สวัสดีค่ะ ประสบการณ์นี้คือเรื่องจริงของเราที่ทำงานบริษัทเดิมในฐานะพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งที่ต้องดูแลชีวิตลูกน้อง และบริการลูกค้าไปทุกส่วนพร้อมๆกัน เรามีประสบการณ์ในบริษัทนี้ทั้งสิ้น 2 ปี แต่ตอนนี้เราได้ลาออกมา และได้เข้ามาทำงานในบริษัทเล็กๆที่มีการดูแลจากเพื่อนร่วมงานและเจ้านายในรูปแบบครอบครัว
ก่อนอื่นเราขอเริ่มต้นจากการได้เข้ามาทำงานในบริษัทเดิมตั้งแต่บริษัทนี้ตั้งแต่สมัยเรายังเป็นนักศึกษาที่หาเงินไปด้วยระหว่างเรียน ในตำแหน่งที่เป็นพนักงานรับส่งอาหาร ซึ่งต้องทนแดดทนฝนเกือบจะทุกวัน เราก็ทำงานนี้มาเรื่อยๆจนเราใกล้จะเรียนจบ ตามแผนเราก็ต้องหางานใหม่ที่มันเหมาะสมกว่านี้ ที่แน่ๆก็ต้องย้ายถิ่นฐานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เมื่อเราเอ่ยว่าเราจะขอลาออกหลังจากเรียนจบ ก็ทำให้ได้รับข้อเสนอจากทางผู้บริหารว่าต้องการให้เราอยู่ที่นี่ต่อ และเสนอให้มาทำงานในออฟฟิศ ไม่ต้องออกไปตากแดดตากฝน ซึ่งเราก็ตกลงตามที่ทางผู้บริหารได้เสนอมา หลังจากที่เราเรียนจบ เราก็มาทำงานในรูปแบบ Full Time ซึ่งรับเงินค่าจ้างรายวันไม่ใช่รายเดือนตามแบบที่อื่นๆ ช่วงแรกๆเราก็ทำงานอย่างไม่มีวันหยุด ตอนนั้นก็ยังสนุกกับงาน เพราะถือว่าชีวิตตัวเองกำลังไฟแรงในทุกๆด้าน สนุกไปกับทุกๆสิ่ง แม้กระทั่งว่ามีคนเตือนเราเรื่องนี้ เราเองก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรนัก
หลังจากนั้นก็มีพนักงานใหม่เข้ามาที่ทำงานในส่วนออฟฟิศกับเรา มันก็ถือว่าเป็นการแบ่งเบาให้เราได้มีการพักบ้าง เพราะเราต้องทำงานตั้งแต่ 09.00-22.00 ทุกวัน ทีนี้เราเองก็เริ่มมีวันหยุดพักผ่อน แต่มันไม่ถือว่าพักผ่อนเท่าไรนัก ทางผู้บริหารเองก็มักอ้างว่ามีการประชุมในวันที่เราหยุดเสมอ ก็ส่งผลให้เราไม่ได้หยุด และบางครั้งก็มาแจ้งว่าจะให้หยุดวันนี้แทน สุดท้ายก็เป็นเรื่องหลอกลวง กระทั่งมีเรื่องหนึ่งที่เราจำได้จนถึงวันนี้คือ ทางผู้บริหารมาบอกว่าเราไม่ต้องหยุดนะ แต่เราเองก็ได้นัดพ่อแม่ไว้ว่าเราจะไปทำบุญกัน ทางผู้บริหารเองก็ตอบมาให้เราได้มีความชื่นใจคือ “ก็ไปบอกพ่อแม่สิ ว่าเลื่อนไปครั้งหน้า พรุ่งนี้พวกพี่มีธุระไป น้องต้องเข้ามาอยู่ที่ออฟฟิศแทนพี่” เราถึงกับไม่เข้าใจในสิ่งที่ว่าทำไมเขาถึงกล้าพูดออกมา ทางผู้บริหารก็มีธุระในส่วนของเขา แต่เขาไม่เข้าใจในธุระในส่วนของเรา เราก็ได้ทำการต่อรองและบอกว่าจะมาหลังธุระเสร็จให้แทน
ไม่นานนักน้องพนักงานที่เข้ามาใหม่ก็ได้ลาออกไป คำว่านรกมันเริ่มขึ้นกับเราทันที เพราะทางผู้บริหารไม่อนุญาตเราหยุดงานในช่วง 3 เดือนที่ไม่มีคนแทน เราต้องทำงานทุกวันตั้งแต่ 09.00-22.00 ทุกวัน แม้กระทั่งว่าเราไม่สบาย มีอาการเวียนหัว และอยากอ้วกเขาเองก็บอกไม่ต้องลา ให้มาทำเหมือรเดิม เป็นหนักจริงก็ค่อยเรียก 1669 เอา ซึ่งเราไม่เข้าใจในความคิดและคำพูดที่เปร่งออกมา เขาเริ่มมองเราไม่ใช่พนักงาน แต่มองเราเป็นทาส
ประมาณเดือนตุลาคม 2560 เขาก็รับคนใหม่เข้ามา ซึ่งคนนี้เป็นญาติของทางผู้บริหารโดยตรง ซึ่งถ้าหากถามว่าพนักงานที่มีฐานะเป็นญาติและผู้บริหารเองก็ไม่ได้แยกแยะว่า เรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว บางครั้งการทำงานของพนักงานใหม่เองที่มีความผิดพลาดบ้าง เราก็ย่อมต้องบอกและตำหนิเมื่อเกิดเหตุการณืขึ้นบ่อยเกินไป สุดท้ายทางพนักงานท่านนั้นก็มักจะโทรไปแจ้งทางผู้บริหารที่มีฐานะเป็นญาติของเขา และผู้บริหารก็จะโทรมาต่อว่าเราเรื่องไปที่ตำหนิพนักงานท่านนั้น เราเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ทำได้แต่รับสิ่งนั้นไปเอง
ต่อมาของการทำงานในออฟฟิศ เราได้รับการเสนอให้เป็นผู้จัดการของบริษัท ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่เราไม่ได้คิดว่าจะได้รับการโปรโมท เราเองก็ต้องพัฒนาและปรับปรุงให้บริษัทและพนักงานมีการพัฒนาให้ดีขึ้น เมื่อเราได้รับการโปรโมท เราเองก็เท่ากับว่าเป็นสื่อกลาง และคนกลางของทางบริษัท เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา เราเองต้องเป็นส่วนหน้าในการรับหน้าทุกๆเรื่อง แม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนนโยบายบางอย่าง ซึ่งเราเองไม่ทราบมาก่อนหน้านี้ โดยไม่มีการเรียกประชุมให้เราทราบ มันก็ทำให้เกิดปัญหาของพนักงานในตำแหน่งรับส่งอาหารและทางบริษัท ผู้บริหารเองก็ไม่ได้แจ้งความชัดเจนให้กับเราทราบ และเมื่อทางหัวหน้าพนักงานสอบถามโดยตรงไปกับผู้บริหาร เขาเองก็โโยนคำถามมาให้กับเรา โดยที่เราไม่รู้รายละเอียดในส่วนนโยบายใหม่ หรือหลายๆครั้งเขาเองก็มักจะปัดคำถามหรือนโยบายของทางบริษัทที่ไม่ได้แจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าหรือเราเองฝนฐานผู้จัดการก็ไม่ทราบมักจะมาให้เรารับหน้าในสิ่งนี้เสมอ โดยเหตุผลที่ทางผู้บริหารแจ้งว่า ตอนนี้ประชุมอยู่ไม่สะดวกที่ให้คำตอบ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ความไม่พอใจและการโวยวายของพนักงานถึงผู้บริหาร ซึ่งเราต้องยุติทุกอย่างให้กลับมาเป็นปกติ และการสั่งงานในวันหยุด โทรมาสั่งงานในตอนเที่ยงคืนมันคือเรื่องปกติ โดยเขาไม่ได้สนใจว่าเราหยุดหรือไม่ โดยเขามีความคิดที่ว่า คุณคือผู้จัดการ คุณต้องสแตนบายไดุ้กอย่างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เช่น วันนั้นคือวันหยุดของเรา แต่มีน้องพนักงานที่บริษัทต้องการให้ออกเอกสารเซ็นให้ เราก็ถือเอกสารเข้ามาให้น้องพนักงาน และสุดท้ายผู้บริหารได้เรียกเราคุยและตำหนิว่าในเรื่องความสามารถการทำงานที่แย่ลงทุกวัน วันนั้นที่เป็นหยุดที่มีความสุขของเรามันคือวันที่เราแทบก้มหน้าร้องไห้กลับบ้าน
ทีนี้เองบริษัทอื่นๆเริ่มสนใจตลาดส่งอาหารเข้ามาลงทุน ทางผู้บริหารเองก็เริ่มมาบีบบังคับให้เราต้องเพิ่มยอดของบริษัท แม้กระทั่งเองเขาเรียกเราคุยส่วนตัวตอน 23.00 ซึ่งการคุยนี้ไม่ถือว่าเป็นการเรียกประชุม มันคือการเรียกเราต่อว่าในทุกๆอย่างที่เราทำออกมา ตลอดหน้านี้ทางผู้บริหารเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร และปล่อยผ่านละเลยไปเกือบๆทุกเรื่อง ซึ่งเขาเองมาตื่นตัวและมีความสนใจอีกครั้งเมื่อบริษัทกำลังมีคู่แข่ง เราโดนกดดันหนักขึ้นกว่าเดิมจนความคิดอยากลาออกไป มันเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นทุกวัน จนเราไม่ไหว เราโทรไปร้องไห้กับเพื่อนที่สนิทของเรา
อาทิตย์สุดท้ายของการทำงาน เราโดนบีบบังคับและกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ความไม่ใส่ใจและไม่สนใจก็มีเพิ่มมากขึ้นของทางผู้บริหารอ้างว่ามีธุระและต้องพาญาติไปเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งทางเราเองก็โดนบีบบังคับไม่ให้หยุดงานอีกเช่นเคย แต่อนุญาตพนักงานคนอื่นหยุดงานได้ ทีนี้ความกดดันต่างๆมันหนักจนเราทนไม่ได้ เราโทรไปแจ้งว่าเราไม่สามารถทำงานให้ได้แล้ว ผู้บริหารก็พูดออกมาสั้นๆ “ร้องไห้ก็ทำงานต่อไป” ประโยคนี้เราตัดสาย และปิดเครื่องไป โดยที่แจ้งไปในไลน์ว่าขอเบรค และตอนที่เราพร้อมที่จะคุยกับทางผู้บริหารก็จึงขอลาออก แต่ตอนแรกไม่ให้เราลาออก โดยให้ข้อเสนอให้พักผ่อนอย่างไม่มีกำหนด แต่เราก็ไม่ได้สนใจในข้อเสนอก็แจ้งไปว่าขอลาออกเช่นเดิม จากการลาออกก็มาพร้อมอีกสิ่งหนึ่งคือ โรคซึมเศร้าที่มีสาเหตุจากการทำงาน
*** สาเหตุที่เราไม่ลาออกตั้งแต่ไม่ได้หยุด 3 เดือนเพราะ มันเป็นงานที่ใกล้บ้าน เรายังอยากอยู่กับพ่อแม่ และอยากใช้เวลาให้ได้มากที่สุด แต่ตอนนี้เรารักษาอาการซึมเศร้าได้ดีมากขึ้นในระดับหนึ่ง และตอนนี้ก็กลับมาทำงานอีกครั้งในบริษัทใหม่ที่มีความเมตตาและความรักจากทางผู้บริหารคนใหม่”
ยิ่งกว่าทาสคือ มนุษย์พนักงานออฟฟิศทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน
ก่อนอื่นเราขอเริ่มต้นจากการได้เข้ามาทำงานในบริษัทเดิมตั้งแต่บริษัทนี้ตั้งแต่สมัยเรายังเป็นนักศึกษาที่หาเงินไปด้วยระหว่างเรียน ในตำแหน่งที่เป็นพนักงานรับส่งอาหาร ซึ่งต้องทนแดดทนฝนเกือบจะทุกวัน เราก็ทำงานนี้มาเรื่อยๆจนเราใกล้จะเรียนจบ ตามแผนเราก็ต้องหางานใหม่ที่มันเหมาะสมกว่านี้ ที่แน่ๆก็ต้องย้ายถิ่นฐานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เมื่อเราเอ่ยว่าเราจะขอลาออกหลังจากเรียนจบ ก็ทำให้ได้รับข้อเสนอจากทางผู้บริหารว่าต้องการให้เราอยู่ที่นี่ต่อ และเสนอให้มาทำงานในออฟฟิศ ไม่ต้องออกไปตากแดดตากฝน ซึ่งเราก็ตกลงตามที่ทางผู้บริหารได้เสนอมา หลังจากที่เราเรียนจบ เราก็มาทำงานในรูปแบบ Full Time ซึ่งรับเงินค่าจ้างรายวันไม่ใช่รายเดือนตามแบบที่อื่นๆ ช่วงแรกๆเราก็ทำงานอย่างไม่มีวันหยุด ตอนนั้นก็ยังสนุกกับงาน เพราะถือว่าชีวิตตัวเองกำลังไฟแรงในทุกๆด้าน สนุกไปกับทุกๆสิ่ง แม้กระทั่งว่ามีคนเตือนเราเรื่องนี้ เราเองก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรนัก
หลังจากนั้นก็มีพนักงานใหม่เข้ามาที่ทำงานในส่วนออฟฟิศกับเรา มันก็ถือว่าเป็นการแบ่งเบาให้เราได้มีการพักบ้าง เพราะเราต้องทำงานตั้งแต่ 09.00-22.00 ทุกวัน ทีนี้เราเองก็เริ่มมีวันหยุดพักผ่อน แต่มันไม่ถือว่าพักผ่อนเท่าไรนัก ทางผู้บริหารเองก็มักอ้างว่ามีการประชุมในวันที่เราหยุดเสมอ ก็ส่งผลให้เราไม่ได้หยุด และบางครั้งก็มาแจ้งว่าจะให้หยุดวันนี้แทน สุดท้ายก็เป็นเรื่องหลอกลวง กระทั่งมีเรื่องหนึ่งที่เราจำได้จนถึงวันนี้คือ ทางผู้บริหารมาบอกว่าเราไม่ต้องหยุดนะ แต่เราเองก็ได้นัดพ่อแม่ไว้ว่าเราจะไปทำบุญกัน ทางผู้บริหารเองก็ตอบมาให้เราได้มีความชื่นใจคือ “ก็ไปบอกพ่อแม่สิ ว่าเลื่อนไปครั้งหน้า พรุ่งนี้พวกพี่มีธุระไป น้องต้องเข้ามาอยู่ที่ออฟฟิศแทนพี่” เราถึงกับไม่เข้าใจในสิ่งที่ว่าทำไมเขาถึงกล้าพูดออกมา ทางผู้บริหารก็มีธุระในส่วนของเขา แต่เขาไม่เข้าใจในธุระในส่วนของเรา เราก็ได้ทำการต่อรองและบอกว่าจะมาหลังธุระเสร็จให้แทน
ไม่นานนักน้องพนักงานที่เข้ามาใหม่ก็ได้ลาออกไป คำว่านรกมันเริ่มขึ้นกับเราทันที เพราะทางผู้บริหารไม่อนุญาตเราหยุดงานในช่วง 3 เดือนที่ไม่มีคนแทน เราต้องทำงานทุกวันตั้งแต่ 09.00-22.00 ทุกวัน แม้กระทั่งว่าเราไม่สบาย มีอาการเวียนหัว และอยากอ้วกเขาเองก็บอกไม่ต้องลา ให้มาทำเหมือรเดิม เป็นหนักจริงก็ค่อยเรียก 1669 เอา ซึ่งเราไม่เข้าใจในความคิดและคำพูดที่เปร่งออกมา เขาเริ่มมองเราไม่ใช่พนักงาน แต่มองเราเป็นทาส
ประมาณเดือนตุลาคม 2560 เขาก็รับคนใหม่เข้ามา ซึ่งคนนี้เป็นญาติของทางผู้บริหารโดยตรง ซึ่งถ้าหากถามว่าพนักงานที่มีฐานะเป็นญาติและผู้บริหารเองก็ไม่ได้แยกแยะว่า เรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว บางครั้งการทำงานของพนักงานใหม่เองที่มีความผิดพลาดบ้าง เราก็ย่อมต้องบอกและตำหนิเมื่อเกิดเหตุการณืขึ้นบ่อยเกินไป สุดท้ายทางพนักงานท่านนั้นก็มักจะโทรไปแจ้งทางผู้บริหารที่มีฐานะเป็นญาติของเขา และผู้บริหารก็จะโทรมาต่อว่าเราเรื่องไปที่ตำหนิพนักงานท่านนั้น เราเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ทำได้แต่รับสิ่งนั้นไปเอง
ต่อมาของการทำงานในออฟฟิศ เราได้รับการเสนอให้เป็นผู้จัดการของบริษัท ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่เราไม่ได้คิดว่าจะได้รับการโปรโมท เราเองก็ต้องพัฒนาและปรับปรุงให้บริษัทและพนักงานมีการพัฒนาให้ดีขึ้น เมื่อเราได้รับการโปรโมท เราเองก็เท่ากับว่าเป็นสื่อกลาง และคนกลางของทางบริษัท เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา เราเองต้องเป็นส่วนหน้าในการรับหน้าทุกๆเรื่อง แม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนนโยบายบางอย่าง ซึ่งเราเองไม่ทราบมาก่อนหน้านี้ โดยไม่มีการเรียกประชุมให้เราทราบ มันก็ทำให้เกิดปัญหาของพนักงานในตำแหน่งรับส่งอาหารและทางบริษัท ผู้บริหารเองก็ไม่ได้แจ้งความชัดเจนให้กับเราทราบ และเมื่อทางหัวหน้าพนักงานสอบถามโดยตรงไปกับผู้บริหาร เขาเองก็โโยนคำถามมาให้กับเรา โดยที่เราไม่รู้รายละเอียดในส่วนนโยบายใหม่ หรือหลายๆครั้งเขาเองก็มักจะปัดคำถามหรือนโยบายของทางบริษัทที่ไม่ได้แจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าหรือเราเองฝนฐานผู้จัดการก็ไม่ทราบมักจะมาให้เรารับหน้าในสิ่งนี้เสมอ โดยเหตุผลที่ทางผู้บริหารแจ้งว่า ตอนนี้ประชุมอยู่ไม่สะดวกที่ให้คำตอบ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ความไม่พอใจและการโวยวายของพนักงานถึงผู้บริหาร ซึ่งเราต้องยุติทุกอย่างให้กลับมาเป็นปกติ และการสั่งงานในวันหยุด โทรมาสั่งงานในตอนเที่ยงคืนมันคือเรื่องปกติ โดยเขาไม่ได้สนใจว่าเราหยุดหรือไม่ โดยเขามีความคิดที่ว่า คุณคือผู้จัดการ คุณต้องสแตนบายไดุ้กอย่างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เช่น วันนั้นคือวันหยุดของเรา แต่มีน้องพนักงานที่บริษัทต้องการให้ออกเอกสารเซ็นให้ เราก็ถือเอกสารเข้ามาให้น้องพนักงาน และสุดท้ายผู้บริหารได้เรียกเราคุยและตำหนิว่าในเรื่องความสามารถการทำงานที่แย่ลงทุกวัน วันนั้นที่เป็นหยุดที่มีความสุขของเรามันคือวันที่เราแทบก้มหน้าร้องไห้กลับบ้าน
ทีนี้เองบริษัทอื่นๆเริ่มสนใจตลาดส่งอาหารเข้ามาลงทุน ทางผู้บริหารเองก็เริ่มมาบีบบังคับให้เราต้องเพิ่มยอดของบริษัท แม้กระทั่งเองเขาเรียกเราคุยส่วนตัวตอน 23.00 ซึ่งการคุยนี้ไม่ถือว่าเป็นการเรียกประชุม มันคือการเรียกเราต่อว่าในทุกๆอย่างที่เราทำออกมา ตลอดหน้านี้ทางผู้บริหารเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร และปล่อยผ่านละเลยไปเกือบๆทุกเรื่อง ซึ่งเขาเองมาตื่นตัวและมีความสนใจอีกครั้งเมื่อบริษัทกำลังมีคู่แข่ง เราโดนกดดันหนักขึ้นกว่าเดิมจนความคิดอยากลาออกไป มันเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นทุกวัน จนเราไม่ไหว เราโทรไปร้องไห้กับเพื่อนที่สนิทของเรา
อาทิตย์สุดท้ายของการทำงาน เราโดนบีบบังคับและกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ความไม่ใส่ใจและไม่สนใจก็มีเพิ่มมากขึ้นของทางผู้บริหารอ้างว่ามีธุระและต้องพาญาติไปเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งทางเราเองก็โดนบีบบังคับไม่ให้หยุดงานอีกเช่นเคย แต่อนุญาตพนักงานคนอื่นหยุดงานได้ ทีนี้ความกดดันต่างๆมันหนักจนเราทนไม่ได้ เราโทรไปแจ้งว่าเราไม่สามารถทำงานให้ได้แล้ว ผู้บริหารก็พูดออกมาสั้นๆ “ร้องไห้ก็ทำงานต่อไป” ประโยคนี้เราตัดสาย และปิดเครื่องไป โดยที่แจ้งไปในไลน์ว่าขอเบรค และตอนที่เราพร้อมที่จะคุยกับทางผู้บริหารก็จึงขอลาออก แต่ตอนแรกไม่ให้เราลาออก โดยให้ข้อเสนอให้พักผ่อนอย่างไม่มีกำหนด แต่เราก็ไม่ได้สนใจในข้อเสนอก็แจ้งไปว่าขอลาออกเช่นเดิม จากการลาออกก็มาพร้อมอีกสิ่งหนึ่งคือ โรคซึมเศร้าที่มีสาเหตุจากการทำงาน
*** สาเหตุที่เราไม่ลาออกตั้งแต่ไม่ได้หยุด 3 เดือนเพราะ มันเป็นงานที่ใกล้บ้าน เรายังอยากอยู่กับพ่อแม่ และอยากใช้เวลาให้ได้มากที่สุด แต่ตอนนี้เรารักษาอาการซึมเศร้าได้ดีมากขึ้นในระดับหนึ่ง และตอนนี้ก็กลับมาทำงานอีกครั้งในบริษัทใหม่ที่มีความเมตตาและความรักจากทางผู้บริหารคนใหม่”