.....วันนี้ที่ 5 มีนาคม 2563 ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.310/2556 ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 1 และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศอฉ. ที่ 2โจทก์ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ 1 พันตำรวจโทวรรณพงษ์ คชรักษ์ ที่ 2 พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ ที่ 3 และ ร้อยตำรวจเอกปิยะ รักสกุล ที่ 4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200
.....กรณีสืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช. ในระหว่างเดือนกรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2555 เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและกรมสอบสวนคดีพิเศษสรุปสำนวนดำเนินคดีแก่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ในข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 , 59 และ 80 กรณีที่ศอฉ.ได้ออกคำสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มนปช. เป็นเหตุให้มีคนตาย
.....ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 กันยาน 2561 ให้ยกฟ้องโจทก์
.....โจทก์อุทธรณ์
.....ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าก่อนหน้าที่จะมีการแจ้งข้อหาแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เคยมีความเห็นว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ผิดกฎหมายจึงแจ้งข้อหาก่อการร้ายแก่กลุ่ม นปช. แสดงว่าจำเลยทั้งสี่เห็นว่าโจทก์ทั้งสองกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ แม้ภายหลังการไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง ศาลอาญาจะชี้ว่ากระสุนมาจากฝั่งทหารแต่ก็ไม่ได้ระบุว่าการกระทำโจทก์ทั้งสองเป็นความผิด
.....พิจารณาพฤติการณ์ประกอบกันแล้ว ฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ 1 ถึง 4 มีความเห็นต่างจากเดิม เชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองเพื่อเอาใจรัฐบาลให้มีผลในการต่ออายุตำแหน่งอธิบดีของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยทั้งสี่สืบสวนสอบสวนโจทก์ทั้งสองและแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเล็งเห็นผลทั้งๆ ที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
.....พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 200 วรรคสอง เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตามมาตรา 200 วรรคสอง ลงโทษให้จำคุก จำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี แต่คำเบิกความเป็นประโยชน์อยู่บ้าง
เห็นควรลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
cr.chuchart srisaeng
ผลของการใช้อำนาจหน้าที่กลั่นแกล้ง คุณอภิสิทธิ์ และ คุณสุเทพ ของ คนที่ชอบเอาใจนายใหม่
.....กรณีสืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช. ในระหว่างเดือนกรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2555 เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและกรมสอบสวนคดีพิเศษสรุปสำนวนดำเนินคดีแก่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ในข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 , 59 และ 80 กรณีที่ศอฉ.ได้ออกคำสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มนปช. เป็นเหตุให้มีคนตาย
.....ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 กันยาน 2561 ให้ยกฟ้องโจทก์
.....โจทก์อุทธรณ์
.....ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าก่อนหน้าที่จะมีการแจ้งข้อหาแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เคยมีความเห็นว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ผิดกฎหมายจึงแจ้งข้อหาก่อการร้ายแก่กลุ่ม นปช. แสดงว่าจำเลยทั้งสี่เห็นว่าโจทก์ทั้งสองกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ แม้ภายหลังการไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง ศาลอาญาจะชี้ว่ากระสุนมาจากฝั่งทหารแต่ก็ไม่ได้ระบุว่าการกระทำโจทก์ทั้งสองเป็นความผิด
.....พิจารณาพฤติการณ์ประกอบกันแล้ว ฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ 1 ถึง 4 มีความเห็นต่างจากเดิม เชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองเพื่อเอาใจรัฐบาลให้มีผลในการต่ออายุตำแหน่งอธิบดีของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยทั้งสี่สืบสวนสอบสวนโจทก์ทั้งสองและแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเล็งเห็นผลทั้งๆ ที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
.....พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 200 วรรคสอง เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตามมาตรา 200 วรรคสอง ลงโทษให้จำคุก จำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี แต่คำเบิกความเป็นประโยชน์อยู่บ้าง
เห็นควรลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
cr.chuchart srisaeng