เ พ รี ย ก เ พี ย ง ก า ล บทที่ 1

เพรียกเพียงกาล
ณ พิชา
 
บทที่ 1   

              ขณะนี้แม้จะเป็นเวลาคล้อยบ่ายที่ท้องฟ้าควรจะสว่างสดใสไปด้วยสีฟ้าปะปนกับก้อนเมฆ แต่ด้วยอิทธิพลมรสุมพาดผ่านทำให้ท้องฟ้าเบื้องบนปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึนเป็นวงกว้าง ส่วนเบื้องล่างบนทางหลวงชนบทที่ตัดผ่านท้องทุ่ง รถเก๋งสีเงินสภาพกลางเก่ากลางใหม่กำลังแล่นฉิวไปบนถนนโล่ง ก่อนจะค่อยชะลอเมื่อถึงทางสามแยก แล้วกระจกฝั่งคนขับก็ลู่ลงพร้อมกับร่างสูงโปร่งของหญิงสาวที่เอื้อมตัวมาเพื่อเพ่งมองป้ายบอกทางที่ติดอยู่ตรงทางแยกนั้น

บ้านดงจำปี เลี้ยวซ้าย

              หญิงสาวผู้อยู่หลังพวงมาลัยรถหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาเช็คระยะกับระบบนำทางให้แน่ใจ  ผมยาวถูกรวบม้วนอย่างลวกๆ แต่ก็ไม่ลืมจะปักปิ่นไม้เอาไว้ให้อยู่ทรง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองทุกเส้นทางให้แน่ใจว่าไม่มีรถสวนมา จึงค่อยเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางซ้ายอย่างระมัดระวัง
          
    จู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่วางไว้ตรงแท่นด้านหน้าก็ส่งเสียงร้อง เธอจึงกดรับพร้อมกับใช้ระบบลำโพงเพราะไม่สามารถยกตัวเครื่องมากดรับได้ดั่งที่ควร
            
  “มันตา เธอไปไหน? อย่าบอกนะว่าไปหมู่บ้านอะไรนั่นแล้ว” เสียงชายหนุ่มปลายสายถามอย่างติดจะโวย
              
“อือ ก็วันนี้นายไม่ว่างนี่ แต่ฉันว่างแล้วก็อยู่ไม่ไกล ฉันก็มาก่อนสิ” คำรับไม่รู้ไม่ชี้
              
“ก็ฉันบอกเธอไงว่ารอไปพรุ่งนี้พร้อมกันก็ได้ งานด่วนมากรึไงถึงไม่รอไปด้วยกัน” ฝ่ายตรงข้ามบ่นอุบ 
            
  “ก็ฉันอยู่ใกล้ ไปไม่ยากหรอก อีกอย่างก็มีทีมสำรวจนำร่องไปแล้ว ฉันจะไปดูลาดเลาก่อนก็คงจะดี ส่วนนักธรณีวิทยาอย่างนายค่อยตามมาก็ได้” 

“เออ ใจร้อนเหมือนกันนะเธอนี่ เพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่ถึงเดือนก็ลุยงานต่อแล้ว”

“ก็ได้อาจารย์ท่านเมตตาป้อนงานให้ เราเป็นศิษย์ก็ต้องสนองพระคุณไง” คนพูดเอ่ยเสียงรื่นอารมณ์ดี “เอาล่ะฉันกำลังขับรถอยู่ เดี๋ยวมีอะไรค่อยคุยกันนะ ยังไงพรุ่งนี้ก็เจอกัน”

“อือ ขับรถระวังล่ะ เดี๋ยวยังไงถ้าฉันไปถึงที่นั่นแล้วจะโทร.หา” เขาเอ่ยอีกเพียงไม่กี่คำก็วางสาย

              มันตา กดปุ่มวางสายจาก ยิ่งคุณ เพื่อนต่างสาขาวิชาที่รู้จักกันมานานหลายปีเพราะเรียนจบมาจากรั้วมัธยมแห่งเดียวกัน แม้ทั้งสองจะห่างกันไปบ้างตอนเรียนมหาวิทยาลัยหรือตอนเธอไปศึกษาต่อในต่างประเทศ แต่ด้วยความที่สายงานโบราณคดีของเธอมักจะต้องไปมีเอี่ยวกับองค์ความรู้ในสายอื่น โดยเฉพาะสายธรณีวิทยาและสภาพภูมิประเทศในแบบต่างๆ ยิ่งคุณจึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมของเธอไปโดยปริยายเพราะเขามีความรู้เรื่องนี้อย่างหาตัวจับได้ยาก

              บ้านดงจำปี...หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทแห่งนี้คือจุดหมายปลายทางที่ทำให้เธอต้องแล่นรถมาจากที่ทำงานซึ่งอยู่จังหวัดใกล้เคียง หลังได้รับรายงานว่ามีชาวบ้านขุดค้นพบวัตถุที่ถูกฝังอยู่ในชั้นดินหลายชิ้น รวมทั้งซากสิ่งก่อสร้างที่ยังกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้ชัดเจนว่าอยู่ในยุคไหน หน่วยงานท้องที่จึงประสานไปยังสำนักโบราณคดีให้ส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจ

แม้มันตาจะเพิ่งกลับมาจากต่างแดนไม่นาน แต่ก็โชคดีที่ดอกเตอร์วรเมธผู้เคยเป็นอาจารย์สมัยยังเรียนปริญญาตรีเอ่ยปากให้มาร่วมทีมกันเพราะงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยในพื้นที่ภาคกลางที่ท่านได้รับมอบหมายให้ศึกษา เธอจึงไม่ลังเลจะมาร่วมงาน และวันนี้เธอทราบว่าทีมสำรวจนำร่องได้ล่วงหน้ามาปักหมุดเอาไว้แล้ว จึงขับรถตามมาด้วยคาดว่าน่าจะทันเจอพวกเขา เท่าที่ทราบพื้นที่เป้าหมายเป็นบริเวณริมแม่น้ำสายเล็กๆ และมีพื้นที่กึ่งหนึ่งอยู่ในเขตที่ดินส่วนบุคคล ซึ่งกรณีหลังนี้คงยังเข้าไปไม่ได้เพราะเห็นว่าหนังสือขออนุญาตเข้าขุดค้นกำลังจะจัดส่งเร็วๆ นี้

              “นั่นไง” มันตาพึมพำกับตัวเองอย่างลิงโลดเมื่อเห็นป้ายเขียนไว้หยาบๆ ว่าแหล่งขุดค้นต้องเลี้ยวแยกไปทางไหน 

              ที่ตรงแยกเลี้ยวซ้ายนั่นมีศาลเจ้าทำจากไม้เรือนเล็กๆ ตั้งอยู่แลดูเก่าคร่ำคร่า พอเลี้ยวเข้าไปเป็นถนนคอนกรีตสายเล็กที่ระเกะระกะไปด้วยเศษใบไม้แห้งที่คงร่วงลงจากต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง มองไปเบื้องหน้าก็รู้สึกได้ว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์จนดูคล้ายกำลังแล่นรถเข้าอุโมงค์ต้นไม้ สรรพสำเนียงบริเวณนั้นเงียบสงัดชนิดที่ว่ามีเพียงเสียงล้อรถกำลังบดใบไม้แห้งกรอบแกรบเท่านั้นที่ดังแว่วให้ได้ยิน
              ‘บรรยากาศวังเวงได้ใจมาก!’

              เธอพยายามตั้งสมาธิไม่ให้เขวไปกับบรรยากาศ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือแนวรั้วอันก่อจากอิฐสีหม่นและทอดเป็นแนวยาวราวกับจะบอกว่าพื้นที่ข้างในรั้วกว้างขวางเอาการ ที่น่าทึ่งคือบริเวณรั้วริมถนนถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยน่าจะเป็นพันธุ์ตีนตุ๊กแกที่แผ่กระจายอย่างเป็นวงกว้างแต่ก็ไม่ดูรกสายตาเกินไป ถนนเส้นเล็กลาดยาวมาจรดตรงหน้าประตูรั้วบ้านซึ่งตีทึบด้วยรั้วไม้ ราวกับว่านี่เป็นถนนส่วนบุคคลตัดตรงเข้ามาเลยทีเดียว
บ้านใคร? มาสร้างซะลึกในชนบทเชียว แต่ข้างในท่าจะสวย

              มันตาพยายามมองหาว่าทีมสำรวจนำร่องอยู่ตรงไหนกัน แต่ก็ไม่พบใครเลยในสถานที่แห่งนั้น กำลังจะหยิบโทรศัพท์มาโทร.หาใครสักคนที่น่าจะรู้จักในทีมดังกล่าว แต่ไม่ทันไร เสียงเปาะแปะก็แว่วดังพร้อมเม็ดฝนที่พรั่งพรูลงมาซู่ใหญ่ราวกับเขื่อนแตก ทำเอาหญิงสาวรีบกดก้านที่ปัดน้ำฝนแทบไม่ทัน

              ถอยก่อนดีกว่า คิดได้ดังนั้นเธอก็ใส่เกียร์ถอยหลังทันที แต่ด้วยความแคบของถนนทำให้หาที่กลับรถเหมาะๆ ไม่ได้นอกจากจะพยายามวนซ้ายขวาหน้าหลังสะเปะสะปะบนทางที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้ง จังหวะหนึ่งรู้สึกได้ว่าล้อหลังหลุดลงไปจากผิวถนน จึงรีบใส่เกียร์เหยียบคันเร่งเพื่อจะดีดตัวรถออกมา แต่เสียงที่ได้ยินคืออาการ ‘ล้อฟรี’ ที่ปั่นล้อเท่าไหร่ก็ไม่กลับคืนขึ้นมา

              เวรแล้ว! ดันมาติดหล่มอะไรตอนนี้!
              ก๊อก ก๊อก ก๊อก
              เฮือก!

มันตาสะดุ้งพลันเพราะเสียงกระจกฝั่งตรงข้ามถูกเคาะเป็นจังหวะ หันขวับไปสายตาก็ปะทะกับร่างสูงใหญ่ในชุดสีน้ำตาลอิฐยืนตระหง่านอยู่ภายนอก แวบแรกยอมรับว่าตกใจเพราะไม่ทันสังเกตว่ามีใครอยู่บริเวณนั้น แต่พอตั้งสติได้ ก็ค่อยๆ โน้มกายไปมองโดยที่ยังไม่ยอมลดกระจกลงเพราะอย่างน้อยก็ต้องปลอดภัยตัวเองไว้ก่อน

ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านนอกตัวรถ ห่างจากตัวรถในระยะราวหนึ่งเมตร มือข้างหนึ่งถือร่มคันใหญ่สีดำไว้กับตัว ใบหน้าภายใต้ร่มสีทะมึนนั้นแลมองออกว่าเป็นชายหน้าคมสันแต่ผิวพรรณดูผ่องแผ้ว ทว่าด้วยความที่เม็ดฝนหนาตาจึงยังมองใบหน้าได้ไม่ชัดนัก แต่มันตาก็รับรู้ได้ว่า...น่าจะเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่สิ่งลึกลับไร้ตัวตนแต่อย่างใด

หรือว่าจะเป็นคนในบ้านหลังนี้?
คิดได้ดังนั้นเธอตัดสินใจกดปุ่มเลื่อนกระจกลงคืบหนึ่งเพื่อเอ่ยจำนรรจา

“เอ่อ...ขอโทษค่ะ นี่บ้านคุณใช่ไหมคะ” กำลังเอ่ยกรุยทางเพื่อจะแจ้งว่าเธอมาเพราะจะมาเจอกับทีมสำรวจนำร่อง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ผู้ชายร่างสูงด้านนอกก็เปล่งเสียงทุ้มกังวานที่ได้ยินชัดหูท่ามกลางเสียงเม็ดฝน

“กลุ่มคนที่คุณมาหา กลับไปแล้ว”

มันตาเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกประหลาดใจ นอกจากเขารู้ว่ามีทีมสำรวจมาที่นี่และก็กลับไปแล้ว เขายังเดาได้ด้วยว่าเธอเองก็มาเพื่อภารกิจเดียวกัน

“อ้อ...จริงเหรอคะ แสดงว่าคุณทราบเรื่องที่มีการส่งทีมมาสำรวจแนวขุดค้นใช่ไหมคะ?” 

มันตาเห็นเขาพยักหน้าเพียงหนึ่งครั้งและยังคงยืนถือร่มตระหง่านอยู่จุดเดิมท่ามกลางสายฝน โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

“ถ้าอย่างนั้น...ฉันคงไม่รบกวนคุณค่ะ นี่ก็จะตีรถกลับแล้ว แต่ว่า...ตรงนี้มันกลับรถยากนิดนึง” เธอเอ่ยเสียงแห้ง

“เข้ามาหลบฝนในบ้านก่อนก็ได้” จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เฉกเดิม

“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวจะตีรถกลับแล้วค่ะ” แต่นั่นหมายความว่าเธอต้องแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ก่อน

พร้อมคำพูดมันตาก็ใส่เกียร์แล้วกดคันเร่งอีกรอบหนึ่ง... เสียงฟิ้วของล้อที่หมุนติ้วบอกชัดว่ามันน่าจะปั่นลงหลุมลึกกว่าเดิม หญิงสาวหน้าเสีย หันหน้าไปข้างกระจกอีกทีก็รู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่นั้นเข้ามาในระยะใกล้กว่าเดิม 

“พักก่อนสักครู่ก็ได้ ไม่มีใครว่า” เสียงเขาเอ่ยติดจะเนิบช้าชัด...มั่นคง

“แต่ว่า...รถจอดขวางหน้าบ้านคุณ...” มันตาเสียงอ่อน นี่เรียกว่าจอดขวางลำเลยทีเดียว

“ไม่เป็นไร ไม่มีใครมาหรอก”

หากเป็นการณ์ปกติ ผู้หญิงคนเดียวอย่างมันตาควรระมัดระวังในการก้าวลงจากรถไปกับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ท่วงทีและความหนักแน่นในน้ำเสียงของชายคนดังกล่าวทำให้เธอยอมดับเครื่องยนต์แล้วคว้าเอาร่มที่มีในรถเพื่อก้าวออกไปด้านนอกแต่โดยดี

สายฝนยังคงพรูพรายตามคำพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาที่แจ้งไว้ว่าหางพายุกำลังจะพัดผ่านในอีกไม่กี่วัน มันตากดปุ่มล็อครถยนต์ในขณะที่ชายคนดังกล่าวเดินหันหลังไปทางประตูรั้วซึ่งทำจากไม้ทรงโค้งมน เขาใช้มือผลักตรงกลางเบาๆ รั้วไม้สองข้างก็ค่อยๆ แง้มเปิดออก ร่างสูงนั้นย่างเดินเข้าไปด้านในโดยไม่สนใจหันมามองว่าอาคันตุกะจะตามมาหรือไม่ ร้อนถึงมันตาที่ต้องสาวเท้าตามให้ทันเพราะท่านเจ้าบ้านดูจะไม่ได้สนหัวเธอเท่าไหร่เลย
ระยะทางจากรั้วถึงตัวบ้านนั้นทางเดินปูด้วยอิฐสีหม่น ตัวบ้านที่ปรากฏต่อสายตาเป็นเรือนไม้สองชั้นอย่างบ้านเรือนไทยภาคกลาง เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นเรือนไทยโบราณเพราะชั้นล่างไม่ได้เป็นใต้ถุนโล่ง แต่ปรับให้ชั้นล่างเป็นพื้นที่ใช้สอยโดยมีการใช้อิฐผสมกับประตูบานเฟี้ยมที่เป็นกระจกใสกรอบไม้อย่างที่เคยเห็นตามร้านกาแฟสไตล์ฮิพเก๋ๆ เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมระหว่างเรือนไทยกับความนำสมัยอย่างลงตัว

              เมื่อเข้าสู่ชายคาบ้าน ฝ่ายเจ้าถิ่นเอื้อมมือไปผลักประตูบานเฟี้ยมให้เปิดออก แล้วหันมาบอกเธอสั้นๆ 
              “เข้ามานั่งข้างในก่อน”

              แล้วเขาคนนั้นก็ผลุบหายเข้าไปด้านในแบบไม่สนใจแขกดั่งเดิม ปล่อยให้ผู้มาเยือนมัวมะงุมมะงาหรากับการจัดหาที่วางร่มใต้ชายคาบ้านแล้วค่อยเคลื่อนกายเข้าไปตามช่องประตูบานเฟี้ยมที่เปิดรออยู่ ด้านในของด้านล่างตัวบ้านไม่ได้เปิดไฟเอาไว้ แต่อาศัยแสงสว่างที่ทอดทะลุจากประตูกระจกบานเฟี้ยมจึงพอแลมองเห็นสิ่งต่างๆ พื้นที่ห้องนี้ค่อนข้างโล่งและมีเพียงชุดรับแขกอันเป็นเก้าอี้ไม้ขัดเงาอยู่ช่วงกลางตัวบ้าน เครื่องเรือนโดยมากหากไม่ทำมาจากไม้ก็มักจะเป็นวัสดุสีทึมๆ ตามธรรมชาติ

              มันตานั่งลงงงๆ บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับพับแขนเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์สีซีดให้เข้าที่เข้าทางกว่าเดิม พื้นที่ด้านในนี้ลมเย็นจากไอฝนภายนอกไม่ค่อยย่างกรายนัก แต่ก็แปลก...บรรยากาศดูเงียบและวังเวงด้วยตัวมันเอง

              “ดื่มชาร้อนไหม”
              จู่ๆ เสียงทุ้มก็แว่วดังทำเอาคนที่นั่งอยู่ก่อนสะดุ้งเฮือกเบาๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างสูงนั้นเดินกลับเข้ามาพร้อมถาดเล็กๆ ที่มีปั้นชาพร้อมถ้วยกระเบื้องเคลือบขนาดย่อม ท่วงท่าการเดินของอีกฝ่ายในสายตาเธอนั้นเรียกได้ว่าก้าวย่างอย่างหนักแน่นและมั่นคง แต่กลับสามารถวางถาดลงบนโต๊ะแบบแทบไม่มีเสียงกระทบ ก่อนมือข้างหนึ่งจะรินน้ำชาอุ่นชนิดเห็นควันจางๆ พวยพุ่ง แล้วมือนั้นก็ค่อยเลื่อนถ้วยน้ำชามาตรงหน้าเธอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่