▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ประเทศอินโดนีเซีย
ประวัติศาสตร์ศิลป์
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
ภาพถ่ายจากกล้องโทรศัพท์
โบราณสถาน
ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะชวาตะวันออกและสิงคโปร์ ตอนที่ 2
ห่างหายไปนานกับการเขียนกระทู้แนวตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวในอาเซียน ช่วงนี้ว่าง ๆ พอจะปลีกตัวมาเขียนกระทู้ต่อได้บ้าง หลังจากทริปเที่ยวในประเทศและต่างประเทศล่มไม่เป็นท่าจากพิษของโรคโควิท - 19 ที่ระบาดอย่างหนักจนกิจการต่าง ๆ ต้องปิดตัวลง พลอยทำให้แปลนพักผ่อนของผมเสียหายตามไปด้วย เลยขุดข้อมูลทริปเก่าที่ค้างไว้มาเขียนต่อเพื่อรอทริปใหม่ ๆ ในอนาคต
สำหรับกระทู้ตอนนี้จะเป็นการเล่าเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมไปเที่ยวมาในย่านเมืองเคดิริ เมืองบลิตาร์จนถึงเมืองมาลังในชวาตะวันออก ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของทริปนี้ก็หนีไม่พ้น "จันทิ (Candi)" ศาสนสถานสำคัญของอาณาจักรเคดิริและอาณาจักรสิงหัสส่าหรีในชวาตะวันออก
ก่อนไปเที่ยวที่นี่ผมก็เสิร์จหาข้อมูลจากเว็บพันทิปก็แทบจะไม่มีใครมาเขียนเล่าเรื่องการเดินทางเป็นข้อมูลให้ผมได้ใช้เตรียมตัวเลย ผมเลยคิดว่าจะเขียนกระทู้นี้ไว้เพื่อส่งต่อข้อมูลให้กับคนที่สนใจอยากเดินทางแวะไปเที่ยวชม 3 เมืองนี้กันได้ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมตัวรึกัน
ปกติผมจะชอบเที่ยวเมืองรองที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปชมกันน้อยมากกว่าเมืองหลักที่ดัง ๆ นะครับ มันให้บรรยากาศความสงบไม่ดูวุ่นวายสับสนดีและเป็นการพักผ่อนได้แบบส่วนตัวจริง ๆ กระทู้ตอนนี้ออกแนววิชาการหน่อย ๆ เพราะเราไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์จึงออกแนวเหมือนนักศึกษาโบราณคดีออกทริปยังไงยังงั้น เจ้าของกระทู้เป็นครูผู้สอนจึงติดการบรรยายอธิบายเรื่องราวของสถานที่ที่ไปชม กระทู้นี้จะตอบโจทย์คนชอบชมโบราณสถาน สนใจอยากลองหาที่เที่ยวอื่น ๆ และอยากชมเมืองรองของเพื่อนบ้านเรานะครับ ก่อนอื่นไปดูโปรแกรมที่ผมเที่ยวในทริปนี้ก่อนรึกัน
วันที่ 5 : เที่ยวตามล่าหาจันทิในเมืองเคดิริและเมืองบลิตาร์
เมืองเคดิริเป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งของชวาตะวันออก ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองมาลังโดยมีเทือกเขากั้นกลางแยกเมืองทั้ง 2 ออกจากกัน เดิมเมืองเคดิริเคยมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรเคดิริมาก่อน ราวปี พ.ศ. 1585 - 1765 รุ่งเรืองราว 200 ปีตรงกับช่วงอาณาจักรขอมในบ้านเราพอดี เป็นอาณาจักรฮินดู - ชวาอีกอาณาจักรหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลอารยธรรมมาจากอินเดียเหมือนกับอาณาจักรมัชปาหิตและอาณาจักรสิงหัสสาหรี
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรนี้สันนิษฐานว่าเป็นเค้าโครงที่มาของวรรณคดีอมตะเรื่อง อิเหนา ที่บ้านเรารับเข้ามาจากอินโดนีเซีย ดังนั้น จึงสันนิษฐานว่าเมืองเคดิริอาจเป็นเมืองดาหาในวรรณคดีเรื่องอิเหนา บ้านเกิดของบุษบาในท้องเรื่องนั่นเอง
วันนี้ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากโรงแรมที่พักในเมืองเคดิริไปทางตอนใต้ของเมืองเพื่อตามล่าหาจันทิที่น่าไปชมของเมืองเคดิริแล้วต่อไปยังเมืองบลิตาร์ด้วย จุดหมายแรกคือ จันทิคาลิคิลิก (Candi Kalicilik) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเคดิริราว 33 ก.ม.ได้
ถนนที่ขี่รถไปเป็นเส้นทางสายในของชุมชนทำให้ไม่ค่อยมีรถรามากเท่ากับถนนที่ผมขี่จากเมืองโมโจเกอร์โตมายังเมืองเคดิริของเมื่อวานนี้ ขี่รถเรื่อย ๆ ผ่านชุมชน เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านไปราว 1 ชั่วโมงได้ก็มาถึงจันทิแล้ว
เจอป้อมทางเข้าจันทิ เสียเงินค่าเข้าชมแล้วก็สามารถเข้าไปชมจันทิได้เลย รู้สึกค่าเข้าชมจะ 20,000 Rp. นะ ผมมาถึงจันทินี้ราว ๆ 10 โมงยังไม่ค่อยมีคนแวะเวียนมาชมกันเท่าไหร่ เจอแต่วัยรุ่นชาวอินโดคนเดียวที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตระเวนมาเที่ยวชม ดูท่าทางแล้วสไตล์คอเดียวกับผมแน่ ๆ เลยพวกชอบชมของเก่า
จันทิคาลิคิลิกเป็นจันทิขนาดเล็ก ๆ เพียงหลังเดียวที่ก่อด้วยหินสีออกแดง ๆ ดูแปลกตาไปจากจันทิอื่นที่ไปชมมา ตามประวัติบอกว่าจันทิแห่งนี้ น่าจะขึ้นราว พ.ศ. 1814 ในช่วงสมัยอาณาจักรมัชปาหิตของกษัตริย์ Tribhuwanatunggadewi โดยสร้างขึ้นในคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ไศวนิกาย เนื่องจากที่ศาสนสถานแห่งนี้ได้มีการค้นพบรูปเคารพ อคัสยะ ซึ่งเป็นฤาษีปางหนึ่งของพระศิวะนั่นเอง และคาดว่าศาสนสถานแห่งนี้คงใช้ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยอาณาจักรสิงหัสส่าหรีจึงได้รับการบูรณะต่อเติมขึ้นมาอีกครั้ง
ปัจจุบันชั้นหลังคาของเทวาลัยไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ภายในเทวาลัยก็ไม่หลงเหลือรูปเคารพที่เคยประดิษฐานอยู่เช่นเดียวกัน คงมีการเคลื่อนย้ายไปเก็บรักษาไว้ที่อื่นแล้ว สันนิษฐานว่ารูปเคารพที่น่าจะเคยอยู่ที่นี้มาก่อนคงเป็นรูปปั้นฤาษีอคัสยะ
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเวลาชมเทวาลัยนี้ก็คือ ภาพสลักรูปหน้ากาลที่อยู่กรอบประตูด้านบนทางเข้าเทวาลัย หน้ากาลตัวนี้คล้ายกับหน้ากาลที่ประดับอยู่ที่จันทิต่าง ๆ ที่ไปชมมาเมื่อวานที่เมืองโตวุลัน ในศิลปะชวาตะวันออกนิยมสร้างหน้ากาลแยกเขี้ยวยิ้มยิงฟัน โดยชูนิ้ว 2 นิ้วทั้ง 2 ข้างเหมือนท่าแอ๊คถ่ายรูปซะยังงั้น ดูคุกขิน่ารักไม่น่ากลัวเหมือนหน้ากาลในศิลปะบาหลี
ผมใช้เวลาชมที่นี่ไม่นานราว 20 นาทีได้ก็ขี่รถต่อไปยังจุดหมายอื่นต่อ นั่นคือ จันทิปะนะตะรัน (Candi Panataran)
จันทิปะนะตะรันเป็นจันทิที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจันทิคาลิคิลิกมากนัก โดยเป็นจันทิที่มีขนาดกว้างใหญ่มากที่สุดในศิลปะชวาตะวันออก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองบลิตาร์ (Blitar) โดยสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 1873 - 1997 กษัตริย์ผู้สร้างคือพระเจ้าซานากร (Rajasanagara) หรือ Hayum Wuruk จากราชวงศ์ราชสะของอาณาจักรมัชปาหิต แต่ปรากฏข้อมูลบนจารึกที่เก่าแก่ที่สุดที่พบบริเวณจันทิแห่งนี้ว่าอาจสร้างขึ้นก่อนหน้านั้นก็ได้ เพราะจารึกมีอายุอยู่ในราวปี พ.ศ.1740 อาจขึ้นโดยกษัตริย์แห่งอาณาจักรเคดิริที่มีนามว่า "ซะเรงกะ" สร้างเป็นรูปแบบศิลปะชวาตะวันออกตอนปลาย จึงทำให้จันทิแห่งนี้มีความสลับซับซ้อนมากกว่าจันทิแห่งอื่น ๆ ในชวาตะวันออก
แม้จันทิปะนะตะรันจะไม่ได้มีตัวอาคารใหญ่โตเหมือนกับจันทิอื่น ๆ ในชวาภาคกลางที่ผมเคยไปชมมาเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ก็นับเป็นจันทิที่มีอาคารประกอบค่อนข้างสมบูรณ์กว่าจันทิอื่น ๆ ที่ไปชมมาในแถบนี้ ผมไปถึงจันทินี้ก็ราวเกือบเที่ยงแล้ว แดดแรงใช้ได้เลย แต่ก็มีคนท้องถิ่นแวะเวียนมาชมไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นพวกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาเป็นรถบัสหลายคันเลย ชาวต่างชาติอย่างเราไม่ว่าเอเชียหรือฝรั่งไม่เจอแน่นอน เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแนวนี้ไม่อยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่แล้ว ยกเว้นพวกคอชอบชมโบราณสถานอย่างผม
จันทิแต่ละแห่งในชวาตะวันออกบางแห่งก็เก็บเงินค่าเข้าชม บางแห่งก็ไม่ได้เก็บแต่มีชาวบ้านละแวกนั้นมาคอยดูแลโบราณสถานให้ อย่างจันทิปะนะตะรันก็มีการเก็บเงินค่าเข้าชมแต่จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเสียค่าเข้าชมไปเท่าไหร่ ผู้เข้าชมจันทิทุกคนจะต้องเขียนข้อมูลของตนเองลงในสมุดของเค้าด้วยว่าชื่ออะไร และเดินทางมาจากเมืองใด
จันทิปะนะตะรันแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ลาน คล้ายคลึงกับแผนผังของเทวาลัยในศิลปะบาหลี ส่วนแรกที่เด่นชัดมากก็คือ จันทิองค์ใหญ่ 1 องค์ที่สูงตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าก่อนอาคารอื่น ๆ ลักษณะเป็นอาคารทรงสูงสี่เหลี่ยมแคบ ๆ มีคาดรัดอกเรือนธาตุตามแบบฉบับของศิลปะชวาตะวันออกที่ปรากฏอยู่เกือบทุกจันทิในแถบนี้ ยอดบนเว้าเข้าและซ้อนลดหลั่นเรียวขึ้นไปคล้ายกับจันทิจาวีที่ผมจะไปชมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ด้านบนเหนือกรอบประตูลงมาปรากฏภาพสลักรูปหน้ากาลตามรูปแบบศิลปะชวาตะวันออกไว้ทั้ง 4 ทิศเลย
จันทิแห่งนี้สร้างบนพื้นที่ทางลาดของภูเขาไฟกีลุด (Kelud) สันนิษฐานว่าอาจสร้างเพื่อใช้บูชาพระศิวะ เทพแห่งขุนเขาที่สถิตอยู่ที่ภูเขาไฟลูกนี้ เพื่อบวงสรวงบูชาให้เทพเจ้าคุ้มครองป้องกันภยันตรายที่อาจเกิดจากภูเขาไฟระเบิดนั่นเอง
ถัดไปในสุดจะเป็นเทวาลัยประธานของจันทิปะนะตะรัน โดยชั้นแรกของอาคารปรากฏฐานหินขนาดใหญ่ 2 ฐานสร้างไว้รองรับอาคารโถงที่สร้างด้วยไม้ ซึ่งเดิมอาคารโถงที่สร้างบนนี้คงมีไว้เพื่อใช้ในประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
อาคารหลังแปลก ๆ สี่เหลี่ยมข้างหน้าของเทวาลัยประธาน ที่คาดว่าอาจสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการปลุกเสกน้ำมนต์
บริเวณฐานอาคารปรากฏภาพสลักเรื่องราวโดยตัวบุคคลสลักคล้ายตัวหนังวายัง อันเอกลักษณ์ของศิลปะชวาตะวันออกที่แสดงความเป็นพื้นเมืองมากแล้ว เดินชมภาพสลักเพลิน ๆ เป็นอะไรที่ผมชอบมาก เพราะเราจะได้รับรู้ว่าช่างผู้สร้างนี้มีสุนทรียะอย่างไร ภาพที่เห็นเราสามารถใช้จินตนาการคิดเพลิน ๆ ได้ว่าเค้าต้องการสื่อถึงอะไร สะท้อนความเชื่อหรือวัฒนธรรมอะไรของคนในยุคนั้น ที่นี่ถือว่ามีภาพสลักต่าง ๆ ที่ยังคงคมชัดและมีให้ชมมากไม่แพ้จันทิในชวาภาคกลางเลย