JJNY : 5in1 วิสารท้าให้คนนอกตรวจสอบ/วิโรจน์ชี้MOUไม่ตอบโจทย์/ส.อ.ท.หวั่นย้ายฐานหนี/จับตาปิดกิจการเพิ่ม/ปี63 NPLมีพุ่ง3%

“วิสาร”ท้าผบ.ทบ.กล้าหรือไม่ให้คนนอกตรวจสอบกองทัพ
https://www.innnews.co.th/politics/news_601335/
 


 
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เดินหน้าล้างบางธุรกิจสีเทาในกองทัพ และเปิดศูนย์ร้องเรียนให้นายทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา รวมถึงขีดเส้นให้นายทหารที่เกษียณราชการย้ายออกจากบ้านหลวงภายในเดือนกุมภาพันธ์
 
ส่วนนายทหารเกษียณที่ทำประโยชน์แก่ชาติ ครอบคลุมถึงฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ เช่น นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี, สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) และองคมนตรี ได้รับการยกเว้น ว่า ที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากมวยล้ม ต้มคนดู เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ แค่พูดเอามันเท่านั้น หากดูในข้อเท็จจริงจะพบว่า พล.อ.อภิรัชต์ ไม่กล้าทำจริง ทั้งๆที่บ้านพักนายทหารเหล่านี้สร้างมาจากภาษีประชาชน ต่อหลังราคาหลาย 10 ล้าน รวมทั้งอยู่ฟรีทุกค่าใช้จ่าย รวมทั้งรถประจำตำแหน่งก็เป็นของหลวง ซึ่งเอาเปรียบประชาชนทุกอย่าง
 
ทั้งนี้ การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ หรือ ให้แจ้งเบาะแสจะมีประโยชน์อะไรหากให้กองทัพตรวจสอบกันเอง พล.อ.อภิรัชต์ กล้าหรือไม่ที่จะให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเป็นคนนอกกองทัพ ให้ภาคประชาชนร่วมตรวจสอบ ไม่ใช่งุบงิบทำกันเอง สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ปาหี่ ไม่มีอะไรตรวจสอบไม่พบ  เช่นเดียวกับสมัย พล.อ.อภิรัชต์ เป็นประธานบอร์ดกองสลาก ที่ขึงขังจับขายสลากเกินราคา แล้วออกมาบอกว่าไม่พบว่า มีการข่ายเกินราคา ไม่เคยเอาจริงเรื่องการตรวจสอบ
 

 
'วิโรจน์' ชี้ MOU กองทัพ-กรมธนารักษ์ ไม่ตอบโจทย์ความโปร่งใส ท้าเปิด 'งบการเงิน'
https://www.matichon.co.th/politics/news_1981848
 
‘วิโรจน์’ ชี้ MOU กองทัพ-กรมธนารักษ์ ไม่ตอบโจทย์ความโปร่งใส ท้าเปิด’งบการเงิน’ให้สาธารณชนตรวจสอบ
 
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ นายวิโรจน์​ ลักขณาอดิศร​ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่​ กล่าวถึงกรณที่​ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ร่วมกับ กรมธนารักษ์ ลงนามบันทึกข้อตกลง “โครงการการจัดสวัสดิการในเชิงธุรกิจของกองทัพบก ว่า เบื้องต้นการที่ ผบ.ทบ.  ตระหนักถึงปัญหาของสวัสดิการเชิงธุรกิจ หรือกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ที่กองทัพเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่การทำข้อตกลง หรือ MOU  ในโครงการในการจัดสวัสดิการในเชิงธุรกิจ ร่วมกับกรมธนารักษ์ แม้ว่าจะเป็นความพยายามในการแก้ปัญหา แต่ถ้าหากเป้าหมายของการแก้ปัญหานี้ คือ “การสร้างความโปร่งใส และการวางกลไกที่ตรวจสอบได้” การทำ MOU นั้น เป็นแค่เพียงมาตรการที่ดึงเอากรมธนารักษ์ มาช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับกองทัพบกเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องความโปร่งใสในระยะยาวได้
 
ยกตัวอย่างเช่น จากข่าวการลงนามใน MOU ประชาชน หรือสภาผู้แทนราษฎร ไม่อาจรู้ได้เลยว่า รายละเอียดใน MOU คืออะไร ตามข่าวระบุว่า ก่อนที่จะมีการลงนามใน MOU ท่าน ผบ.ทบ. ได้ตรวจร่าง MOU ถึง 1 เดือนครึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้มีการเปิดเผยให้กับสาธารณชนทราบว่า รายละเอียดใน MOU ที่ผ่านการตรวจทานของ ผบ.ทบ. แล้ว นั้นมีเงื่อนไขอะไรบ้าง มีข้อยกเว้น หรือสิทธิพิเศษ ให้กับผู้ใด หรือในกรณีใดบ้าง
 
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตามข่าวที่ระบุว่า กรมธนารักษ์จะมีการแบ่งสัดส่วนรายได้คืนให้แก่กองทัพบก ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.5 – 5 บางอย่างก็ร้อยละ 7.5 นั้นมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร สามารถเปิดเผยได้หรือไม่ว่า ธุรกิจใดมีการแบ่งสัดส่วนรายได้เท่าใด เพื่อให้ประชาชน และสาธารณชนได้พิจารณาร่วมกัน
 
โดยทั่วไปแล้ว หากต้องการที่จะมีการตั้งต้นใหม่ให้ถูกต้อง ที่บางคนมักจะใช้คำว่า “ล้างบาง” สิ่งที่ควรทำเป็นลำดับแรก ไม่ใช่การทำ MOU มาทับสิ่งที่ทำกันอยู่เดิม แต่เป็นการตรวจสอบทางบัญชี และการเปิดเผยงบการเงินให้แก่สาธารณชนได้ร่วมตรวจสอบ เพื่อหาตรวจสอบว่า จุดไหนที่มีปัญหาการรั่วไหล หรือมีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น เพื่อจะได้ดำเนินการสอบสวน และจัดการตามระเบียบ กฎหมาย ให้ถูกต้องเสียก่อน แต่ปัจจุบัน งบการเงินของธุรกิจกองทัพต่างๆ ต้องถือว่าตรวจสอบได้ยากมากๆ บางธุรกิจ ไม่สามารถหางบการเงินได้เลย ไม่รู้เลยว่า มีรายได้ และผลตอบแทนที่เป็นเงินนอกงบประมาณเท่าใด
 
นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มว่า การเปิดเผยงบการเงิน และรายละเอียดของ MOU เป็นกระบวนการสำคัญ ที่ยังไม่มีการพูดถึงเลย แล้วจะบรรลุถึง “ความโปร่งใส และกลไกการตรวจสอบ” ได้อย่างไร อีกประเด็นหนึ่ง ที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ หน่วยงานของรัฐที่มีรายได้เป็นเงินนอกงบประมาณ ไม่ได้มีเพียงกองทัพบกเท่านั้น ณ ขณะนี้ ยังไม่มีท่าทีใดๆ จากหน่วยงานอื่นๆ เลย อาทิ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ กองบัญชาการกองทัพไทย ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ใช่กองทัพ ทางแก้ปัญหานี้ ที่ยั่งยืนที่สุด ก็คือ การแก้ไข พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 61 วรรค 2 และวรรค 3 ที่ระบุว่า
 
เงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ ให้นํามาฝากไว้ที่กระทรวงการคลัง เว้นแต่จะมีกฎหมายกําหนดไว้เป็นอย่างอื่นหรือได้ทําความตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นอย่างอื่น เว้นแต่จะมีกฎหมายกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น เงินนอกงบประมาณนั้นเมื่อได้ใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่หรือการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์จนบรรลุวัตถุประสงค์แห่งการนั้นแล้ว มีเงินคงเหลือ ให้นําส่งคลังโดยมิชักช้า ทั้งนี้ การนําเงินส่งคลังให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีนั้นควรแก้ไข โดยให้ทุกหน่วยงานของรัฐต้องนำเงินนอกงบประมาณของตนมาฝากไว้ที่กระทรวงการคลังทุกกรณี และหากมีเงินคงเหลือ ก็ต้องนำส่งคลังทุกกรณี เช่นกัน” นายวิโรจน์ กล่าว
 
และว่า หากมีความจำเป็น หรือเพื่อความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ก็เป็นที่เข้าใจได้ แต่ต้องตราเป็นกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติเท่านั้น เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาจากปวงชนชาวไทย ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบ ไม่ควรอนุญาตให้ให้ผู้หนึ่งผู้ใด สามารถทำข้อตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อยกเว้นได้ ซึ่งประชาชน หรือแม้แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็มิอาจทราบได้เลยว่า หน่วยงานไหนไปทำข้อตกลงอะไรไว้กับกระทรวงการคลังไว้บ้าง และรานละเอียดจ้อตกลงนั้นเป็นอย่างไร ไปตกลงกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สำคัญก็คือ ใครที่มีอำนาจในการลงนามข้อตกลงนั้น ตราบใดก็ตาม หากไม่มีการแก้ไข พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ในมาตรา 61 วรรคสอง และวรรคสาม ในอนาคต MOU ที่เคยทำเอาไว้ในวันนี้ ก็อาจจะถูกยกเลิก หรือถูกเปลี่ยนแปลง โดย ผบ.ทบ. ท่านใหม่ โดยที่ประชาชน ไม่รับรู้เลย ก็ได้ ดังนั้น การจะทำให้กองทัพมีความโปร่งใส ที่แท้จริงจึงไม่ใช่แค่การทำ MOU แต่เป็นการเปิดเผยงบการเงินทั้งหมด ทั้งในปัจจุบันที่เป็นอยู่นี้ และในอนาคต กิจการใด ที่กองทัพไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวพันแล้ว เพราะไม่ใช่ภารกิจหลักของกองทัพ ก็ควรพิจารณาคืนให้แก่รัฐไปสนกิจการที่ยังดำเนินการอยู่ ก็ต้องเปิดเผยงบการเงินให้สาธารณชนรับทราบ มีการตรวจสอบบัญชีตามมาตรฐานทางบัญชีอย่างถูกต้อง โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พร้อมกับผลักดันการแก้ไข พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ครอบคลุม “เงินนอกงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินแผ่นดิน ของหน่วยงานรัฐทั้งหมด” ซึ่งจะเป็นกลไกการตรวจสอบ ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่​
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่