รวมตัวเลข ‘ธุรกิจกองทัพ’ ปชน.ย้ำ 'เสนอปรับอย่างเข้าใจ' คาดรัฐเงินเพิ่มหมื่นล้าน/ปี
https://prachatai.com/journal/2024/10/111028
12 ต.ค. 2567 พรรคประชาชนจัดงานเสวนา ‘
ตามหาขุมทรัพย์ของกองทัพไทย การบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ’ โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน เป็นประธานคณะกรรมาธิการ
ประชาไทรวบรวมกิจการของกองทัพจากการเสวนาได้ดังนี้
• เงินนอกงบประมาณ : กองทัพมีธุรกิจราว 277 กิจการที่สร้างรายได้ เช่น สนามกอล์ฟ สนามมวย กิจการน้ำมัน หอประชุม ศูนย์อบรม(โรงแรม) ศูนย์สร้างอาวุธ โรงงานแบตตารี่ โรงงานเภสัชกรรม โรงงานผลิตวัตถุระเบิด รพ.กองทัพ (มีอย่างน้อย 40 แห่ง) รายได้จาก EEC ฯลฯ ซึ่งไม่ต้องนำรายได้เข้ารัฐ
• ธุรกิจเหล่านี้จะนำเงินเข้า ‘กองทุนสวัสดิการ’ ซึ่งแบ่ง 2 ส่วน คือ 1. สวัสดิการภายในเพื่อดูแลกำลังพล 2. สวัสดิการเชิงธุรกิจที่เปิดให้คนนอกใช้บริการมากกว่า 50% ซึ่งรวบรวมมาได้ 161 กิจการ ในส่วนนี้กฎหมายกำหนดว่าต้องทำข้อตกลงแบ่งเงินกับกรมธนารักษ์เจ้าของที่ดิน ซึ่งเพิ่งจะดำเนินการจริงจังหลังเกิดเหตุกราดยิงที่โคราช ปัจจุบันยังมีกิจการที่ยังทำ MOU แบ่งปันผลประโยชน์กับกรมธนารักษ์ไม่เสร็จอีก 87 กิจการ
• งบกำไรขาดทุนของกองทุนสวัสดิการเชิงธุรกิจ พบว่า กองทัพอากาศมีรายได้ 807 ล้านบาท หักลบค่าใช้จ่ายเหลือกำไร 69.15 ล้านบาท / กองทัพเรือ มีรายได้ 2,600 กว่าล้านบาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วขาดทุน 37 ล้านบาท/ กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบก ซึ่งมีกิจการจำนวนมากไม่มีตัวเลขให้ กมธ.
• กิจการต่างๆ ของกองทัพนั้น นับเป็น ‘เงินนอกงบประมาณประเภทที่ 1’ ซึ่งหลายหน่วยงานก็อาจดำเนินกิจการและมีเงินนอกงบประมาณส่วนนี้ได้ แต่ ‘เงินนอกงบประมาณประเภทที่ 2’ นั้นมีเพียงแต่กองทัพเท่านั้นที่มี นั่นคือ กิจการวิทยุ โทรทัศน์ โครงข่ายคมนาคม นั่นทำให้กองทัพเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ ททบ.5 และมีโครงข่ายสัญญาณทีวีดิจิทัล (MUX) มักส์ 2 สถานีที่ให้เอกชนเช่า รวมถึงคลื่นวิทยุ FM/AM รวม 196 คลื่น (มากกว่ากรมประชาสัมพันธ์ 2 เท่า) โดยเป็นของกองทัพบอกเป็นส่วนมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีตัวเลขรายรับรายจ่ายให้ กมธ.
• ททบ.5 ปี 2560 มีกำไร 180 ล้าน หลังจากนั้นขาดทุนมาโดยตลอด ไม่ทราบสาเหตุ ตัวแทนสถานีชี้แจงว่า 6 ปี ขาดทุนเฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท (ปี 61-66) เมื่อ กมธ.ลองคำนวณเฉพาะ MUX ราคาเช่าในตลาด ระบบ HD อยู่ที่ 10.5 ล้านต่อเดือน ระบบ SD 3.5 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น จึงคาดว่า ททบ.5 มีรายได้รับจ้างถ่ายทอดสัญญา 882 ล้านต่อปี
• อย่างไรก็ดี เรื่องของททบ.5 มีการตั้งบริษัท RTAE ขึ้นมา ปัจจุบันกองทัพถือหุ้นอยู่ 49% และมีการกู้เงินกันไปมาระหว่างบริษัทกับสถานี ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สิ้นราว 1,005 ล้านบาท เรียกว่ามีสถานะ ‘ล้มละลาย’
• ปี 2547 ครม.ตั้งกรรมการสอบความผิดปกติของ ททบ.5 และ RTAE และมีการส่งเรื่องไปให้ ป.ป.ช. โดยใช้เวลา 19 ปี ล่าสุด ป.ป.ช.ปัดตก ไม่พบว่า ผบ.ทบ.เวลานั้นกระทำความผิด
• การลงทุน : กองทัพมีการลงทุนในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 8 บริษัทใหญ่ มูลค่า 1,400 ล้านบาท เช่น ธนาคารทหารไทยธนาชาติ, บริษัททางด่วนกรุงเทพ บริษัทเกียรตินาคิน เป็นต้น
• กองทัพมีการลงทุนในบริษัทจำกัด คือ RTAE (รอยัล ไทยอามร์มี่ เอนเทอไพรส์) และบริษัทอุตสาหกรรมการบิน (TAI) มาราว 20 ปี กรณีหลังนั้นระบุว่าเพื่อส่งเสริมการบินและการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ธุรกิจนี้เริ่มขยายตัว รัฐบาลจึงสนับสนุนโดยลงทุน 51% กองทัพอากาศลงทุน 49% แต่มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ 20 ปี ไม่สามารถคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้น
• ปัญหาข้อกฎหมายในการลงทุนของกองทัพ พบว่า ไม่มีกฎหมายรองรับให้กลาโหมไปดำเนินกิจการในเชิงพาณิชญ์หรือถือหุ้นในบริษัทเอกชน ต้องทำในรูปรัฐวิสาหกิจ หรือให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น แล้วรัฐบาลมอบหมายให้กองทัพไปกำกับดูแล อย่างไรก็ดี เมื่อกองทัพลงทุนเอง จึงไม่มีใครรู้ข้อมูลว่าบริหารจัดการอย่างไร และนำมาสู่คำถามเรื่องประสิทธิภาพและความไม่เป็นธรรม เพราะอาศัยทรัพยากรของชาติ และมีคำถามว่า รายได้ที่เป็นจริงมีมากกว่ามากใช่หรือไม่ รายได้พวกนี้สนับสนุนสวัสดิการเพียงไหน
• สนามกอล์ฟกองทัพ ทุกเหล่าทัพชี้แจงว่ามีรวมกัน 57 แห่ง ที่ดินรวมกัน 20,871 ไร่ กระจายทุกภูมิภาค แต่กมธ.ตรวจสอบพบเพิ่มจากที่แจ้งอีก 4 แห่งในจังหวัดชลบุรี
• แบ่งออกเป็น กองทัพเรือมีสนามกอล์ฟ 4 สนาม ที่ดิน 2,354 ไร่ กองทัพอากาศ 13 แห่ง ที่ดิน 4,470 ไร่ กองทัพบก 40 แห่ง ที่ดิน 14,470 ไร่
• โรงไฟฟ้าสัตหีบ กองทัพเรือมีกำลังทางเรือ 70% อยู่ที่สัตหีบ และมีการตั้งโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน แต่กองทัพเรือไม่ได้ผลิตไฟเอง รับไฟจาก EGAT มาขายต่อให้ประชาชนใกล้เคียง สร้างรายได้ปีละ 1600-1800 ล้าน ได้กำไร 100-200 ล้าน
• กำไรจากการขายไฟถูกใช้ไปในหลายกิจการซึ่งมีความเหมาะสม เช่น การฝึกวิชาชีพให้ทหารเกณฑ์, ศูนย์เดย์แคร์รับเลี้ยงเด็ก, การประกันชีวิต-อุบัติเหตุให้กำลังพลชายแดน แต่บางสวัสดิการไม่เหมาะสม เช่น ปล่อยกู้กำลังพลเพื่อโอนหนี้นอกระบบเข้าสู่ในระบบ ตรงนี้ใช้ธนาคารจะดีกว่า
• กองทัพเรือเคยขอให้ กฟภ.ถ่ายโอนกิจการไปดูแลส่วนของการขายไฟให้ประชาชน แต่กองทัพเรือเรียกเก็บเงินที่ลงทุนไป 2,000 ล้านบาท และการที่ต้องโอนกิจการก่อนหมดสัปทาน (ปี 2588) อีก 4,000 ล้าน
• กิจการน้ำมัน ‘ลุ่มแอ่งฝาง’ ในอำเภอฝาง อยู่ในความดูแลของกองทัพ มาตั้งแต่ปี 2499 สำรวจเอง เจาะเอง กลั่นเอง ใช้เอง และไม่ต้องส่งเงินคืนคลัง โดยมีวัตถุประสงค์ “สำรองไว้เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน”
• ลุ่มแอ่งฝางครอบคลุม 6 จังหวัด เป็นพื้นที่นอกกฎหมายปิโตรเลียมที่รัฐไม่ต้องสัมปทาน แต่ให้ ‘ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ’ ของกองทัพจัดการ โดยไม่ต้องรายงานจำนวนน้ำมันว่าผลิตได้เท่าไร คำถามคือ มีปริมาณน้ำมันใต้ดินเท่าไร ขุดขึ้นมาแล้วเท่าไร กลั่นออกไปเท่าไร ขายออกไปได้เท่าไร
• ตามข้อมูลที่ชี้แจงอยู่บ้าง กองทัพผลิตน้ำมันมาแล้ว 68 ปี มีน้ำมันดิบหลายลุ่มแอ่งกระจายตัวอยู่ ฝางมีคุณภาพมากที่สุด ตามการชี้แจงของศูนย์พัฒนาปิโตรเลียวภาคเหนือฯ กองทัพขุดมาใช้แล้ว 16 ล้านบาเรลล์ จากหลุมทั้งหมดประมาณ 300 หลุม น่าจะสำรวจเพื่อขุดเจาะใช้ได้อีก 11 ปี
• ปริมาณสำรองแอ่งฝางมี 63 ล้านบาร์เรล มีกำลังการผลิตวันละ 800 บาเรลล์ต่อวัน เปรียบเทียบภาพรวมน้ำมันดิบของประเทศซึ่งผลิตได้วันละ 80,000 บาเรล เรียกว่าผลิตได้ 1% ของทั้งประเทศเท่านั้น
• ศูนย์นี้เคยรายงานกรมเชื้อเพลิงฯ ว่าปริมาณน้ำมันดิบปีที่ขุดเจาะได้น้อยที่สุดคือ 3 แสนบาร์เรลต่อปี หากคำนวณราคากลางตลาดโลก 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะได้ 500 ล้านบาทต่อปี หากคำนวณทั้ง 68 ปีจะเป็นเงิน 34,000 ล้านบาท กรณีเป็นเอกชนดำเนินการจะต้องเสียค่าภาคหลวง 12.5% ของรายได้ ดังนั้น เราสูญเสียค่าภาคหลวงจากกองทัพ 4,250 ล้านบาท
• กองทัพระบุว่าไม่ได้ทำการพาณิชย์ เพียงสำรองไว้ใช้ภายใน แต่ปรากฏว่าน้ำมันที่กลั่นได้ถูกนำออกไปขายให้ลูกค้าหน่วยงานทหารด้วยกัน, น้ำมันเตา ผลิตภัณฑ์อื่นนำไปขายให้เอกชนภายนอก ที่เหลือขายออกไปต่างประเทศ ลาว เมียนมา จีนตอนใต้ สาเหตุที่ต้องส่งไปในประเทศเหล่านั้นเพราะน้ำมันดีเซลของโรงกลั่นที่ฝางไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยมีค่ากำมะถันสูงเกินเกณฑ์ เทียบเท่ายูโร1 ปัจจุบันมาตรฐานกำหนดเป็นยูโร5 ทำให้ศูนย์ต้องการงบประมาณเพิ่มไปสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่ที่มีเทคโนโลยีดีขึ้น ทำแผนเสนอรัฐบาลไว้แล้ว 400 ล้าน ซึ่งเรื่องนี้เห็นว่าไม่ควรอนุมัติเพราะกองทัพสามารถส่งนำ้มันดิบตัวเองออกไปกลั่นยังโรงกลั่นเอกชนภายนอกที่มีขีดความสามารถได้มาตรฐานดีกว่า
• ยังมีการสะสมทุนจากกิจการพลังงานแล้วนำเม็ดเงินไปลงทุนสร้างโรงแรม 2 แห่ง คือ ปิโตรโฮเทลเชียงใหม่ แถวช้างคลาน อ้างว่าเป็นศูนย์ฝึกบุคลากรในด้านพลังงาน แต่ติดตามจากเพจจะพบว่าใช้เป็นที่อบรมจริยธรรมและศีลธรรม และยังเปิดขายแพ็คเกจทัวร์และห้องพักต่อคนทั่วไปอีกแห่งใช้ที่ดินราชพัสดุ วิวสวยที่สุดของชายหาดทะเลระยอง มูลค่า 770 ล้าน ชื่อ สิรินพรา รีสอร์ต จังหวัพระยอง อ้างว่าฝึกอบรมบุคลาการด้านพลังงาน เพจก็มีการเปิดขายห้องพัก ขายแพ็คเกจทัวร์ ท่องเที่ยวครบวงจร ราคาห้องสูงสุด 33,000 บาท ปัจจุบันกำลังปรับรูปแบบเป็นสวัสดิการทางธุรกิจ
• 5.8 ล้านคือที่ดินที่กองทัพถือครองจากกรมธนารักษ์ ซึ่งคิดเป็น 45% ของที่ดินราชพัสดุทั้งหมด
• 6.5 ล้านไร่คือ ที่ดินที่กองทัพถือครองจากทุกส่วนราชการ โดยในจำนวนนี้ 91% เป็นของกองทัพบก ทั้งนี้ งานเขียนของ อ.กานดา นาคน้อย ใน 77 จังหวัด มีเพียงอ่างทองที่ไม่มีพื้นที่ทหาร
• ใน กทม.กองทัพถือครองที่ดินราว 20,000 ไร่ ขณะที่ใน กทม.มีชุมชนแออัด 600 กว่าแห่ง ประชากร 1.46 แสนครัวเรือน
• ค่ายทหารทั่วประเทศ 107 แห่งตั้งเขตเมือง 69 แห่งตั้งพื้นที่ชนบท
• 150,000 ล้านบาท คือ มูลค่าที่ดินสนามกอล์ฟกองทัพ ส่วนโรงแรม 17 แห่ง มีมูลค่า 11,000 ล้าน (ที่ดินราว 1,000 ไร่)
• ข้อพิพาทระหว่างกองทัพประชาชนมีเยอะมาก การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่จริงจัง เช่น กมธ.ที่ดินฯ ที่ตรวจสอบหนองวัวซอโมเดลพบว่า รัฐบาลทำงานเชิงรับ รอกองทัพบอกว่าพร้อมให้ประชาชนเช่าเมื่อไร ประชาชนบางส่วนได้ประโยชน์เหมือนกัน หากบุกรุกจริงก็จะได้เช่า แต่ก็มีคนที่มาอยู่ก่อนทหารที่มีปัญหา เพราะมีเอกสาร สค.1 ว่ามาบุกเบิกตั้งแต่ 2476 มาก่อนค่ายทหาร
• สนามมวยจากเดิมมี 6 แห่ง เหลือ 2 แห่ง สนามมวยลุมพินีใหญ่ที่สุด และ ไม่ส่งงบการเงินให้ กมธ.ค่าตั๋วของสนามมวยลุมพินีราคาตั้งแต่ 700-10,000 บาท ไม่มีการเปิดเผย MOU ที่ทำกับเอกชน ‘วัน แชมเปี้ยนชิพ’ เป็นโปรแกรมที่มีคนดูจำนวนมากทั่วโลก เท่าที่กองทัพเปิดเผยพบว่า ค่าเช่าจัดงาน 2 วัน 300,000 บาท ขณะที่เอกชนซื้อสปอตโฆษณา 350,000 บาทต่อนาที ถือว่าค่าเช่าถูกมากราวกับทำการกุศล
• ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กองทัพให้เช่าพื้นที่เปิดร้านค้ามากมาย มีจำนวนมากไม่ได้ทำสัญญากับกรมธนารักษ์ โดยมีตลาดอย่างน้อย 18 แห่ง
• ค่าทหารปัจจุบันมี 107 ค่าย มีนโยบายปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กองทัพบกชี้แจงว่าโครงการ ‘Army land’ โปรแกรมสถานที่ท่องเที่ยวของกองทัพมี 307 แห่งทั่วประเทศ
• สนามยิงปืนมี 21 แห่ง
• ฯลฯ
ในส่วนข้อเสนอนั้นวิทยากรแต่ละคนมีข้อเสนอเฉพาะในส่วนของตนที่นำเสนอ โดยมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าเป็นผู้สรุปข้อเสนอในภาพรวมว่า เมื่อพูดถึง ‘ปฏิรูปกองทัพ’ นั้นมีเป้าหมายดังนี้
1. รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ กองทัพโปร่งใสตรวจสอบได้
2. กองทัพมีประสิทธิภาพ มีสมถนะการรบสูง
JJNY : รวมตัวเลข ‘ธุรกิจกองทัพ’│ญาติเหยื่อตากใบ หวังได้รับความยุติธรรม│พิษฝนถล่มหนัก สัตหีบจมซํ้าซาก│ยูเครนไม่สละดินแดน
https://prachatai.com/journal/2024/10/111028
12 ต.ค. 2567 พรรคประชาชนจัดงานเสวนา ‘ตามหาขุมทรัพย์ของกองทัพไทย การบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ’ โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน เป็นประธานคณะกรรมาธิการ
ประชาไทรวบรวมกิจการของกองทัพจากการเสวนาได้ดังนี้
• เงินนอกงบประมาณ : กองทัพมีธุรกิจราว 277 กิจการที่สร้างรายได้ เช่น สนามกอล์ฟ สนามมวย กิจการน้ำมัน หอประชุม ศูนย์อบรม(โรงแรม) ศูนย์สร้างอาวุธ โรงงานแบตตารี่ โรงงานเภสัชกรรม โรงงานผลิตวัตถุระเบิด รพ.กองทัพ (มีอย่างน้อย 40 แห่ง) รายได้จาก EEC ฯลฯ ซึ่งไม่ต้องนำรายได้เข้ารัฐ
• ธุรกิจเหล่านี้จะนำเงินเข้า ‘กองทุนสวัสดิการ’ ซึ่งแบ่ง 2 ส่วน คือ 1. สวัสดิการภายในเพื่อดูแลกำลังพล 2. สวัสดิการเชิงธุรกิจที่เปิดให้คนนอกใช้บริการมากกว่า 50% ซึ่งรวบรวมมาได้ 161 กิจการ ในส่วนนี้กฎหมายกำหนดว่าต้องทำข้อตกลงแบ่งเงินกับกรมธนารักษ์เจ้าของที่ดิน ซึ่งเพิ่งจะดำเนินการจริงจังหลังเกิดเหตุกราดยิงที่โคราช ปัจจุบันยังมีกิจการที่ยังทำ MOU แบ่งปันผลประโยชน์กับกรมธนารักษ์ไม่เสร็จอีก 87 กิจการ
• งบกำไรขาดทุนของกองทุนสวัสดิการเชิงธุรกิจ พบว่า กองทัพอากาศมีรายได้ 807 ล้านบาท หักลบค่าใช้จ่ายเหลือกำไร 69.15 ล้านบาท / กองทัพเรือ มีรายได้ 2,600 กว่าล้านบาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วขาดทุน 37 ล้านบาท/ กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบก ซึ่งมีกิจการจำนวนมากไม่มีตัวเลขให้ กมธ.
• กิจการต่างๆ ของกองทัพนั้น นับเป็น ‘เงินนอกงบประมาณประเภทที่ 1’ ซึ่งหลายหน่วยงานก็อาจดำเนินกิจการและมีเงินนอกงบประมาณส่วนนี้ได้ แต่ ‘เงินนอกงบประมาณประเภทที่ 2’ นั้นมีเพียงแต่กองทัพเท่านั้นที่มี นั่นคือ กิจการวิทยุ โทรทัศน์ โครงข่ายคมนาคม นั่นทำให้กองทัพเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ ททบ.5 และมีโครงข่ายสัญญาณทีวีดิจิทัล (MUX) มักส์ 2 สถานีที่ให้เอกชนเช่า รวมถึงคลื่นวิทยุ FM/AM รวม 196 คลื่น (มากกว่ากรมประชาสัมพันธ์ 2 เท่า) โดยเป็นของกองทัพบอกเป็นส่วนมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีตัวเลขรายรับรายจ่ายให้ กมธ.
• ททบ.5 ปี 2560 มีกำไร 180 ล้าน หลังจากนั้นขาดทุนมาโดยตลอด ไม่ทราบสาเหตุ ตัวแทนสถานีชี้แจงว่า 6 ปี ขาดทุนเฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท (ปี 61-66) เมื่อ กมธ.ลองคำนวณเฉพาะ MUX ราคาเช่าในตลาด ระบบ HD อยู่ที่ 10.5 ล้านต่อเดือน ระบบ SD 3.5 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น จึงคาดว่า ททบ.5 มีรายได้รับจ้างถ่ายทอดสัญญา 882 ล้านต่อปี
• อย่างไรก็ดี เรื่องของททบ.5 มีการตั้งบริษัท RTAE ขึ้นมา ปัจจุบันกองทัพถือหุ้นอยู่ 49% และมีการกู้เงินกันไปมาระหว่างบริษัทกับสถานี ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สิ้นราว 1,005 ล้านบาท เรียกว่ามีสถานะ ‘ล้มละลาย’
• ปี 2547 ครม.ตั้งกรรมการสอบความผิดปกติของ ททบ.5 และ RTAE และมีการส่งเรื่องไปให้ ป.ป.ช. โดยใช้เวลา 19 ปี ล่าสุด ป.ป.ช.ปัดตก ไม่พบว่า ผบ.ทบ.เวลานั้นกระทำความผิด
• การลงทุน : กองทัพมีการลงทุนในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 8 บริษัทใหญ่ มูลค่า 1,400 ล้านบาท เช่น ธนาคารทหารไทยธนาชาติ, บริษัททางด่วนกรุงเทพ บริษัทเกียรตินาคิน เป็นต้น
• กองทัพมีการลงทุนในบริษัทจำกัด คือ RTAE (รอยัล ไทยอามร์มี่ เอนเทอไพรส์) และบริษัทอุตสาหกรรมการบิน (TAI) มาราว 20 ปี กรณีหลังนั้นระบุว่าเพื่อส่งเสริมการบินและการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ธุรกิจนี้เริ่มขยายตัว รัฐบาลจึงสนับสนุนโดยลงทุน 51% กองทัพอากาศลงทุน 49% แต่มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ 20 ปี ไม่สามารถคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้น
• ปัญหาข้อกฎหมายในการลงทุนของกองทัพ พบว่า ไม่มีกฎหมายรองรับให้กลาโหมไปดำเนินกิจการในเชิงพาณิชญ์หรือถือหุ้นในบริษัทเอกชน ต้องทำในรูปรัฐวิสาหกิจ หรือให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น แล้วรัฐบาลมอบหมายให้กองทัพไปกำกับดูแล อย่างไรก็ดี เมื่อกองทัพลงทุนเอง จึงไม่มีใครรู้ข้อมูลว่าบริหารจัดการอย่างไร และนำมาสู่คำถามเรื่องประสิทธิภาพและความไม่เป็นธรรม เพราะอาศัยทรัพยากรของชาติ และมีคำถามว่า รายได้ที่เป็นจริงมีมากกว่ามากใช่หรือไม่ รายได้พวกนี้สนับสนุนสวัสดิการเพียงไหน
• สนามกอล์ฟกองทัพ ทุกเหล่าทัพชี้แจงว่ามีรวมกัน 57 แห่ง ที่ดินรวมกัน 20,871 ไร่ กระจายทุกภูมิภาค แต่กมธ.ตรวจสอบพบเพิ่มจากที่แจ้งอีก 4 แห่งในจังหวัดชลบุรี
• แบ่งออกเป็น กองทัพเรือมีสนามกอล์ฟ 4 สนาม ที่ดิน 2,354 ไร่ กองทัพอากาศ 13 แห่ง ที่ดิน 4,470 ไร่ กองทัพบก 40 แห่ง ที่ดิน 14,470 ไร่
• โรงไฟฟ้าสัตหีบ กองทัพเรือมีกำลังทางเรือ 70% อยู่ที่สัตหีบ และมีการตั้งโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน แต่กองทัพเรือไม่ได้ผลิตไฟเอง รับไฟจาก EGAT มาขายต่อให้ประชาชนใกล้เคียง สร้างรายได้ปีละ 1600-1800 ล้าน ได้กำไร 100-200 ล้าน
• กำไรจากการขายไฟถูกใช้ไปในหลายกิจการซึ่งมีความเหมาะสม เช่น การฝึกวิชาชีพให้ทหารเกณฑ์, ศูนย์เดย์แคร์รับเลี้ยงเด็ก, การประกันชีวิต-อุบัติเหตุให้กำลังพลชายแดน แต่บางสวัสดิการไม่เหมาะสม เช่น ปล่อยกู้กำลังพลเพื่อโอนหนี้นอกระบบเข้าสู่ในระบบ ตรงนี้ใช้ธนาคารจะดีกว่า
• กองทัพเรือเคยขอให้ กฟภ.ถ่ายโอนกิจการไปดูแลส่วนของการขายไฟให้ประชาชน แต่กองทัพเรือเรียกเก็บเงินที่ลงทุนไป 2,000 ล้านบาท และการที่ต้องโอนกิจการก่อนหมดสัปทาน (ปี 2588) อีก 4,000 ล้าน
• กิจการน้ำมัน ‘ลุ่มแอ่งฝาง’ ในอำเภอฝาง อยู่ในความดูแลของกองทัพ มาตั้งแต่ปี 2499 สำรวจเอง เจาะเอง กลั่นเอง ใช้เอง และไม่ต้องส่งเงินคืนคลัง โดยมีวัตถุประสงค์ “สำรองไว้เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน”
• ลุ่มแอ่งฝางครอบคลุม 6 จังหวัด เป็นพื้นที่นอกกฎหมายปิโตรเลียมที่รัฐไม่ต้องสัมปทาน แต่ให้ ‘ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ’ ของกองทัพจัดการ โดยไม่ต้องรายงานจำนวนน้ำมันว่าผลิตได้เท่าไร คำถามคือ มีปริมาณน้ำมันใต้ดินเท่าไร ขุดขึ้นมาแล้วเท่าไร กลั่นออกไปเท่าไร ขายออกไปได้เท่าไร
• ตามข้อมูลที่ชี้แจงอยู่บ้าง กองทัพผลิตน้ำมันมาแล้ว 68 ปี มีน้ำมันดิบหลายลุ่มแอ่งกระจายตัวอยู่ ฝางมีคุณภาพมากที่สุด ตามการชี้แจงของศูนย์พัฒนาปิโตรเลียวภาคเหนือฯ กองทัพขุดมาใช้แล้ว 16 ล้านบาเรลล์ จากหลุมทั้งหมดประมาณ 300 หลุม น่าจะสำรวจเพื่อขุดเจาะใช้ได้อีก 11 ปี
• ปริมาณสำรองแอ่งฝางมี 63 ล้านบาร์เรล มีกำลังการผลิตวันละ 800 บาเรลล์ต่อวัน เปรียบเทียบภาพรวมน้ำมันดิบของประเทศซึ่งผลิตได้วันละ 80,000 บาเรล เรียกว่าผลิตได้ 1% ของทั้งประเทศเท่านั้น
• ศูนย์นี้เคยรายงานกรมเชื้อเพลิงฯ ว่าปริมาณน้ำมันดิบปีที่ขุดเจาะได้น้อยที่สุดคือ 3 แสนบาร์เรลต่อปี หากคำนวณราคากลางตลาดโลก 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะได้ 500 ล้านบาทต่อปี หากคำนวณทั้ง 68 ปีจะเป็นเงิน 34,000 ล้านบาท กรณีเป็นเอกชนดำเนินการจะต้องเสียค่าภาคหลวง 12.5% ของรายได้ ดังนั้น เราสูญเสียค่าภาคหลวงจากกองทัพ 4,250 ล้านบาท
• กองทัพระบุว่าไม่ได้ทำการพาณิชย์ เพียงสำรองไว้ใช้ภายใน แต่ปรากฏว่าน้ำมันที่กลั่นได้ถูกนำออกไปขายให้ลูกค้าหน่วยงานทหารด้วยกัน, น้ำมันเตา ผลิตภัณฑ์อื่นนำไปขายให้เอกชนภายนอก ที่เหลือขายออกไปต่างประเทศ ลาว เมียนมา จีนตอนใต้ สาเหตุที่ต้องส่งไปในประเทศเหล่านั้นเพราะน้ำมันดีเซลของโรงกลั่นที่ฝางไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยมีค่ากำมะถันสูงเกินเกณฑ์ เทียบเท่ายูโร1 ปัจจุบันมาตรฐานกำหนดเป็นยูโร5 ทำให้ศูนย์ต้องการงบประมาณเพิ่มไปสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่ที่มีเทคโนโลยีดีขึ้น ทำแผนเสนอรัฐบาลไว้แล้ว 400 ล้าน ซึ่งเรื่องนี้เห็นว่าไม่ควรอนุมัติเพราะกองทัพสามารถส่งนำ้มันดิบตัวเองออกไปกลั่นยังโรงกลั่นเอกชนภายนอกที่มีขีดความสามารถได้มาตรฐานดีกว่า
• ยังมีการสะสมทุนจากกิจการพลังงานแล้วนำเม็ดเงินไปลงทุนสร้างโรงแรม 2 แห่ง คือ ปิโตรโฮเทลเชียงใหม่ แถวช้างคลาน อ้างว่าเป็นศูนย์ฝึกบุคลากรในด้านพลังงาน แต่ติดตามจากเพจจะพบว่าใช้เป็นที่อบรมจริยธรรมและศีลธรรม และยังเปิดขายแพ็คเกจทัวร์และห้องพักต่อคนทั่วไปอีกแห่งใช้ที่ดินราชพัสดุ วิวสวยที่สุดของชายหาดทะเลระยอง มูลค่า 770 ล้าน ชื่อ สิรินพรา รีสอร์ต จังหวัพระยอง อ้างว่าฝึกอบรมบุคลาการด้านพลังงาน เพจก็มีการเปิดขายห้องพัก ขายแพ็คเกจทัวร์ ท่องเที่ยวครบวงจร ราคาห้องสูงสุด 33,000 บาท ปัจจุบันกำลังปรับรูปแบบเป็นสวัสดิการทางธุรกิจ
• 5.8 ล้านคือที่ดินที่กองทัพถือครองจากกรมธนารักษ์ ซึ่งคิดเป็น 45% ของที่ดินราชพัสดุทั้งหมด
• 6.5 ล้านไร่คือ ที่ดินที่กองทัพถือครองจากทุกส่วนราชการ โดยในจำนวนนี้ 91% เป็นของกองทัพบก ทั้งนี้ งานเขียนของ อ.กานดา นาคน้อย ใน 77 จังหวัด มีเพียงอ่างทองที่ไม่มีพื้นที่ทหาร
• ใน กทม.กองทัพถือครองที่ดินราว 20,000 ไร่ ขณะที่ใน กทม.มีชุมชนแออัด 600 กว่าแห่ง ประชากร 1.46 แสนครัวเรือน
• ค่ายทหารทั่วประเทศ 107 แห่งตั้งเขตเมือง 69 แห่งตั้งพื้นที่ชนบท
• 150,000 ล้านบาท คือ มูลค่าที่ดินสนามกอล์ฟกองทัพ ส่วนโรงแรม 17 แห่ง มีมูลค่า 11,000 ล้าน (ที่ดินราว 1,000 ไร่)
• ข้อพิพาทระหว่างกองทัพประชาชนมีเยอะมาก การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่จริงจัง เช่น กมธ.ที่ดินฯ ที่ตรวจสอบหนองวัวซอโมเดลพบว่า รัฐบาลทำงานเชิงรับ รอกองทัพบอกว่าพร้อมให้ประชาชนเช่าเมื่อไร ประชาชนบางส่วนได้ประโยชน์เหมือนกัน หากบุกรุกจริงก็จะได้เช่า แต่ก็มีคนที่มาอยู่ก่อนทหารที่มีปัญหา เพราะมีเอกสาร สค.1 ว่ามาบุกเบิกตั้งแต่ 2476 มาก่อนค่ายทหาร
• สนามมวยจากเดิมมี 6 แห่ง เหลือ 2 แห่ง สนามมวยลุมพินีใหญ่ที่สุด และ ไม่ส่งงบการเงินให้ กมธ.ค่าตั๋วของสนามมวยลุมพินีราคาตั้งแต่ 700-10,000 บาท ไม่มีการเปิดเผย MOU ที่ทำกับเอกชน ‘วัน แชมเปี้ยนชิพ’ เป็นโปรแกรมที่มีคนดูจำนวนมากทั่วโลก เท่าที่กองทัพเปิดเผยพบว่า ค่าเช่าจัดงาน 2 วัน 300,000 บาท ขณะที่เอกชนซื้อสปอตโฆษณา 350,000 บาทต่อนาที ถือว่าค่าเช่าถูกมากราวกับทำการกุศล
• ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กองทัพให้เช่าพื้นที่เปิดร้านค้ามากมาย มีจำนวนมากไม่ได้ทำสัญญากับกรมธนารักษ์ โดยมีตลาดอย่างน้อย 18 แห่ง
• ค่าทหารปัจจุบันมี 107 ค่าย มีนโยบายปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กองทัพบกชี้แจงว่าโครงการ ‘Army land’ โปรแกรมสถานที่ท่องเที่ยวของกองทัพมี 307 แห่งทั่วประเทศ
• สนามยิงปืนมี 21 แห่ง
• ฯลฯ
ในส่วนข้อเสนอนั้นวิทยากรแต่ละคนมีข้อเสนอเฉพาะในส่วนของตนที่นำเสนอ โดยมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าเป็นผู้สรุปข้อเสนอในภาพรวมว่า เมื่อพูดถึง ‘ปฏิรูปกองทัพ’ นั้นมีเป้าหมายดังนี้
1. รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ กองทัพโปร่งใสตรวจสอบได้
2. กองทัพมีประสิทธิภาพ มีสมถนะการรบสูง