ช่วงนี้ต้องหอบงานมาทำที่บ้าน (work from home) เป็นคำสั่งบริษัทเพื่อสนองนโยบายรัฐบาลว่าด้วยการป้องการแพร่ระบาดของไวรัส รุ้สึกเหงากว่าตอนนั่งทำงานในออฟฟิทเป็นไหนๆ วันนี้เลยขอตั้งอีกสักกระทู้
-----------------------------------------
โรคระบาดครั้งที่รุนแรงที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ของเราเกิดขึ้นช่วงปลายรัชสมัยร.๒ คนตายเหยียบสามหมื่น บันทึกไว้ว่าเผาวันละ 690 ศพ ในสามวัดคือ วัดสระเกศ วัดเลียบ และวัดบพิตรพิมุข เผาไม่ทันจนต้องทิ้งศพเกลื่อนกลาดจนเกิดตำนาน "แร้งวัดสระเกศ" ที่มารุมทึ้งศพ!! แต่ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องพระสงฆ์ต้องชวดตำแหน่ง "สังฆราช" ชนิดเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว
ขอเริ่มที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์หรือวัดพระศรีสรรเพชญ์เดิม ผมเคยเล่าไปคราวที่แล้วว่าวัดมหาธาตุคือ "ศูนย์กลาง" ของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นธรรมเนียมโบราณว่าพระรูปไหนที่ได้รับการสถาปนาเป็นสังฆราชแล้วต้องมาประทับที่วัดแห่งนี้ (ต่อมาเมื่อเกิดธรรมยุตินิกายประเพณีก็ถูกเปลี่ยนไป) สำหรับพระ "แคนดิเดต" ที่จะได้รับสถาปนาเป็นพระสังฆราชนั้น ต้องเป็นพระราชาคณะชั้น "สมเด็จ" หรือชั้น "สุพรรณบัตร" เหมือนแคนดิเดตตำแหน่งโป๊ปแห่งวาติกันต้องมีสถานะเป็น "พระคาดินัล" ต่างกันที่ตำแหน่งโป๊ปจะมีการโหวตลงคะแนน แต่ตำแหน่งพระสังฆราชไทยพระเจ้าแผ่นดินจะทรงเลือกด้วยพระองค์
ตำแหน่ง "สมเด็จ" มีพอประมาณอย่างที่เราคุ้นหูเช่น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, พุฒาจารย์, ญาณสังวร, ชินวงศ์, มหาวีรวงศ์, ธีรญาณมุนี ฯลฯ แต่ตำแหน่งที่ถือว่าเป็น "ตัวเต็ง" ที่จ่อคิวจะขึ้นเป็นสังฆราชแบบแน่ๆ ยิ่งกว่าแช่แป้งเลยก็คือ "สมเด็จพนรัตน์" และรองมาอาจจะเป็น "สมเด็นพุทธโฆษาจารย์" ในสมัยนั้นหากพระรูปไหนได้รับตำแหน่งสมเด็จพระพนรัตน์แล้วก็เตรียมตัวรับพัดยศสังฆราชแล้วเสด็จไปประทับที่วัดมหาธาตุเลย ซึ่งในปีพ.ศ 2359 สมเด็จพระพนรัตน์ (ชื่อเดิมว่า "มี") จากวัดเลียบได้รับการสถาปนาขั้นเป็นพระสังฆราช จากนั้น "พระพิมลธรรม" (ชื่อเดิม "อาจ") ที่วัดสระเกศก็ได้รับช่วงได้รับการโปรดเกล้าให้สถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระพนรัตน์" ต่อ
ต่อมา เมื่อสมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์ไป ร.๒ ก็ทรงมีพระประสงค์ที่จะตั้ง "สมเด็จพระพนรัตน์ (อาจ)" ขึ้นเป็นสังฆราชแทน จึงได้จัดพิธีแห่ "ว่าที่สมเด็จพระสังฆราช" องค์ที่ ๔ ของไทยมาประทับที่วัดมหาธาตุล่วงหน้าเลยทีเดียว ประจวบเหมาะกับช่วงนั้น "อหิวตกโรค" กำลังแพร่ระบาดหนักจึงได้มีการเลื่อนพิธีสถาปนาสมเด็จพระพนรัตน์ (อาจ) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชไปก่อน ถึงคราวเคราะห์หามยามร้าย ในระหว่างที่รอ... จู่ๆ สมเด็จพระพนรัตน์ก็โดนครหาว่าต้องปาราชิก !! และมีการไต่สวนแล้วก็คะเนว่ามีมูล ซึ่งเจ้าตัวเองก็กึ่งยอมรับครึ่งหนึ่งไม่ยอมรับครึ่งหนึ่ง คณะผู้พิพากษาก็ได้ทำการปลดสมเด็จพระพนรัตน์แล้วอาราธนานิมนต์ให้ออกจากวัดมหาธาตุให้ไปอยู่วัดบ้านนอกชายขอบพระนครคือวัดไทรทอง (ปัจจุบันคือวัดเบญจมบพิตร ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นพื้นที่ชายขอบพระนครอยู่ ส่วนบริเวณแถวๆ เขตปทุมนั้นเขาถือว่าเป็นเขตไกลปืนเที่ยงเพราะไม่ได้ยินเสียงปืนที่ยิงตอนเที่ยงเพื่อบอกเวลาที่เขตพระนคร) นี่แหละครับ...โบราณเขาว่าแข่งเรือพายแข่งได้แข่งวาสนาแข่งลำบาก อีกไม่กี่เดือนก็จะได้เป็นสังฆราชแท้ๆ เชียวก็จะก้าวขึ้นเป็นสังฆราช สังฆราชาแห่งราชอาณาจักรสยาม กลับมาถูกปลดกราวเดียวมาเป็นพระภิกษุหลวงตาธรรมดาๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปล. การเมืองและคณะสงฆ์ในช่วงนั้นหากเป็นเรียกภาษาวัยรุ่นก็บอกว่าแรงส์! มั่กๆ เลยล่ะขอรับ บางยุคมีการจับพระสึกที่เดียวเหยียบ 500 รูป บางยุคพระผู้ใหญ่ระดับพระราชาคณะและพระมหาเปรียญธรรมสูงๆ ก็พร้อมใจกันลาสิกขาประชดเกมส์การเมืองจากฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรก็มี ถึงขั้นมีการออกกฏห้ามพระสึกแบบกลายๆ เลยทีเดียว จนเป็นธรรมเนียมมาถึงทุกวันนี้ว่าหากระดับพระราชาคณะและมหาเปรียญเอกจะสึกก็ต้องมาขอพระบรมราชานุญาตเสียก่อน ถ้ามีเวลา...ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังเด้อ
....เป็นเพราะโรคระบาด เลยพลาดตำแหน่ง "สังฆราช"...../วชรน
-----------------------------------------
โรคระบาดครั้งที่รุนแรงที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ของเราเกิดขึ้นช่วงปลายรัชสมัยร.๒ คนตายเหยียบสามหมื่น บันทึกไว้ว่าเผาวันละ 690 ศพ ในสามวัดคือ วัดสระเกศ วัดเลียบ และวัดบพิตรพิมุข เผาไม่ทันจนต้องทิ้งศพเกลื่อนกลาดจนเกิดตำนาน "แร้งวัดสระเกศ" ที่มารุมทึ้งศพ!! แต่ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องพระสงฆ์ต้องชวดตำแหน่ง "สังฆราช" ชนิดเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว
ขอเริ่มที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์หรือวัดพระศรีสรรเพชญ์เดิม ผมเคยเล่าไปคราวที่แล้วว่าวัดมหาธาตุคือ "ศูนย์กลาง" ของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นธรรมเนียมโบราณว่าพระรูปไหนที่ได้รับการสถาปนาเป็นสังฆราชแล้วต้องมาประทับที่วัดแห่งนี้ (ต่อมาเมื่อเกิดธรรมยุตินิกายประเพณีก็ถูกเปลี่ยนไป) สำหรับพระ "แคนดิเดต" ที่จะได้รับสถาปนาเป็นพระสังฆราชนั้น ต้องเป็นพระราชาคณะชั้น "สมเด็จ" หรือชั้น "สุพรรณบัตร" เหมือนแคนดิเดตตำแหน่งโป๊ปแห่งวาติกันต้องมีสถานะเป็น "พระคาดินัล" ต่างกันที่ตำแหน่งโป๊ปจะมีการโหวตลงคะแนน แต่ตำแหน่งพระสังฆราชไทยพระเจ้าแผ่นดินจะทรงเลือกด้วยพระองค์
ตำแหน่ง "สมเด็จ" มีพอประมาณอย่างที่เราคุ้นหูเช่น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, พุฒาจารย์, ญาณสังวร, ชินวงศ์, มหาวีรวงศ์, ธีรญาณมุนี ฯลฯ แต่ตำแหน่งที่ถือว่าเป็น "ตัวเต็ง" ที่จ่อคิวจะขึ้นเป็นสังฆราชแบบแน่ๆ ยิ่งกว่าแช่แป้งเลยก็คือ "สมเด็จพนรัตน์" และรองมาอาจจะเป็น "สมเด็นพุทธโฆษาจารย์" ในสมัยนั้นหากพระรูปไหนได้รับตำแหน่งสมเด็จพระพนรัตน์แล้วก็เตรียมตัวรับพัดยศสังฆราชแล้วเสด็จไปประทับที่วัดมหาธาตุเลย ซึ่งในปีพ.ศ 2359 สมเด็จพระพนรัตน์ (ชื่อเดิมว่า "มี") จากวัดเลียบได้รับการสถาปนาขั้นเป็นพระสังฆราช จากนั้น "พระพิมลธรรม" (ชื่อเดิม "อาจ") ที่วัดสระเกศก็ได้รับช่วงได้รับการโปรดเกล้าให้สถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระพนรัตน์" ต่อ
ต่อมา เมื่อสมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์ไป ร.๒ ก็ทรงมีพระประสงค์ที่จะตั้ง "สมเด็จพระพนรัตน์ (อาจ)" ขึ้นเป็นสังฆราชแทน จึงได้จัดพิธีแห่ "ว่าที่สมเด็จพระสังฆราช" องค์ที่ ๔ ของไทยมาประทับที่วัดมหาธาตุล่วงหน้าเลยทีเดียว ประจวบเหมาะกับช่วงนั้น "อหิวตกโรค" กำลังแพร่ระบาดหนักจึงได้มีการเลื่อนพิธีสถาปนาสมเด็จพระพนรัตน์ (อาจ) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชไปก่อน ถึงคราวเคราะห์หามยามร้าย ในระหว่างที่รอ... จู่ๆ สมเด็จพระพนรัตน์ก็โดนครหาว่าต้องปาราชิก !! และมีการไต่สวนแล้วก็คะเนว่ามีมูล ซึ่งเจ้าตัวเองก็กึ่งยอมรับครึ่งหนึ่งไม่ยอมรับครึ่งหนึ่ง คณะผู้พิพากษาก็ได้ทำการปลดสมเด็จพระพนรัตน์แล้วอาราธนานิมนต์ให้ออกจากวัดมหาธาตุให้ไปอยู่วัดบ้านนอกชายขอบพระนครคือวัดไทรทอง (ปัจจุบันคือวัดเบญจมบพิตร ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นพื้นที่ชายขอบพระนครอยู่ ส่วนบริเวณแถวๆ เขตปทุมนั้นเขาถือว่าเป็นเขตไกลปืนเที่ยงเพราะไม่ได้ยินเสียงปืนที่ยิงตอนเที่ยงเพื่อบอกเวลาที่เขตพระนคร) นี่แหละครับ...โบราณเขาว่าแข่งเรือพายแข่งได้แข่งวาสนาแข่งลำบาก อีกไม่กี่เดือนก็จะได้เป็นสังฆราชแท้ๆ เชียวก็จะก้าวขึ้นเป็นสังฆราช สังฆราชาแห่งราชอาณาจักรสยาม กลับมาถูกปลดกราวเดียวมาเป็นพระภิกษุหลวงตาธรรมดาๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปล. การเมืองและคณะสงฆ์ในช่วงนั้นหากเป็นเรียกภาษาวัยรุ่นก็บอกว่าแรงส์! มั่กๆ เลยล่ะขอรับ บางยุคมีการจับพระสึกที่เดียวเหยียบ 500 รูป บางยุคพระผู้ใหญ่ระดับพระราชาคณะและพระมหาเปรียญธรรมสูงๆ ก็พร้อมใจกันลาสิกขาประชดเกมส์การเมืองจากฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรก็มี ถึงขั้นมีการออกกฏห้ามพระสึกแบบกลายๆ เลยทีเดียว จนเป็นธรรมเนียมมาถึงทุกวันนี้ว่าหากระดับพระราชาคณะและมหาเปรียญเอกจะสึกก็ต้องมาขอพระบรมราชานุญาตเสียก่อน ถ้ามีเวลา...ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังเด้อ