พท.จวกรัฐบาล แก้ปัญหาไข่แพง เหมือนหน้ากากอนามัย ไล่จับแต่รายย่อย
https://www.khaosod.co.th/politics/news_3834996
เพื่อไทย วิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาราคาไข่แพงของรัฐบาล
วันที่ 27 มี.ค. น.ส.
จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด ฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาไข่ไก่ราคาแพงในช่วงวิกฤตโควิด19 ว่า
ส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวของรัฐบาล แต่กลับเลือกไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไล่จับพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย เป็นการบริหารจัดการที่ไม่ต่างจากปัญหาหน้ากากอนามัย ที่ไล่จับรายเล็กแต่ไม่จัดการรายใหญ่ที่กักตุน
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกไข่ไก่ ระบุว่าภาพรวมไข่ไก่ในปี 2562 ไทยผลิตไข่ไก่ได้ราว 14,807 ล้านฟอง ส่งออก 418 ล้านฟอง หรือคิดเป็นร้อยละ 2.82 ของการผลิตทั้งหมด เฉลี่ยไทยสามารถผลิตไข่ไก่ได้ราววันละ 40-41 ล้านฟอง ใช้บริโภคภายในประเทศวันละประมาณ 39 ล้านฟอง แต่ละวันจะมีไข่ไก่คงเหลือ 1-2 ล้านฟอง
ปีนี้ปริมาณการผลิตน่าจะไม่ต่างจากปีที่แล้วมากนัก และยังมีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เพิ่มตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ทำให้ปริมาณการผลิตในประเทศน่าจะเพียงพอต่อการบริโภค
น.ส.
จิราพร กล่าวต่อว่า ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้ไข่ไก่มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เกิดจากภาวะสินค้าขาดตลาด แต่มีข้อสังเกตว่าเกิดจากการบริหารจัดการของรัฐบาลที่ปล่อยให้รายใหญ่มีอำนาจทางการตลาด จนชี้นำให้ราคาไข่ไก่ในตลาดสูงขึ้น
รวมทั้งปล่อยให้กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มีอิทธิพลต่อปัจจัยการผลิต จนเกษตรกรไม่มีอำนาจในการต่อรอง จะเห็นได้ว่าเมื่อไข่ไก่ราคาถูกเกษตรกรก็รับผลกระทบ แต่พอไข่แพงเกษตรกรก็ถูกควบคุมที่หน้าฟาร์ม ซึ่งทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำด้านต้นทุนที่สูง
ในสถานการณ์เช่นนี้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยบางรายก็จำเป็นต้องขึ้นราคาขายปลีกเพราะราคาขายส่งปรับตัวสูงขึ้น รัฐต้องเข้าไปดูต้นตอของปัญหาว่าเหตุที่พ่อค้าแม่ค้าขายปลีกไข่ไก่ในราคาสูงขึ้น เกิดจากปัญหาใด ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุโดยจับกุมพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐต้องเข้าไปตรวจสอบกลไกราคาที่ผิดปกติ ตั้งแต่ต้นทุนฟาร์ม การผลิต พ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าส่งและค้าปลีกรายใหญ่ เพื่อไม่ให้เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย และผู้บริโภคต้องรับภาระในสถานการณ์วิกฤตขณะนี้
“
ขอให้รัฐบาลทบทวนการบริหารจัดการสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงวิกฤตโควิด-19 ให้ดี โดยเฉพาะกรณีไข่ไก่ซึ่งเป็นอาหารพื้นฐานของคนทุกระดับ อย่าให้พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกรรายย่อย กลายเป็นแพะรับบาป แต่ขอให้จริงจังกับการแก้ปัญหาในระยะยาวทั้งระบบ โดยเฉพาะที่ต้นตอของปัญหาด้านการผลิต และกลไกทางการตลาด อย่าบริหารจัดการเหมือนกรณีหน้ากากอนามัยจนขาดตลาด ไล่จับแค่รายย่อย แต่รายใหญ่ยังลอยนวล” น.ส.
จิราพร กล่าว
“จักรพล”จี้ผู้เกี่ยวข้องแก้ปัญหาอุปกรณ์ป้องกันตนขาดแคลน
https://www.innnews.co.th/politics/news_631197/
นาย
จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึง สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อปกป้องประชาชนให้ดีที่สุด ล่าสุดเดินทางไปที่โรงพยาบาลสันกำแพง ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ให้โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นศูนย์รักษาโควิด-19 ของเชียงใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องดีจะสามารถป้องกันการแพร่ของกระจายเชื้อได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ปัญหาเรื่องอุปกรณ์ในการป้องกันตัวของทั้งแพทย์และประชาชนขาดแคลนมาก อยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา
ส่วน กรณีที่รัฐบาลออกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ก็มีข้อดี เพราะจะเป็นเครื่องมือในการทำงานให้กับรัฐบาล ในการสู้กับการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 รัฐต้องไม่สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีกับผู้ที่ติดเชื้อ ควรให้คำแนะนำผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงให้ได้รับการตรวจและพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ก็จะสามารถหยุดหรือชะลอการแพร่เชื้อได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ จากที่ได้พูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์หลายๆแห่งพบว่าบุคลากรเหล่านี้ตั้งใจจะรักษาผู้ป่วยให้ดีที่สุด มีใจที่จะสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ด้วยความไม่พร้อมของรัฐส่งผลให้แพทย์และพยาบาลท้อมาก แต่ยืนยันว่าหากมีอุปกรณ์พร้อมเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ก็พร้อมที่จะเสียสละทั้งชีวิตให้กับการดูแลผู้ป่วยให้ดีทีสุด
JJNY : พท.จวกรัฐแก้ไข่แพง ไล่จับรายย่อย/จักรพลจี้แก้ปัญหาอุปกรณ์/อีก2สัปดาห์ยอดโควิดพุ่ง/จี้รัฐรักษาระดับความเชื่อมั่น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_3834996
วันที่ 27 มี.ค. น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด ฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาไข่ไก่ราคาแพงในช่วงวิกฤตโควิด19 ว่า
ส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวของรัฐบาล แต่กลับเลือกไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไล่จับพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย เป็นการบริหารจัดการที่ไม่ต่างจากปัญหาหน้ากากอนามัย ที่ไล่จับรายเล็กแต่ไม่จัดการรายใหญ่ที่กักตุน
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกไข่ไก่ ระบุว่าภาพรวมไข่ไก่ในปี 2562 ไทยผลิตไข่ไก่ได้ราว 14,807 ล้านฟอง ส่งออก 418 ล้านฟอง หรือคิดเป็นร้อยละ 2.82 ของการผลิตทั้งหมด เฉลี่ยไทยสามารถผลิตไข่ไก่ได้ราววันละ 40-41 ล้านฟอง ใช้บริโภคภายในประเทศวันละประมาณ 39 ล้านฟอง แต่ละวันจะมีไข่ไก่คงเหลือ 1-2 ล้านฟอง
ปีนี้ปริมาณการผลิตน่าจะไม่ต่างจากปีที่แล้วมากนัก และยังมีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เพิ่มตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ทำให้ปริมาณการผลิตในประเทศน่าจะเพียงพอต่อการบริโภค
น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้ไข่ไก่มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เกิดจากภาวะสินค้าขาดตลาด แต่มีข้อสังเกตว่าเกิดจากการบริหารจัดการของรัฐบาลที่ปล่อยให้รายใหญ่มีอำนาจทางการตลาด จนชี้นำให้ราคาไข่ไก่ในตลาดสูงขึ้น
รวมทั้งปล่อยให้กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มีอิทธิพลต่อปัจจัยการผลิต จนเกษตรกรไม่มีอำนาจในการต่อรอง จะเห็นได้ว่าเมื่อไข่ไก่ราคาถูกเกษตรกรก็รับผลกระทบ แต่พอไข่แพงเกษตรกรก็ถูกควบคุมที่หน้าฟาร์ม ซึ่งทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำด้านต้นทุนที่สูง
ในสถานการณ์เช่นนี้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยบางรายก็จำเป็นต้องขึ้นราคาขายปลีกเพราะราคาขายส่งปรับตัวสูงขึ้น รัฐต้องเข้าไปดูต้นตอของปัญหาว่าเหตุที่พ่อค้าแม่ค้าขายปลีกไข่ไก่ในราคาสูงขึ้น เกิดจากปัญหาใด ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุโดยจับกุมพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐต้องเข้าไปตรวจสอบกลไกราคาที่ผิดปกติ ตั้งแต่ต้นทุนฟาร์ม การผลิต พ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าส่งและค้าปลีกรายใหญ่ เพื่อไม่ให้เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย และผู้บริโภคต้องรับภาระในสถานการณ์วิกฤตขณะนี้
“ขอให้รัฐบาลทบทวนการบริหารจัดการสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงวิกฤตโควิด-19 ให้ดี โดยเฉพาะกรณีไข่ไก่ซึ่งเป็นอาหารพื้นฐานของคนทุกระดับ อย่าให้พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกรรายย่อย กลายเป็นแพะรับบาป แต่ขอให้จริงจังกับการแก้ปัญหาในระยะยาวทั้งระบบ โดยเฉพาะที่ต้นตอของปัญหาด้านการผลิต และกลไกทางการตลาด อย่าบริหารจัดการเหมือนกรณีหน้ากากอนามัยจนขาดตลาด ไล่จับแค่รายย่อย แต่รายใหญ่ยังลอยนวล” น.ส.จิราพร กล่าว
“จักรพล”จี้ผู้เกี่ยวข้องแก้ปัญหาอุปกรณ์ป้องกันตนขาดแคลน
https://www.innnews.co.th/politics/news_631197/
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึง สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อปกป้องประชาชนให้ดีที่สุด ล่าสุดเดินทางไปที่โรงพยาบาลสันกำแพง ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ให้โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นศูนย์รักษาโควิด-19 ของเชียงใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องดีจะสามารถป้องกันการแพร่ของกระจายเชื้อได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ปัญหาเรื่องอุปกรณ์ในการป้องกันตัวของทั้งแพทย์และประชาชนขาดแคลนมาก อยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา
ส่วน กรณีที่รัฐบาลออกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ก็มีข้อดี เพราะจะเป็นเครื่องมือในการทำงานให้กับรัฐบาล ในการสู้กับการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 รัฐต้องไม่สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีกับผู้ที่ติดเชื้อ ควรให้คำแนะนำผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงให้ได้รับการตรวจและพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ก็จะสามารถหยุดหรือชะลอการแพร่เชื้อได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ จากที่ได้พูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์หลายๆแห่งพบว่าบุคลากรเหล่านี้ตั้งใจจะรักษาผู้ป่วยให้ดีที่สุด มีใจที่จะสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ด้วยความไม่พร้อมของรัฐส่งผลให้แพทย์และพยาบาลท้อมาก แต่ยืนยันว่าหากมีอุปกรณ์พร้อมเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ก็พร้อมที่จะเสียสละทั้งชีวิตให้กับการดูแลผู้ป่วยให้ดีทีสุด