JJNY : 5in1 สภาเอาด้วย│เตือนสติ! “สมชัย”ชี้บทเรียน│'หอการค้าไทย' ช็อก!│ทีทีบีเตือนหนี้ครัวเรือน│ยึดเมืองท่าสำคัญในยะไข่

สภาเอาด้วย ก้าวไกล ชงญัตติโอนถ่ายขุมทรัพย์กองทัพ ธนาธรมาเอง ร่วมเป็นกมธ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4393971
 
 
“ก้าวไกล” เสนอญัตติตั้งกมธ.วิสามัญโอนถ่ายกิจการกองทัพ “เบญจา” เปิด 5 แหล่งขุมทรัพย์กองทัพเสือนอนกิน ทำให้นายพลเป็นเศรษฐีพันล้าน ด้าน“วิโรจน์” อัดธุรกิจกองทัพเป็นบ่อนทำลายขู่ “สุทิน”ถ้าไม่ปล่อยข้อมูลให้ กมธ.ทหาร เจอซักฟอกแน่ เหน็บนายกฯ เคยใส่ใจหรือไม่ หรือแค่อุทาน “อุ๊ย รับไม่ได้” ขณะที่ “ธนาธร”โผล่นั่ง กมธ.ด้วย

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 มกราคม 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภา คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติ ขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนหน้าที่การให้บริการไฟฟ้าที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการของกองทัพไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมถึงการถ่ายโอนธุรกิจต่างๆ ของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาล ของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ
 
และรวมญัตติในทำนองเดียวกันพิจารณาไปพร้อมกัน อีก 2 ฉบับ คือญัตติขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการขอใช้ที่ดินราชพัสดุสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ในความครอบครองของกองทัพอากาศ เพื่อให้เป็นสวนสาธารณะในการดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ของ นายเชตวัน เตือประโคน ส.ส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ และญัตติขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการย้ายสนามกอล์ฟกานตรัตน์ ออกมาพื้นที่แอร์ไซด์ สนามบินดอนเมือง เพื่อความปลอดภัยตามมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศของนายเอกราช อุดมอำนวย ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ
 
โดย น.ส.เบญจาอภิปรายเหตุผลว่า ขอเปิดกรุสมบัติและอาณาจักรลึกลับขุมทรัพย์ธุรกิจในกองทัพ รวมถึงความมั่งคั่งของนายพลในกองทัพไทย และรายได้ต่างๆ ในธุรกิจทั้งหมด ตลอดจนการเติบโตของนายพล บนเส้นทางเศรษฐีสุดลี้ลับที่แทบจะจับต้องอะไรไม่ได้เลย และพบว่าทรัพสินของนายพลหลังเกษียณ ลงจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.และลงจากตำแหน่งทางการเมือง มีมูลค่าสูงมาก บางรายมี 200 ล้านบาท 300 ล้านบาท 500 ล้านบาท และบางรายมี 800 ล้านบาท และประเทศไทยยังมีนายพลที่มั่งคั่งอีกว่า 3,000 นาย ที่รวยตั้งแต่ระดับ 10 ล้านบาท ไปจนถึงหลัก 100 ล้านบาท 1,000 ล้านบาท ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิดจริงๆ
 
น.ส.เบญจากล่าวต่อว่า แหล่งขุมทรัพย์ลึกลับกองทัพที่เป็นความมั่งคั่งของนายพล ทำให้นายพลหลายคนมีบัญชีทรัพย์สินระดับหลายร้อยล้านบาท ขุมทรัพย์กองทัพที่เป็นเส้นทางเศรษฐีนายพลคือ 
1. ที่ราชพัสดุ กองทัพมีที่ดินราชพัสดุทั่วประเทศ 7.5 ล้านไร่ โดยกองทัพนำมาสร้างเป็นปั๊มน้ำมัน 150 แห่ง สนามกอล์ฟ 74 แห่ง และยังมีรายได้ที่มากกว่าหลายพันล้านบาทต่อปี ยังมีร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัวรายหนึ่งที่ผูกขาดร้านสวัสดิการในค่ายทหาร มีธุรกิจตลาดนัด สโมสร โรงแรม สนามมวย สนามม้า สถานีโทรทัศน์ บ้านพักตากอากาศ ใช้ที่ดินกองทัพไปจัดสรรให้กำลังพลซื้อบ้าน ใครจะร่วมโครงการกู้เงินซื้อบ้านต้องมีผู้บังคับบัญชาเซ็นให้ ผู้ได้ประโยชน์จากการเอาที่ดินรัฐไปให้กำลังพลคือ ผู้บังคับบัญชาที่สูบเลือดสูบเนื้อจากชั้นผู้น้อย
 
2. บอร์ดรัฐวิสาหกิจ 56 แห่ง เป็นขุมทรัพย์ที่ทหารมาเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นงานที่ไม่ตรงความชำนาญทหาร ทั้งบอร์ดรถไฟ การท่องเที่ยว ปตท. ธนาคารต่างๆ บางคนเป็นบอร์ดหลายแห่ง งานสบาย ได้เงินหลายตำแหน่งเป็นเส้นทางเศรษฐีนายพล ไม่เคยตรวจสอบได้

3. งบประมาณกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหน่วยใดตรวจสอบได้ เป็นต้นเหตุทุจริต มีเงินทอนจัดซื้ออาวุธ ตั้งบริษัทของทหารรับงานในกองทัพ
 
4. คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ของกองทัพ 205 คลื่น ซึ่งมากสุดในประเทศ เป็นเสือนอนกินปล่อยเช่าคลื่น ได้เงินมหาศาล แต่ไม่เคยเปิดเผยเงินค่าเช่าคลื่น รวมถึงค่าเช่าโครงข่ายทีวีดิจิทัล ที่ ททบ.5 ได้ค่าเช่าโครงข่าย 1,008 ล้านบาทต่อปี เป็นเสือนอนกินรับรายได้จากคลื่นวิทยุ-โทรทัศน์มหาศาล และ
 
5. ขุมทรัพย์ธุรกิจพลังงาน ทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า โซลาร์ฟาร์ม ที่กองทัพมีกิจการเป็นของตัวเอง ตนจึงเห็นว่าควรถ่ายโอนกิจการต่างๆ ให้มาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของรัฐบาล
 
จากนั้นเปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็น โดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสนับสนุน ว่า ธุรกิจกองทัพไม่ใช่หน้าที่ของทหาร และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด แต่เป็นกลไกที่ทำให้กองทัพเข้ามาพัวพันกับการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ และเป็นแหล่งรายได้นอกระบบของนายพล เครือข่ายอุปถัมภ์ที่อยู่หลังม่านการเมือง กลายเป็นวัฒนธรรมสกปรกที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ขาดความโปร่งใส แม้แต่องค์กรอิสระก็น้ำท่วมปาก กองทัพระบุว่าตรวจสอบตัวเอง แท้จริงแล้วคำว่าตรวจสอบตัวเองมันก็คือการทำตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ โดยไม่มีการตรวจสอบอะไร ทหารมักจะเอาความมั่นคงของประเทศมาเป็นข้ออ้างยืนยันว่า ประเทศไทยในปัจจุบันเมื่อเทียบกับโลก เราอยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง และธุรกิจกองทัพเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศเสียเอง
 
ดัชนีชี้วัดคอร์รัปชั่นกองทัพและหน่วยงานความมั่นคง ผลการประเมินปี 2020 กลับงามไส้ ประเทศไทยถูกประเมินอยู่ในระดับเสี่ยงมาก ประชาชนเข้าไม่ถึงงบประมาณของกองทัพ สะท้อนว่า กองทัพในปัจจุบันขาดสำนึกว่าเงินที่ใช้จ่ายอยู่ในทุกวันนี้เป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ กองทัพและกระทรวงกลาโหมไม่เคยให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ที่ผมเป็นประธาน เดี๋ยวท่านประธานจะรู้ว่า ประธาน  กมธ.ที่ชื่อวิโรจน์ จะจัดการกับรัฐมนตรีที่ชื่อสุทินอย่างไร และหลายครั้งที่หน่วยงานกองทัพไม่ให้ข้อมูลกับ กมธ. หน้าดื้อตาใส ซึ่งเราไม่ยอม โดยมีการทำหนังสือทวงถามกับกระทรวง 3 ครั้ง และจะมีหนังสือจากผม ส่งตรงถึงนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ว่า ขอให้ท่านเร่งสั่งการให้ส่งข้อมูลมาโดยพลัน และมีเส้นตายสุดท้ายจริงๆ เพื่อยืนยันว่าถ้ายังไม่ส่งมา ก็ไม่ใช่แค่หน่วยงานในสังกัดเท่านั้นที่ไม่ให้ความร่วมมือกับ กมธ. แม้แต่รัฐมนตรีที่ชื่อสุทิน ก็มีเจตนาไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ต้องห่วงครับท่านประธาน เจอผมอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน” นายวิโรจน์กล่าว
 
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า งบกลาโหมถูกยกเว้นการรายงานอย่างที่ควรจะเป็นตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ต่างจากกระทรวงอื่น “โอ้โฮ ได้อภิสิทธิ์อีก” ซึ่งประชาชนไม่รู้ว่าธุรกิจกองทัพมีรายได้เท่าไหร่ และเรื่องนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ในฐานะประธานนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เคยทราบหรือเคยใส่ใจหรือไม่ หรือพอทราบแล้วก็อุทานว่า “อุ๊ย ผมรับไม่ได้” ประชาชนเขารับไม่ได้มาตั้งนานแล้วท่านนายกฯ อย่างไรก็ตาม ตนสนับสนุนให้มีการตั้ง กมธ.วิสามัญ รวมทั้งให้จัดการเงินนอกงบประมาณอย่างโปร่งใส ไม่ปล่อยให้เสนาพาณิชย์กลายเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ
 
หลังสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้นที่ประชุม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ทำหน้าที่ประที่ประชุม แจ้งว่า เท่าที่ฟังดูแล้วสมาชิกทุกคนเห็นตรงกันให้ตั้ง กมธ.วิสามัญ จึงถือว่าที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่น จำนวน 25 คน โดย กมธ.ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล มีชื่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มาเป็น กมธ.ด้วย โดยมีระยะเวลาพิจารณา 90 วัน




เตือนสติ! “สมชัย”ชี้บทเรียนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดี “พิธา” ถือหุ้นไอทีวี
https://siamrath.co.th/n/509521

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
 
บทเรียน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีพิธา
 
แม้บทสรุปสุดท้ายคือไม่ผิด ยังคงเป็น สส. ได้ แต่มีหลายบทเรียนที่ก้าวไกลและพรรคการเมืองอื่นพึงสรุปและสังวรณ์
 
1. ศาลให้ความเห็นว่า พิธา มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นในวันสมัคร การอ้างว่าเป็นผู้จัดการมรดก อ้างว่าเป็นหุ้นที่โอนไม่ได้  อ้างว่าโอนด้วยวาจาก่อนเป็นการอ้างที่ศาลไม่รับฟัง
 
2. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ว่า ถือหนึ่งหุ้น ก็ถือว่า ถือหุ้น จะกลายเป็นบรรทัดฐานที่ผูกพันทุกองค์กรในอนาคต  ต่อไปคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ที่บอกว่า ถือหุ้นน้อยไม่สามารถครอบงำ  น่าจะไม่มีอีก
 
3. เป็นบทเรียนว่า ใครจะเข้าสู่การเมือง ให้พิจารณาคุณสมบัติตัวเองให้ดี  มิเช่นนั้นอาจเสียเวลา เสียโอกาส หรือถูกตัดสิทธิและมีโทษอาญาตามมาได้
 
4. การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคราวนี้ เป็นคำวินิจฉัยที่เป็นแบบอย่างน่าสนใจ คือ ครอบคลุมครบถ้วนทั้งในมุมนิติศาสตร์ ที่ระบุว่า พิธา ยังมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นในวันสมัคร การถือหุ้นมากหรือน้อยรัฐธรรมนูญไม่ระบุ ไอทีวี ยังมีฐานะเป็นบริษัท มีวัตถุประสงค์การประกอบการสื่อ  และมุมในข้อเท็จจริง ที่ ณ ปัจจุบัน ไอทีวีไม่ได้อยู่ในสถานะประกอบกิจการสื่อ
 
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid02R7wvTDT84xuLLns2VymEL6DYkFSt1SXB75vKv3fqNaYyRT9NtxSq7vpa5d8xEzXYl
 


'หอการค้าไทย' ช็อก! ตัวเลขจีดีพี ปี 66 เศรษฐกิจโตเเค่ 1.8% ชี้ก.คลัง-แบงก์ชาติ ต้องจับเข่าคุยกัน
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/384207

หอการค้าไทย กังวลตัวเลขจีดีพี. ปี 66 ที่ กระทรวงการคลังแถลงออกมาว่าจะโตเเค่ 1.8% ชี้กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ ต้องจับเข่าคุย และมีความจำเป็นที่นโยบายการคลังและการเงิน ต้องเดินควบคู่กัน

ด้านนายธนวรรษณ์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พญากรณ์เศรษฐกิจฯ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แสดงความกังวลกับตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 66 ที่ กระทรวงการคลังแถลงออกมา โดยคาดว่าจะโตเพียง 1.8% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และเกินคาด ขณะที่ปีนี้ (67) ที่คาดว่าจะโตเพียงแค่ 2.8% ก็ต้องมาวิเคราะห์และประเมินว่า เกิดจากปัญหาอะไร ตัวเลขจึงออกมาต่ำ โดยกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ และสภาพัฒน์ ต้องมานั่งคุยกันว่า จะใช้แนวทางใด เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาโตเกิน 3% ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่มาตรการด้านการคลังและการเงินต้องเดินควบคู่กัน โดยด้านการคลังการเบิกจ่ายงบประมาณกำลังเดินหน้า ขณะที่นโยบายด้านการเงินต้องผ่อนคลาย เพื่อให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบ และลดต้นทุนด้านสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ ซึ่งหากทั้งสองด้านเดินไปพร้อมกัน ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจปีนี้ จะโตเกิน 3% และหากมีดิจิทัลวอลเล็ต จะโตได้ถึง 3.2% แต่สิ่งรัฐบาลต้องทำควบคู่ไปด้วย คือ มีโครงกาลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจจริงของไทยจะเป็นเท่าไรนั้น ต้องรอดูการประกาศจากทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จะเปิดข้อมูลออกมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ เพราะแต่ละหน่วยงาน หรือ กระทรวงการคลัง ที่ออกตัวเลขมา ยังเป็นเพียงแค่คาดการณ์เท่านั้น
 
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/YAtaJvTq8lo

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่