เ พ รี ย ก เ พี ย ง ก า ล บทที่ 2

บทที่ 2
 
              หญิงสาวร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในอาคารสองชั้นพร้อมด้วยข้าวของเต็มสองข้าง โดยข้างหนึ่งเป็นถุงย่ามใบใหญ่ที่จุของได้สารพัด อีกข้างเป็นกระเป๋าสะพายในคอมพิวเตอร์พกพา นอกจากแขนสองข้างหนีบวัตถุทั้งสองข้างกายแล้วในอ้อมอกเธอยังหอบกองหนังสือและแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่ง ซึ่งแม้จะเต็มไปด้วยสิ่งของสารพันแต่ร่างสูงเปรียวนั้นก็เดินขึ้นบันไดได้อย่างถนัดนี่ด้วยช่วงขายาวเรียวภายใต้กางเกงยีนส์ฟอกสีทรงสลิมฟิต เสื้อตัวบนเป็นเสื้อคอวีสีครามเข้มจัด ทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตตัวโคร่งสีเขียวพราน 

              ทันทีที่ปรากฏกายในห้องทำงานขนาดไม่ใหญ่นัก เสียงจากคนข้างในก็แว่วดัง
              “ต๊าย เดินแบบคอลเลคชั่นนี้ พร็อพไม่น้อยเชียวนะเธอ”

              คนถูกแซวหันไปยักไหล่ด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจไม่ใช่เล่น “มันคือจิตวิญญาณของ Haute Couture (โอท์ คูทูร์) ไงล่ะ ตัวแม่มาเองก็ต้องแบบนี้” 

              มันตานั้นสมยอมรับสมญานามนางแบบประจำรุ่นมาตั้งแต่สมัยเรียนด้วยรูปร่างสูงยาวเข่าดีสไตล์นางแบบบนแคทวอล์ค แม้บางครั้งท่าเดินจะก๋ากั่นแบบลูกสาวกำนันไปสักหน่อย แต่ท่วงท่ายุรยาตรอย่างมั่นใจตามคันดินแถวแหล่งขุดค้นก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครลอกเลียนมันตาได้ แม้แต่การรวบมวยผมแล้วปักด้วยปิ่นก็ยิ่งทำให้แลเห็นช่วงคอระหงอันเหมาะเจาะกับท่วงท่าปราดเปรียวของเจ้าตัว

              มันตาวางสิ่งละอันพันละน้อยที่หอบติดตัวมาด้วยลงบนโต๊ะทำงาน หนังสือและเอกสารเหล่านี้คือสิ่งที่เธอเพิ่งได้มาจากดอกเตอร์วรเมธผู้เป็นหัวหน้าสำนักงานเพราะเป็นรายงานเรื่องการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ใกล้เคียง จึงต้องเอามาอ่านประกอบเพื่อเตรียมตัวสำหรับการขุดค้นแห่งใหม่เนื่องจากอาจมีความเกี่ยงเนื่องกัน

              “เออ ได้ยินว่าแวะไปบ้านดงจำปีมาเหรอ?” เทียนอาสาเอ่ยถาม อีกฝ่ายเป็นเพื่อนสาวผู้รู้จักกันตั้งแต่ร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยและได้มาเจอกันอีกครั้งก็ที่สำนักงานแห่งนี้

              “อือ ใช่ ก็พวกเธอดันหายหัวไปก่อนเลยหลงไปคนเดียวไง”

              “อ้าวหลง? ไหนส่งข้อความมาบอกฉันเมื่อวานว่าไปสำรวจมาแล้ว”

              “ไม่เชิงหลงทาง แต่พลัดหลงกับพวกเธอไง ฉันเห็นป้ายที่พวกเธอติดไว้ก็เลยเลี้ยวรถไป สรุปไม่เจอใคร นอกจากเจอคนในบ้านท้ายซอยนั่น”

              “บ้านท้ายซอย...เฮ้ย? เจอด้วยเหรอ?” เสียงถามแปลกใจยิ่ง

              “ตกใจอะไร? ก็เจอผู้ชายคนนึง น่าจะเจ้าของบ้านสวยๆ หลังนั้นล่ะ” 

              “ก็นั่นล่ะ แปลกใจไง พวกฉันไปก่อนเธอตั้งสองสามรอบ ไม่ค่อยเจอเจ้าของบ้านหรอก แต่นี่เธอไปรอบเดียว เจอเลย” น้ำเสียงบอกความทึ่งปนงง

              “ก็บังเอิญเจอแบบไม่คาดคิด ฉันกำลังจะถอยหลังกลับรถออกมาแต่รถดันติดหล่มเพราะตอนนั้นฝนตก เขาก็เดินออกมาจากรั้วพอดี ก็เลยได้คุยกัน” สาธยายไปคนเป็นเพื่อนก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าทึ่งไม่ต่างจากเดิม

              “เออ...แสดงว่าเจ้าของบ้านนี่นึกจะโผล่ก็โผล่ นึกจะเงียบก็เงียบ” เทียนอาสาพยักหน้าหงึกๆ “คือพวกฉันน่ะรู้มาจากชาวบ้านแถวนั้นว่าเจ้าของบ้านหลังสวยตรงนั้นชื่อคุณหรัณย์ แต่ไม่จำเป็นเขาไม่สุงสิงใคร เมื่อวานที่พวกเราไปปักหมุดกันตรงข้างนอกก็ยังไม่กล้าไปรบกวนเขาเพราะไม่ได้มีจดหมายอะไรไปด้วย ก็โหวกเหวกกันทั้งวันก็ไม่เห็นแม้แต่เงานะ มีเธอนี่ล่ะ ไปปุ๊บเจอปั๊บ”

              “หือ แสดงว่าฉันดวงดีสินะ ไปครั้งแรกก็ได้เจอเลย แถมได้คุยกันอีก” มันตาพยักหน้านิดหนึ่งเป็นเชิงรับทราบ “หูย...เริ่ดนะเธอ เค้าเป็นไงมั่ง ดูดีมั้ย เห็นคนแถวนั้นบอกว่ายังหนุ่มอยู่เลยแถมหล่อด้วย” คนถามตาวาวด้วยความอยากรู้

              “ก็น่าจะวัยสามสิบอะไรทำนองนั้นล่ะ ดูนิ่งๆ เฉยๆ ออกจะเก็บตัว แล้วก็แปลกนะ เหมือนเค้าอยู่บ้านหลังนั้นคนเดียว ตอนฉันไปหลบฝนในบ้านก็ไม่เห็นใครนอกจากเค้าเลย”

              “ว่าไงนะ! เธอได้รับเกียรติให้ไปนั่งในบ้านเขาสองต่อสองกันเลยเนี่ยนะ” เทียนอาสาทำตาโตวิบวับ “แหม...ฟังแล้วโรแมนติก ติดฝนกับหนุ่มหล่อ บรรยากาศดีชะมัด”

              มันตาเบ้หน้าครั้งใหญ่ “วังเวงมากกว่า บรรยากาศเงียบสงัดตั้งแต่เลี้ยวเข้าซอยมาแล้ว ในบ้านก็เงียบ แถมนายหรัณย์อะไรนั่นก็เงียบเป็นเป่าสากอีก”

              “เออจริง ตอนพวกฉันไปครั้งแรกก็ยังรู้สึกได้เลยว่าเลี้ยวเข้าซอยนั้นปุ๊บ...บรรยากาศก็หลอนๆ ไงไม่รู้ ขนาดมากันหลายคนยังหวั่นๆ เลย แล้วนี่เธอเล่นตะลุยไปคนเดียว ช่างกล้าเนอะ”

              “ไม่รู้ล่ะ ก็รอดมาแล้ว และยังไงพวกเราก็ต้องไปที่นั่นอีกอยู่ดี” มันตาไหวไหล่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “เออ ฉันเพิ่งส่งรูปที่ไปถ่ายจากโคนต้นจำปีในเขตรั้วบ้านเขาไปให้อาจารย์วรเมธ ท่านสนใจมาก คงจะรีบมาดำเนินการด้วยตัวเองเร็วๆ นี้ล่ะ”

              “จริงเหรอ? ไหน ขอดูหน่อย” เทียนอาสาได้ยินถึงกับหูผึ่ง มันตาจึงเปิดกระเป๋าควานเอาโทรศัพท์มือถือมาเปิดรูปให้ดูอย่างใจเย็น

              หลังจากพากันขยายรูปเพื่อเพ่งมองให้ชัดๆ เทียนอาสาก็อดถามไม่ได้

              “อืม จุดที่พวกฉันล้อมเทปไว้นี่เห็นอาจารย์บอกว่ามีแนวโน้มว่าจะเป็นหินสลักธรรมจักร แต่ว่าอีกจุดที่เธอถ่ายรูปมาเนี่ย พวกฉันก็ยังตีความไม่ถูกเท่าไหร่ เธอว่ามันคืออะไร”

              “อืม...ตอนนี้มันก็ยังดูยากเพราะโผล่พ้นผิวดินมาแค่ไม่กี่นิ้ว แต่อาจารย์เค้าก็บอกว่าเป็นส่วนที่น่าสนใจเพราะมันเหมือนจะมีลายเส้นให้เห็นด้วย เป็นไปได้ว่าจะเป็นงานละเอียดทีเดียว”

              คนฟังถึงกับตาลุกวาว “งั้นก็เป็นอะไรที่น่าสนใจนะ เพราะพื้นที่นี้จริงๆ เตรียมการไว้เป็นปีแล้ว เพิ่งจะปีนี้เองที่ได้รับอนุมัติ”

              “อือ เห็นว่าด้านนอกพวกเธอก็สำรวจไปเยอะแล้ว ไหนเอามาให้ดูหน่อยสิว่าเป็นยังไง” มันตาทวงขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้

              “กะแล้วว่าจะต้องขอดู แป๊บนะ ภาพอยู่ที่เจ้าเอกเยอะอยู่” อีกฝ่ายเอ่ยถึงรุ่นน้องในทีมที่ไปด้วยกัน “แต่แหม...ฟิตนะยะ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมืองนาก็เตรียมลุยงานต่อเลยเหรอ”

              “ก็มีจ็อบพิเศษให้ทำก็รับทำสิ อยู่เฉยๆ เงินมันไม่งอกขึ้นมาเองนะจ๊ะ” มันตาสัพยอก
ความจริงก็ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วที่เจ้าตัวมักจะรับงานพิเศษจากอาจารย์ที่คุ้นเคยกันสม่ำเสมอ แม้จะห่างหายจากเมืองไทยไปร่ำเรียนระดับปริญญาโทที่ต่างแดน พอกลับมาก็เป็นจังหวะดีที่ดอกเตอร์วรเมธชักชวนให้เธอมาร่วมทีมในฐานะลูกจ้างพิเศษนอกวาระ เพื่อเตรียมการสำหรับงานแหล่งขุดค้นที่บ้านดงจำปี

บ้านดงจำปีเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางที่ผู้คนโดยมากทำมาหากินด้วยอาชีพเกษตรกรรมกันเป็นเรื่องสามัญ จนกระทั่งไม่กี่ปีก่อนนี้ ทางองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งเตรียมจะแผ้วถางพื้นที่สำหรับการก่อสร้างก็ได้ขุดพบแนวชั้นหินที่เรียงตัวกันอย่างน่าสนใจราวกับเป็นแนวสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณ ซึ่งพอข่าวเริ่มแพร่ออกไปชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มขุดหน้าดินให้ลึกขึ้น ก่อนจะพบเจอวัตถุแปลกตาจำพวกเครื่องปั้นดินเผา ขวานหินขัด หรือลูกปัดหลากสีที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นของโบราณ จึงไม่แปลกใจที่จะมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งลักลอบนำไปขายตลาดของเก่าเรียบร้อย แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่ทางฝ่ายบริหารระดับท้องถิ่นยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อรักษาพื้นที่ทางวัฒนธรรมเอาไว้ และได้ประสานงานกับทางหน่วยงานโบราณคดีเพื่อให้ดำเนินการขุดค้นหาคำตอบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นมาอย่างไร 

              แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พื้นที่สำคัญอีกจุดหนึ่งซึ่งยังไม่มีการสำรวจในเชิงลึกคือพื้นที่ส่วนบุคคลของ ‘หรัณย์ ปัทมนิธิ’ หรือบ้านหลังสวยล้อมรั้วกำแพงไม้เลื้อยที่เธอเพิ่งไปพบเจอมา

              แม้จะไม่มีการเข้าไปขุดค้นหรือค้นหาอะไรอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีรายงานว่าในเขตบ้านเขาก็มีร่องรอยของวัตถุโบราณเฉกเดียวกับพื้นที่ด้านนอกที่อยู่ติดกัน ที่สำคัญคือร่องรอยธรรมจักรที่โผล่พ้นพื้นดินที่ทีมสำรวจได้เก็บข้อมูลมาแล้ว นอกจากนี้ในรายงานที่ก็ยังมีภาพในเขตบ้านเขาซึ่งแสดงให้เห็นภาพเดียวกับที่เธอไปพบเห็นเมื่อวาน ซึ่งเป็นวัตถุปริศนาที่ยังกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้ คาดเดาว่าน่าจะถ่ายเมื่อสักปีที่แล้วเพราะเมื่อวานที่เขาพาเธอไปชี้เป้านั้น สภาพของตัววัตถุดูจะโผล่พ้นพื้นดินมากกว่าในภาพนี้สักหน่อย เป็นไปได้ว่าหน้าดินถูกชะล้างด้วยน้ำฝนตามกาลเวลา

              สิ่งที่ต้องศึกษาตอนนี้คือเรื่องราวการขุดค้นในแหล่งชุมชนโบราณในพื้นที่ใกล้เคียงเพราะโดยมากพื้นที่ละแวกเดียวกันมักจะเชื่อมโยงกันได้ด้วยเส้นทางคมนาคมค้าขายแบบโบราณ ดังนั้นหากพบลักษณะทางวัฒนธรรมใดในที่หนึ่ง มันก็มักจะไปปรากฏในอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ห่างกันมากนัก
กำลังนั่งอ่านรายงานต่างๆ อย่างมีสมาธิ มันตาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเทียนอาสาโพล่งขึ้นว่า

              “มันตา มีหนุ่มมาหานะเธอ!”

              เทียนอาสาเยี่ยมหน้ามาจากประตูห้องทำงานซึ่งเปิดกว้างอยู่เสมอ ก่อนจะปรากฏร่างชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันที่ตามมาติดๆ เป็นชายหนุ่มร่างสูงสันทัดในชุดเรียบง่ายสไตล์เสื้อโปโลคอปกกับกางเกงยีนส์ ผมเผ้าเป็นทรงสั้นแต่ก็ดูจะปล่อยลวกๆ ไปสักหน่อย แต่ก็โชคดีที่ผิวสีอ่อนช่วยทำให้เขาไม่ดูซกมกเกินไปนัก อีกทั้งหน่วยตาคู่เรียวภายในกรอบแว่นบางก็บ่งบอกความคงแก่เรียน

              “คุณยิ่ง! Welcome to my world!” มันตาอุทานด้วยความปิติ เมื่อเห็น ยิ่งคุณ เพื่อนที่เพิ่งสนทนากันเมื่อวานมาปรากฏตรงหน้า

              “ฉันชื่อ ยิ่งคุณ ไม่ใช่ คุณยิ่ง เรียกซะไพเราะจนปรับตัวไม่ทันเชียวเธอนี่” ชายหนุ่มผู้มาใหม่ตอบกลับด้วยเสียงหน่ายแต่ก็มีรอยยิ้มอ่อนๆ เคลือบอยู่ที่มุมปาก

              “เอาล่ะๆ พามาให้แล้วก็เชิญพวกเธอคุยกันไปแล้วกันนะ” เทียนอาสาเอ่ยเป็นเชิงขอตัว “ไปล่ะ ปั่นรายงานต่อก่อน”

              “อื้อ ขอบใจนะเทียน” มันตาไม่ลืมเอ่ยขอบใจเพื่อนร่วมรุ่น

              ชายหนุ่มนั่งลงตรงเก้าอี้พลาสติกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมันตา เขากวาดสายตามองคร่าวๆ ไปยังกองเอกสารที่วางระเกะระกะบนโต๊ะก็พอจะเข้าใจว่าเธอกำลังทำอะไร

              “ไหนว่ามาถึงแล้วจะโทร.บอก” หญิงสาวเป็นฝ่ายถามเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรก่อน

              “ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องโทร. รู้อยู่แล้วว่าจะเจอเธอได้ที่ไหน ก็ตรงเข้ามาเลย” นั่นเพราะเขาเคยแวะมาที่นี่ตอนเธอเคยร่วมงานกับอาจารย์ก่อนหน้านี้ จึงพอจะคุ้นที่ทางเป็นอย่างดี 

              มันตาพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงรับทราบกับคำตอบที่ตรงเป็นไม้บรรทัดของอีกฝ่าย นอกจากเรียนธรณีวิทยา เชี่ยวชาญเรื่องชั้นหินและดิน หมอนี่ยังชอบตอบกำปั้นทุบดิน ถ้าไม่ใช่ว่าเคยเรียนห้องเดียวกันสมัยมัธยมก็คงไม่ได้รู้จักมักจี่เป็นเพื่อนกันมาจนถึงบัดนี้ สมัยนั้นยิ่งคุณเป็น ‘เด็กเรียน’ จำพวกใส่แว่นหนาเตอะและไม่สุงสิงกับใครนัก แต่ด้วยความที่เรียนห้องเดียวกันบางครั้งเธอและเขาก็จำต้องทำงานกลุ่มเดียวกันหรือเป็นเวรทำความสะอาดพร้อมกัน ไปๆ มาๆ เธอก็ดันไปกันได้กับคนทื่อๆ อย่างเขาเพราะเป็นผู้หญิงไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อย จากนั้นแม้ว่าจะเรียนระดับอุดมศึกษากันคนละแห่งแต่ก็ติดต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นเรื่อยมา

              ทั้งนี้หลังเรียนจบปริญญาตรี มันตาเคยช่วยงานดอกเตอร์วรเมธ และครั้งนั้นยิ่งคุณก็ได้เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะหัวหน้าเขาส่งตัวให้มาช่วยงานวิเคราะห์ลักษณะทางธรณีวิทยาของชุมชนโบราณที่เธอกำลังช่วยงานวิจัยพอดี เพื่อนที่คุ้นเคยกันจึงได้ร่วมงานกันอีกครั้ง นับจากจากจุดนั้นเขาจึงกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคยกับงานขุดค้นทางโบราณคดีเพราะทางสำนักวิจัยด้านธรณีวิทยามักจะส่งเขามาช่วยงานด้านนี้เนืองๆ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย นวนิยายรัก นิยายออนไลน์
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่