ดิฉันทำงานที่บริษัท แห่งหนึ่ง เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เริ่มเข้าทำงาน 11 มิย. 50 ตามใบสมัครงานที่มี และตามสลิปเงินเดือนที่ได้ บริษัท ได้เอาบ้านมาทำเป็นออฟฟิส ส่วนในบ้าน จะมีเจ้าของบริษัท (เจ้านาย) อยู่ 1 คน และพี่สาว เจ้านาย อีก 1 คน พี่สาวทำงานข้างนอก ส่วนพนักงานในออฟฟิส จะมีแค่ 3 คน ณ ตอนนั้น คือมี เจ้านาย ดิฉัน ตำแหน่งธุรการจัดซื้อ บุคคล ส่วนอีกคน ทำบัญชี ตั้งแต่ดิฉันเข้าทำงานที่นี่มา ทางเจ้านายแจ้งว่ามีสวัสดิการอาหารกลางวัน และสวัสดิการเบิกล่วงหน้า ให้ด้วย คือ มื้อเที่ยง ดิฉันก็ดีใจ จะได้ประหยัด เพราะดิฉันมีหนี้เยอะมาก เพราะด้วยสามีอาชีพขับแท็กซี่ ซึ่งการเงินแต่ละวันไม่แน่นอน (บางครั้งก็คิดว่าอยู่ที่โชคด้วย) และสามีไม่ค่อยแข็งแรง ตอนแรกเป็นเบาหวาน ต่อมาเส้นเลือดหัวใจตีบ 3 เส้น ต้องผ่าตัดด่วน ความดัน และปลายปี 61 เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะ 3 B ต้องให้คีโม ตอนผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ ไม่ได้ขับรถแท็กซี่ ประมาณ 6 เดือน ต้องพักฟื้น และมะเร็งอีก ต้องให้คีโม ไม่ได้ขับรถเป็นปี ทุกอย่างด้านการเงินในครอบครัว คือดิฉันเป็นเสาหลัก ลูก 2 คน (ฝาแฝด) ต้องเรียน ดิฉันก็ต้องหยิบยืม หรือเบิกล่วงหน้า แล้วหักเงินเดือนทีหลัง (ช่วงเสาร์ - อาทิตย์ ดิฉันต้องหารายได้พิเศษ ทำความสะอาดบ้านที่เขาจ้าง หรือรับจ้างทำโน้นนี้) ก่อนเริ่มงานดิฉันก็แจ้งเจ้านายไว้ก่อน เผื่อเขาจะรำคาญ ถ้ามีโทร. มาถวงหนี้ หรือมีจดหมาย ว่าดิฉันมีหนี้เยอะ ดิฉันก็เข้าประกันสังคม ได้แค่ 3-6 เดือน จำไม่ได้ และได้มีจดหมายทวงหนี้ หรือบางครั้งมีโทรศัพท์ทวงหนี้ ดิฉันแจ้งเจ้านายว่าขอไปส่งประกันสังคมเองได้ไหม เพราะเริ่มรู้นิสัยเขาแล้วว่า เขาเป็นคนอารมณ์เสียบ่อย ซึ่งช่วงแรก ที่เข้าไปทำงาน (พี่สาวเขาชอบพูดว่า งานออฟฟิสไม่เห็นมีอะไรต้องทำมากมาย ช่วยกวาดบ้าน ถูบ้านด้วย บ้าน 2 ชั้น 1 ห้องพระ 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว รวมพื้นที่บ้านประมาณเกือบ 300 ตรว.) ตรงนี้ดิฉันไม่แน่ใจว่า เจ้านายสั่งให้พี่สาวพูด หรือพี่สาวเขาพูดเอง เรื่องงานบ้าน ทุกวัน ตอนเช้าไปถึง กวาดรอบบ้าน รดน้ำต้นไม้ เช็ดตามโต๊ะทำงาน (อาทิตย์ละครั้ง) เอาขยะที่เขาเอามาโยนในห้องกาแฟทั้งหมดไปทิ้งและคอยดูว่าผ้าในตระกร้าเจ้านายเต็มหรือยัง หากเต็ม ก็เอาใส่เครื่องซักผ้า และไปตาก ช่วงเย็นก่อนกลับบ้านก็เก็บผ้าไว้ในบ้าน ชงกาแฟให้เจ้านาย ช่วงใกล้เที่ยง ต้องไปหุงข้าว ทำกับข้าว กินข้าว เก็บจานมาล้างเช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย เอาข้าวให้หมา ไม่มีเวลาพักเลย ถึงได้มานั่งโต๊ะช่วงบ่าย (และในหนึ่งสัปดาห์ ต้องกวาดบ้านถูบ้าน โดยดิฉันใช้เวลาตั้งแต่ บ่ายโมงเกือบ 5 โมงเย็นถึงจะเสร็จ) ทำทุกวัน ดิฉันอดทนทำงานบ้านมา เกือบ 10 ปี มันเหนื่อย เวลาขึ้นเงินเดือนก็ต้องขอ แต่คนอื่นปรับให้เลย โมโหอะไรมาก็มาลงกับดิฉัน ไม่มีเงินพิเศษอะไรให้เลย เหมือนดิฉันไม่มีคุณค่า ในสายตาเขาเลย ซึ่งดิฉันก็ทำงานแต่ในออฟฟิสตลอด ไม่เคยอยู่ไซด์เลยตั้งแต่ ปี 50 ประมาณ ปี 60 ดิฉันไม่ไหวแล้ว ที่ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ทุกอย่าง จนเกิดความเครียด กระทั่งต้องไปพบหมอจิตแพทย์ ด้วยความเครียด และดิฉันเลยตัดสินใจไปบอกเจ้านายว่า ไม่ขอทำงานบ้านแล้ว อาการของเจ้านายก็ยิ่งชัดเจนขึ้น และเจ้านายก็แจ้ง ไม่มีสวัสดิการอะไรแล้วนะ ในบริษัท ต่อไปนี้ ดิฉันก็ต้องซื้อข้าวมากินเอง ช่วงเที่ยง ดิฉันก็ต้องอดทน เพื่อครอบครัว ดิฉันทำงานที่นี่ตั้งแต่ลูกอยู่ ป.3 ตอนนี้ ลูกอยู่มหาลัย ปี 3 ดิฉันก็ทำงานแต่ในออฟฟิส คอยประสานงานหน่วยงานต่างๆ จัดซื้อสินค้าต่าง ๆ เพราะตอนนั้นไซด์อยู่ที่ จ. เลย และที่ อ. ศาลายา ต่อมาต้นปี 62 บ. ประมูลงานได้ 2 งาน งานใหญ่ อยู่ที่กรุงเทพฯ หนองจอก 1 งาน และ อ. ศาลายา 1 งาน ดิฉันโดนไปอยู่ที่ไซด์งานหนองจอก โดยไปวันที่ 17 ตค.62 ด้วยที่ดิฉันไม่เคยอยู่ไซด์งานมาเลย ก็ต้องถามน้อง เขาว่า ต้องทำอะไรก่อน มีอะไรให้พี่ช่วยไหม อาทิตย์แรก ในไซด์ก็ปกติ พอต่อมาอาทิตย์ที่ 2 รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของไซด์งาน คนที่เคยพูดด้วย สนิทกัน กลับบ้านด้วยกันทุกวัน เริ่มมีอาการ ไม่พูดด้วย ถามคำ ตอบคำ ถามว่ามีงานอะไรให้พี่ช่วยไหม บอกไม่มี ดิฉันถามเกือบทุกวัน ก็บอกว่าไม่มี ดิฉันรู้สึกได้ว่ามันแปลกไปมาก ดิฉันต้องนั่ง ด้วยแรงกดดัน โดยไม่มีใครพูดด้วย ไม่มีงานทำ ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 62 ประมาณกลางเดือน พย. 62 ดิฉันได้โทร. หาเจ้านายว่าขอกลับไปอยู่ที่ออฟฟิสได้ไหม เพราะที่นี่ไม่มีงาน เจ้านายก็บอกว่า ไม่ต้องมา จนถึงวันที่ 2 ธค. 62 ช่วงบ่าย เห็นเจ้านายมา นั่งอยู่ และเห็นซองขาวอยู่บนโต๊ะ จ่าหน้าซองชื่อดิฉัน ดิฉันเปิดดู จม. เลิกจ้าง ลงวันที่ 29 พย. 62 และให้มีผลในวันที่ 31 ธค. 62 ดิฉันตกใจ และเสียใจมาก ดิฉันเลยถามเจ้านายว่ากี่คนที่ได้รับจดหมายเลิกจ้าง เขาบอกหลายคน พนักงานในออฟฟิสมีประมาณ 7 คน ถามไปถามมา บอกดิฉันคนเดียว โดยให้เหตุผลที่ว่า เศรษฐกิจบริษัทตกต่ำ ดิฉันเลยถามเจ้านายว่า ทำไมเศรษฐกิจตกต่ำ แล้วให้ดิฉันออกคนเดียว เจ้านายก็พูดปัดไปปัดมา ดิฉันก็นั่งอดทนจนถึงวันที่ 25 ธค. 62 โดยในระหว่างนั้น ใช้สิทธิ์ลาป่วย ลาพักร้อนบ้าง เพราะบ.นี้ ไม่ค่อยให้ลา (ขนาดดิฉันวูปล้มหัวกระแทกขอบชักโครก ไลน์ไปลากับเจ้านาย และโทร.ไปลาที่ออฟฟิส ฝากแจ้งเจ้านาย เพราะหมอต้องให้นอนดูอาการ 24 ชม. ดิฉันปวดหัวมาก ก่อนเที่ยง มีโทรศัพท์จากออฟฟิส โทร.เข้ามือถือดิฉัน น้องเขาแจ้งว่า พี่ เจ้านายบอกว่าให้ออกจาก รพ. ถ้าช่วงบ่ายพี่ยังไม่เข้าออฟฟิส ก็ให้ออกไปเลย ไม่ต้องมาทำงานแล้ว ช่วงหลังคำว่าให้ออกจะได้ยินบ่อยมาก) โดยช่วงบ่าย วันที่ 25 ธ.ค. 62 วิศวกรไซด์งาน ได้แจ้งขอเช็คแฟตไดร์ว่า ได้เอาเอกสารของบริษัท ออกไปหรือไม่ ตรวจโน้น ตรวจนี้ และให้น้องที่ออฟฟิส ตรวจอีกครั้ง พอเสร็จ ประมาณ บ่ายสองกว่า ก็บอกให้ดิฉันกลับบ้านได้ และไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว เงินจะเข้าให้วันที่ 27 ธค. 62 และไซด์ ก็จะปิดวันที่ 27 ธค. 62 พอวันที่ 27 ธค.62 ไม่มีเงินชดเชย นอกจากเงินเดือน ดิฉันจึงไปแจ้งที่ สนง.สวัสดิการคุ้มครองแรงงานเขตพื้นที่ 10 ในวันที่ 2 มค. 63 และวันที่ 4 มค. 63 เจ้านายก็โทร. มาหา และใช้คำพูดที่ติดอยู่ในใจดิฉันว่า จะเล่นกับพี่ใช่ไหม ดิฉันเงียบ เจ้านายก็วางสายไป และวันที่ 7 มีค. 63 คำสั่งก็ออก โดยนายจ้างต้องจ่ายให้ดิฉัน 10 เดือน และค่าบอกล่าวอีก 1 เดือน พร้อมดอกเบี้ยทั้งสองรายการ และวันที่ 19 มีค. 63 ทนายของเจ้านาย (นายจ้าง) นัดกันไปไกล่เกลี่ยงที่เขตพื้นที่ 10 เจ้านายถามจะเอาเท่าไร ดิฉันบอกว่าตามคำสั่งค่ะ เจ้านายบอกไม่มีจ่าย ไปเจอกันที่ศาลฯ แล้วกัน พูดวกวน แต่เรื่อง พี่ก็ไม่เคยค้างเงินเดือนเลยนะ ให้ทุกเดือน ดิฉันก็บอกว่า ก็เป็นหน้าที่ของพี่ ดิฉันก็เป็นพนักงาน ทำงานก็ต้องได้รับเงินเดือน พี่ไม่อยากทำบาปนะ ใบเลิกจ้างบอกเศรษฐกิจบริษัทตกต่ำ แต่ใบคำสั่งนายจ้างให้การว่า 1. ลูกจ้างไม่มีความสามารถในการทำงาน 2. ลูกจ้างนำเอกสารข้อมูลออกนอกบริษัท โดยพลการ 3. ลูกจ้างมีปัญหาส่วนตัวทำให้มีผลกระทบการทำงานลูกจ้างท่านอื่น 4. ลูกจ้างได้มาขอยืมเงิน 80,000 บ (ดิฉันสงสัยมาก ตอนไหน เพราะโดยส่วนตัว ให้เงินคนยาก) ถึงตอนนี้ ดิฉันคงรอหมายศาล เพราะได้โทร. ไปสอบถามเจ้าหน้าที่บอก ต้องรอคงไม่เกินกลางเดือนเมษายน 63 ตอนนี้ ดิฉันลำบากมาก ตั้งแต่โดนเลิกจ้าง ไปสมัครงานที่ไหน ก็ไม่มีใครรับ และมาเจอโควิดอีก และแฟนก็ไม่กล้าขับรถแท็กซี่ เพราะเขามีโรคประจำตัว และอีกอย่างรายจ่ายของลูก ค่าหอ ค่ากิน ดิฉันไม่คิดเลย นายจ้างรู้เรื่องดิฉันทุกอย่างโดยละเอียดว่าดิฉันลำบาก มีหนี้สิน แต่เขามาทำแบบนี้กับครอบครัว 4 ชีวิตได้อย่างไร คนที่เคยดูหน้าตา เป็นคนใจบุญ แต่กลับมาเชือดนิ่ม ๆ ทำไมไม่คิดยามที่ท่านไม่สบาย ใครที่เป็นคนดูแล เพราะพี่สาวเขากลัว เพราะตอนนั้น ต้องแยกจาน ชาม ช้อน เพราะเจ้านายเป็นไวรัสตับอับเสบ 10 กว่าปี ที่อยู่ด้วยกันมา เราไม่เคยมีคุณค่า ใช่พอหมดความหมายก็ทำแบบนี้ ทำแบบนี้มา 3 คนแล้ว ดิฉันเป็น รายที่ 4 ดิฉันไม่คิดว่าจะมีวันนี้สำหรับดิฉัน แต่ดิฉันพูดความจริงทุกอย่าง ทุกวันนี้ ดิฉันไหว้พระขอให้ดิฉันได้เงิน xxx,xxx ตามคำสั่ง หรืออาจจะน้อยกว่าสักนิดก็ได้ เพราะดิฉันไม่มีทางออกมาก ในอาชีพใหม่ จะได้เอาไปใช้หนี้ที่ยืมมา และต้องมีทุนเพื่อหาอาชีพใหม่ทำ คงไม่มีใครรับทำงานบริษัทฯ แล้ว ด้วยอายุที่เยอะ 48 ปี ขอบคุณมากค่ะ ที่อ่านจนจบ ช่วยเป็นกำลังใจให้ดิฉันด้วยนะคะ
โดนเลิกจ้าง นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย เตรียมขึ้นศาลต้องทำอย่างไรคะ