เราจะพาไปเจาะลึกกับ SUPER LEADER กับซีรี่ย์ฝ่าวิกฤติโควิด
------------------------------------------------------
We shall Fight on the Beaches
ปี 1940 อาจเป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ
กองทัพนาซี ได้บุกยึดครองยุโรปเกือบทั้งหมด ด้วยแสนยานุภาพทหารที่เกรียงไกรและโหดร้ายที่สุดในโลก สงครามและหายนะกำลังคืบคลานเข้าสู่เกาะอังกฤษ เมื่อฝรั่งเศสได้แตกพ่ายลงอย่างรวดเร็ว
เชอร์ชิลตกอยู่ในภาวะกดดันเป็นที่สุด
รัฐมนตรีและนายพลมีความเห็นตรงกันว่าไม่มีทางต้านทานกองทัพนาซีได้ ควรเจรจาสันติภาพ แต่วินสตัน เชอร์ชิลยืนกรานที่จะสู้ ในขณะที่เสียงสนับสนุนเขาน้อยลงไปทุกทีจนเหมือนกำลังสู้เพียงลำพัง
เชอร์ชิลได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กลายเป็นวลีอมตะที่ดีที่สุดของยุคและปลุกใจคนทั้งชาติรวมถึงเสียงในรัฐสภาที่ขัดแย้งให้ร่วมสามัคคีลุกขึ้นสู้
เราจะก้าวเดินไปถึงจุดจบ
เราจะสู้ในฝรั่งเศส เราจะสู้กับผืนทะเลและมหาสมุทร เราจะสู้ด้วยความมุ่งมั่นและแข็งแกร่งบนท้องนภา เราจะป้องกันเกาะของเราไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม เราจะสู้บนหาดทราย เราจะสู้บนลานบิน เราจะสู้บนท้องทุ่งและบนถนน เราจะสู้ในขุนเขา
เราจะไม่มีวันยอมแพ้
-----------------------------------------------------
ถอดบทเรียน
แน่นอน ในความเป็นจริงเราไม่สามารถสื่อสารกับลูกน้องแบบเชอร์ชิลได้ ด้วยบริบทและสถานการณ์ที่แตกต่าง ฉะนั้นต้องปรับให้เข้ากับตัวเอง แต่สิ่งที่ทั้งประชาชนและพนักงานเป็นเหมือนกันทั้งภาวะสงครามและวิกฤติจากโรคระบาดคือ
1.ความสับสนวิตกกังวล ความไม่รู้สถานการณ์ทำให้กังวลต่ออนาคตและรายได้ หนี้สินตัวเองของพนักงาน
2.ความไม่รู้ นำไปสู่ข้อมูลที่ผิดแพร่กระจายออกไป ทำให้บรรยากาศทำงานไม่ดี ยอดตกได้ หรืออาจเกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์บริษัท เช่นข่าวลือว่าบริษัทกำลังจะปิดตัวลง ทั้งๆที่ไม่จริง ทำให้เกิดข่าวลือออกไป
สิ่งที่เราถอดบทเรียนจากกลยุทธ์ของเชอร์ชิลได้ คือ
1.ความเชื่อมั่น
“ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะมอบให้นอกจากเลือด เรี่ยวแรงไม่ทดท้อ หยาดเหงื่อและน้ำตา” เชอร์ชิลกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนประชาชนที่กำลังหวาดกลัวสงครามรู้สึกมีความหวัง
อย่างแรกที่ผู้นำองค์กรควรสื่อสารคือความเชื่อมั่นและชัดเจน รู้ว่าคนฟังเป็นใคร กำลังกังวลอะไร ต้องการสิ่งใด
ยิ่งถ้าสามารถมอบสัญญาที่ทำได้แน่นอนเช่น จะไม่มีการปลดพนักงานออกภายในปีนี้ จะสร้างกำลังใจที่ดีมากๆ
2.ความเตรียมพร้อมและความหวัง
“มีคนบอกว่า ฮิตเลอร์มีแผนรุกรานอังกฤษ ข้อนี้ก็เคยคิดกันมาก่อนหลายครั้ง เราจะขอพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของเรา และเราจะผ่านพ้นภัยทรราชนี้”
เชอร์ชิลมักขึ้นต้นด้วยข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมและยอมรับ แต่จะปิดท้ายด้วยการพูดเรียกความหวังและกำลังใจ อย่างหนักแน่น
การพูดความจริงให้พนักงานรับทราบถึงสถานการณ์ในวิกฤติครั้งนี้ ว่าอยู่จุดไหน เงินทุนเหลือถึงแค่ไหน เพราะจะเกิดการยอมรับและเตรียมตัวในมาตราการณ์ต่างๆที่บริษัทออก
เราอาจจะต้องขอให้พนักงานทำงานหนักกว่าที่เคย
เราอาจจะต้องขอให้พนักงานเสียสละบางอย่างในขอบเขตที่รับได้
แต่ต้องไม่ลืมให้ความหวังว่าจะผ่านไปได้ ในช่วงเวลานี้ผู้นำควรเสียสละเป็นคนแรกๆเช่น ตัดเงินเดือนตัวเองก่อน แต่ยังให้พนักงานเต็มเดือน ลดความฟุ่มเฟือยตัวเองลง เพื่อให้พนักงานเห็น ยอมรับ และเตรียมตัวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้
3.เรียบง่ายและตรงประเด็น
เชอร์ชิลมักใช้ภาษาที่มาจากใจ เรียบง่าย ไม่เป็นทางการ แต่เข้าใจง่าย มีอารมณ์ขันบ้าง เช่น ถ้านักการเมืองใช้คำว่า ทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลง เชอร์ชิลจะใช้คำว่า ทั้งสองจับมือกัน หรือ ชนชั้นกรรมมาชีพ เชอร์ชิลจะใช้คำว่า คนยากจน ฉะนั้นภาษาที่สื่อสารต้องเรียบง่าย
4.สื่อสาร ทั้งบนลงล่าง ล่างขึ้นบน
อย่าลืมสื่อสารกับทุกฝ่ายตลอด คอยรายงานสถานการณ์ แผนที่ทำไว้ตามเป้าหรือเปล่า ไม่จำเป็นที่การสื่อสารต้องมาจากผู้นำอย่างเดียว พนักงานก็ต้องคอยสื่อสาร รายงานกับหัวหน้าบ่อยๆด้วยเช่นกัน เหมือนยามสงครามที่นายพลต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชา เพราะช่วงเวลานี้ไม่ปกติ ต้องทำให้พนักงานกล้ารายงานสถานการณ์ต่อหัวหน้าโดยไม่โดนดุด้วย
สุดท้ายขอจบด้วยอีกหนึ่งวรรคทองของ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ว่า
“....แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด จงเดินต่อไป แม้ข้างหน้าจะไม่มีใครเคียงข้าง จงอย่าหยุดเดิน
จงมั่นใจในตัวเองและอย่าลืมที่จะฟังเสียงแวดล้อมที่เดินผ่าน รับฟังพวกเขาและตัดสินใจด้วยตัวเอง
เมื่อนั้นม่านหมอกความกลัวที่มืดมนจะจางหายไป เมื่อนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ คือแสงสว่าง....”
ติดตามเพจได้ที่ http://www.facebook.com/iamsuperleader