JJNY : สุทินซัดรบ.ไร้สาระ ไม่รับความจริง/อนุดิษฐ์ชี้สัญญาณนับถอยหลังรบ./นักวิชาการโพสต์กระทุ้งแก้ฝุ่น/ไวรัสทำศก.เสี่ยง

สุทิน ซัดรบ.ไร้สาระ ไม่รับความจริง ไม่ให้ใส่ชื่อประยุทธ์ฉีกรธน. จะให้ใส่ชื่อทักษิณหรือ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_1943493
 

 
“สุทิน” ซัดรัฐบาลไม่ยอมรับความจริง ไร้สาระ ปม ฉีกรัฐธรรมนูญ เหน็บหากไม่ใส่ชื่อ “บิ๊กตู่” จะใส่ชื่อ “แม้ว”แทน โวตวิปรบ.บล็อกให้ซักฟอก 25 ก.พ. ชนปิดสมัยประชุม ยัน 19 ก.พ.เหมาะสุด หรือ10 ก.พ.ก็พร้อม
 
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่วิปรัฐบาล ยื่นเรื่องขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแก้ญัตติของฝ่ายค้านที่ขออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยอ้างว่ามีการใช้ถ้อยคำอันเป็นเท็จ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยของฝ่ายรัฐบาลเองว่าเป็นเท็จ ถือว่าไม่ชอบ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นอำนาจการวินิจฉัยของประธานสภา ส่วนตัวไม่เห็นว่าญัตติดังกล่าวเป็นเท็จได้อย่างไร เพราะถ้าคิดว่าเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเท็จ ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นคนบอกมาว่าใครเป็นคนฉีกรัฐธรรมนูญ จะเป็นพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หรือใคร ซึ่งตนเห็นว่า เป็นความจริง แต่รัฐบาลไม่ยอมรับความจริง แต่ถ้าเป็นภาษาเป็นถ้อยคำเฉยๆ ตนคิดว่า เป็นเรื่องหยุมหยิม ควรเอาความจริงมาเป็นที่ตั้ง ถ้าเราไม่บอกว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนล้มล้างรัฐธรรมนูญ เราก็ไม่รู้จะไปกล่าวหาใคร หรือจะเอา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แทน
 
ตนจึงคิดว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นสาระ และเราต้องฟังประธานสภาฯ วินิจฉัยมากกว่ารัฐบาล เมื่อถามว่าการใช้คำว่า ล้มล้างกับคำว่า ฉีกรัฐธรรมนูญ คำไหนแรงกว่ากัน นายสุทินกล่าวว่า ที่จริงคำว่าล้มล้างกับฉีกไม่ต่างกัน เพียงแต่คำว่าการฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นภาษาพูด แต่ล้มล้างเป็นภาษาเขียนซึ่งความรุนแรงเท่ากัน แต่รัฐบาลไม่ยอมรับความจริง ทั้งนี้ส่วนตัวไม่อยากคิดว่าเป็นการตีรวน และไม่ต้องการให้เรื่องนี้มาเป็นประเด็น
 
ต่อข้อถามว่า วิปรัฐบาลระบุว่า ยอมไม่ได้ หากมีการอภิปรายย้อนหลังไปรัฐบาลคสช. อาจจะมีการป่วนตั้งแต่เริ่มต้น นายสุทิน กล่าวว่า คิดว่ารัฐบาลตั้งใจใช้ประเด็นนี้อยู่แล้ว เพื่อขัดจังหวะการทำงานของฝ่ายค้าน ซึ่งอยู่ที่การวินิจฉัยของประธานสภาฯ ที่นัดประชุมวันที่ 5 ก.พ.ว่าจะสามารถท้าวความไปได้แค่ไหน ยืนยันว่าเราจะทำตามข้อบังคับและกฎหมาย อย่างไรก็ตามต้องดูที่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นว่าเกิดขึ้นจากจุดไหน แล้วต้องมาพิจารณาดูว่าอภิปรายย้อนหลังหรือไปข้างหน้า แต่ถ้าจะให้อภิปรายแต่ข้างหน้าก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ทำให้ต้องมีการอภิปรายย้อนหลังไปถึงช่วง คสช. บ้าง เพราะหลายเรื่องเกิดจากรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องโยงไปถึงจุดตั้งต้นของปัญหา
 
ส่วนการกำหนดวันอภิปราย ที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอให้อภิปรายตั้งแต่วันที่ 25 -27 ก.พ. และลงมติวันที่ 28 ก.พ. นายสุทิน กล่าวว่า เห็นว่าเป็นความพยายามของฝ่ายรัฐบาลที่จะบล็อควันอภิปรายให้ชนกับวันปิดสมัยประชุมสภาฯในวันที่ 28 ก.พ.นี้ เป็นการบังคับทางอ้อม ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะกดดันทำให้ผิดข้อบังคับและเจตนารมณ์ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะตามรัฐธรรมนูญต้องให้ฝ่ายค้านอภิปรายจนครบถ้วน หากอภิปรายตามที่ฝ่ายรัฐบาลกำหนด แล้ววันที่ 28 ก.พ.อภิปรายไม่จบจะทำอย่างไร ต้องเปิดการประชุมวิสามัญหรือไม่ เพราะถ้าอภิปรายไม่จบก็ปิดไม่ได้ ซึ่งไม่น่าจะต้องใช้วิธีนี้ ดังนั้นส่วนตัวยังเห็นว่า วันที่เหมาะสม ควรจะเริ่มต้นเป็นวันที่ 19 ก.พ. เรื่อยไปจบเมื่อไหร่ก็เหมือนนั้น หรือจะเร็วกว่านั้นก็ได้ ฝ่ายค้านพร้อมตลอด จะเอาวันที่ 10 ก.พ.ก็ได้ ไม่ได้มีปัญหา
 

 
'อนุดิษฐ์' ชี้ศึกซักฟอกคือ สัญญาณนับถอยหลังของรัฐบาล
https://voicetv.co.th/read/LLotN7HNz
 
"อนุดิษฐ์" ชี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจคือ สัญญาณการนับถอยหลังของรัฐบาล ส่วนสาเหตุที่คะแนนนิยมของ "พล.อ.ประยุทธ์" ลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
 
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลสำรวจดัชนีการเมืองไทยของสวนดุสิตโพล ที่พบว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลแย่ลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 โดยนายกรัฐมนตรีสอบตกได้คะแนนเพียง 3.6 จากคะแนนเต็ม 10 จากผลการสำรวจที่รัฐบาลได้คะแนนไม่ถึงครึ่งมานานแล้ว และลดต่ำลงเรื่อย ๆ อย่างที่รัฐบาลในอดีตไม่เคยมีใครได้รับมาก่อน สะท้อนถึงความไม่ยอมรับของประชาชนที่ไม่ใช่แค่ภาวะเบื่อหน่ายธรรมดา แต่น่าจะใกล้ถึงจุดที่ประชาชนเริ่มทนไม่ไหวและอาจถึงจุดเดือดในวันใดวันหนึ่งได้ หากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศยังย่ำแย่อยู่อย่างนี้
 
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะประชาชนผิดหวังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซ้ำซากในหลาย ๆ กรณี นอกจากเรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่ยังแก้ไม่ได้แล้ว แม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างหน้ากากอนามัยแก้ฝุ่นพิษรัฐบาลก็ยังปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเองตามยถากรรม หรือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่คนบ่นกันทั้งเมืองว่าผู้นำรัฐบาลขาดความเด็ดขาดและขาดวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา จนทำให้คนไทยเริ่มได้รับผลกระทบ ทั้งที่ควรจะป้องกันได้
 
"การแก้ปัญหาความยากจนที่รัฐบาลได้คะแนนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ล้มเหลวในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการแจกเงินคนจนกับโครงการชิมช้อปใช้ ที่นักวิชาการเชื่อว่าเอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัวเพียงไม่กี่ราย จนเกิดภาวะรวยกระจุก จนกระจาย และเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากยิ่งขึ้น " น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
 
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะมีขึ้นประมาณวันที่ 19-21 กุมภาพันธุ์ น.อ.อนุดิษฐ์ เห็นว่าไม่ต่างจากสัญญาณการนับถอยหลังของ พล.อ.ประยุทธ์  เพราะหากประชาชนได้เห็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านมืดที่ไม่เคยถูกตรวจสอบมายาวนานถึง 6 ปี คงยากที่จะทำใจยอมรับให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไปได้ หลังจากหมดศรัทธาในฝีมือการบริหารราชการแผ่นดินมานานแล้ว
 
"ผมคงต้องวิงวอนพล.อ.ประยุทธ์ หากยังคงเดินหน้าบริหารประเทศแบบผิด ๆ ต่อไป โดยไม่ยอมรับความผิดพลาดหรือเสียงทักท้วงใดๆ ก็เชื่อว่า สุดท้ายจุดจบของ พล.อ.ประยุทธ์ คงจะไม่แตกต่างจากผู้นำกองทัพคนอื่นๆ ที่เริ่มต้นด้วยการยึดอำนาจอย่างยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายอาจจบลงด้วยการถูกโห่ไล่จากประชาชน" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่