หมอไทยสุดยอด!“รพ.ราชวิถี” ค้นพบยาปราบไวรัสโคโรนาสำเร็จรายแรกของโลก!
ใช้ยาขององค์การเภสัชกรรม เป็นยาต้านไวรัสเอดส์กับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ในผู้ป่วยชาวจีนที่โคม่าอาการดีขึ้นใน 48 ชม. ผลแล็บเป็นลบ ขณะสธ.เตรียมพร้อมส่งทีมแพทย์ไปร่วมรับ 84 คนไทยกลับบ้าน 4 ก.พ.นี้
เมื่อวันที่ 2 ก.พ.63 กระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงสถานการณ์ของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ได้กล่าวถึงการเตรียมรับคนไทยที่ยังคงอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 4 ก.พ.63 ว่า ได้เตรียมความพร้อม ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ส่งทีมแพทย์ 8 คน ร่วมปฏิบัติการดูแล ซึ่งเมื่อคนไทยทั้ง 64 คน เดินทางมาถึงประเทศไทย จะนำไปกักตัวเพื่อเฝ้าระวังโรค ซึ่งได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ 3-4 แห่ง โดยต้องหารือกับนายกรัฐมนตรีก่อน
ขณะที่น.พ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ล่าสุดมีข่าวดีว่า ทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี ได้ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิธีการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่มีอการในการดูแลผู้ป่วยชาวจีน ทีมแพทย์รพ.ราชวิถี สามารถคิดค้นวิธีการรักษาผู้ป่วยชาวจีนที่ติดไวรัสโคโรน่าที่มีอาการรุนแรง จนอาการดีขึ้นได้ภายใน 48 ชั่วโมง ผลแล็บออกมาเป็นลบ โดยใช้ยาที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม เป็นยาต้านไวรัสเอดส์ควบคู่กับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยทีมแพทย์คือ นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ รพ.ราชวิถี และรศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาว นายแพทย์เชี่ยวชาญ รพ.ราชวิถี
ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.พ.63 เวลา 13.30 น. พบว่ายอดติดเชื้อรวม 14,569 ราย เสียชีวิต 305 ราย โดยสถานการณ์ในไทย มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ 19 ราย หายป่วยกลับบ้านแล้ว 8 ราย และนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 11 ราย
https://siamrath.co.th/n/130206
ด่วน! รพ.ราชวิถี ค้นพบที่แรก สูตรยารักษาผู้ป่วย 'ไวรัสโคโรน่า' ที่อาการรุนแรง
แพทย์ไทยเจ๋งคิดค้น”สูตรยาราชวิถี” รักษาผู้ป่วยติดไวรัสโคโรน่าอาการรุนแรง ดีขึ้นใน 12 ชั่วโมง ผลตรวจเชื้อเป็นลบใน 48 ชั่วโมง ใช้ยาผลิตได้ในไทยโดยอภ. สูตรใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีร่วมกับยาโอเซลทามิเวียร์
เมื่อเวลา14.00 น. วันที่ 2 กุมภาพันธุ์ 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ภายหลังจากการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขว่า วันนี้มีนิมิตหมายที่ดี ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลราชวิถี สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้มารายงานในเรื่องของการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งโรงพยาบาลราชวิถีได้ค้นพบวิธีการรักษาที่ได้ผลรวดเร็ว ผลการฟื้นตัวของคนไข้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่มีคนไข้รายหนึ่งมีอาการค่อนข้างที่จะรุนแรงตอนที่เข้ามารักษา
สำหรับทีมแพทย์ที่ให้การรักษาผู้ป่วย คือ นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช อายุรแพทย์โรคปอด นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลราชวิถี และ รศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาว นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลราชวิถี
นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช อายุรแพทรย์โรคปอด นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลราชวิถี อธิบายว่า หลังจากที่รับการส่งต่อผู้ป่วยชาวจีนจากเมืองอู่ฮั่น อายุ 70 กว่าปี มาจากโรงพยาบาลในอำเภอหัวหิน ประวัติมีโรคประจำตัวเป็นความดัน แต่จากที่ตรวจเข้าใจว่ามีหัวใจโตด้วย ตอนรับคนไข้เข้ามาอาการหนักมากมีภาวะปอดอักเสบ น้ำท่วมปอด และค่าการอักเสบในเลือดเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงขนาดที่อาจจะต้องตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเครื่องช่วยหายใจแบบไม่ใส่ท่อ จึงรีบให้ยารักษาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าภายในไม่ถึง 12 ชั่วโมง จากคนไข้ที่ดูอ่อนเพลีย ลุกไม่ได้ กลับมาลุกนั่งได้และไข้ลดลง
หลังจากนั้นอาการเหนื่อยน้อยลง ถามว่าตอนนี้อาการคนไข้เป็นอย่างไร ยังไม่ได้หาย แต่อาการดีขึ้นชัดเจน และผลตรวจเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในห้องแล็บจากที่ได้รับการรักษาก่อนหน้ามา 10 กว่าวันเป็นบวกมาตลอด หลังจากได้สูตรยาที่พยายามใช้ปรากฏว่าผลตรวจเชื้อเป็นลบภายใน 48 ชั่วโมง โดยเป็นการตรวจยืนยันจากห้องแล็บของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นศึกษาจากข้อมูลที่มีรายงานการรักษาที่ได้ผล คือ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งประเทศไทยมีอยู่แล้ว แต่เมื่อคนไข้ที่มีอาการหนักได้รับยานี้จากรพ.แรกไปแล้วเป็นเวลา 2 วัน อาการไม่ได้ดีขึ้น แย่ลงเรื่อยๆ จึงใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วเช่นกัน โดยใช้ในขนาดที่สูงเพราะเป็นคนไข้ที่มีอาการหนัก โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่ายาตัวนี้ใช้ได้ผลในการรักษาโรคเมอร์ส ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มโคโรน่าเช่นเดียวกัน จึงตัดสินใจว่าในเมื่อคนไข้อาการหนัก ต้องรักษาคนไข้ไว้ก่อน จึงตัดสินใจให้ยาทั้ง 2 ตัว แล้วคอยรักษาผลข้างเคียงและคอยดูคนไข้ทุกวัน โดยให้ยาตั้งแต่วันแรกที่รับเข้ารักษาที่รพ.ราชวิถี เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563
สัดส่วนของการให้ยาทั้ง 2 กลุ่ม โดยยาต้านไวรัสเอชไอวีที่เป็นยาสูตรผสมโลพินาเวียร์ +ลิโทนาเวียร์ ในเม็ดเดียวกัน โดยให้ครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น และร่วมกับการให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ 75 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ทั้งนี้ แนวโน้มการรักษาด้วยสูตรยานี้ทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น แต่ยังต้องรอการศึกษาที่จะบอกว่าการรักษาวิธีนี้เป็นมาตรฐานการรักษา ซึ่งในจีนที่แนะนำการรักษาก่อนหน้านี้ คือใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเดียว ไม่ได้ให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าทางจีนหรือประเทศอื่นๆ มีการรักษาด้วยวิธีการนี้หรือไม่ อาจจะมีก็ได้แต่ยังไม่ได้มีการรายงานออกมา
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า มีอีกหนึ่งรายที่รักษาตามสูตรยานี้เช่นกัน ซึ่งเป็นคนไทย อายุ 33 ปี มีอาการปอดอัดเสบเช่นกัน แต่ติดเชื้อและมีอาการที่ประเทศญี่ปุ่น และไม่ได้มีประวัติสัมผัสคนจีน โดยหลังจากได้รับยาตามสสูตรนี้แล้ว อาการดีขึ้นมาก แต่ยังไม่อยากเปิดเผยเพราะต้องรอให้ผลแล็บตรวจเชื้อระบุเป็นลบก่อน
“ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานในการรักษา เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่อมีใครรายงานว่ารักษาได้ผลก็จะต้องติดตาม และศึกษาทุกวัน ซึ่งแพทย์ทุกคนของกรมการแพทย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ศึกษาและเปิดดูว่ามีรายงานเรื่องการรักษาใหม่ๆขึ้นมากทุกวันหรือไม่ ถ้ามีก็เอามารักษาคนไทยอยู่แล้ว แต่สูตรยาร่วมที่รพ.ราชวิถีใช้ยังไม่เคยมีใครรายงาน ซึ่งอาจจะมีคนใช้แต่ยังไม่มีคนรายงาน" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว
รศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาว นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า วิธีการรักษาในประเทศต่างๆนั้น ทางการจีนและประเทศอื่นมีการรายงานออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือของแพทย์ทั่วโลกจะทำการพัฒนาการรรักษาร่วมกัน โดยไทยจะเป็นประเทศหนึ่งร่วมช่วยกัน
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการรายงานกรณีศึกษาการรักษาผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยใช้รักษาวิธีนี้ 3 ราย แต่ 1 รายแพ้ยาโอเซลทามิเวียร์จึงหยุดการให้ยาที่แพ้ ส่วนอีก 2 ราย เมื่อได้รับสูตรยานี้ก็อาการดีขึ้น โดยหลักแนวทางคำแนะนำในการรักษามาตรฐาน คงจะยึดจากรายงานทั่วโลก โดยเฉพาะของจีนที่ออกมา แต่แพทย์รพ.ราชวิถีได้เพิ่มการให้ยาโอเซลทามิเวียร์ด้วย และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 จะมีการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทย จะมีการนำวิธีการรักษาเช่นนี้เข้าหารือและพิจารณาร่วมกัน ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาหลักเกณฑ์แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อในไทย โดยหากมีอาการไม่หนัก ให้ใช้วิธีการรักษาตามปกติ คือการรักษาตามอาการ ซึ่งที่ผ่านมาแพทย์ไทยก็รักษาหาย แต่หากเป็นคนไข้ที่อาการหนัก จะมีแนวทางการใช้สูตรยาตามของรพ.ราชวิถีเป็นทางเลือกการรักษา และมีการเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ และจะมีการแบ่งปันข้อมูลร่วมกับนานาประเทศด้วย
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/864634
เป็นข่าวดีที่เปิดมาก็อ่านพบในวันนี้เลยค่ะ
ขอปรบมือให้คุณหมอที่ได้ค้นพบยารักษาโคโรนาไวรัสได้ในผู้ป่วยรุนแรง
สมกับที่ไทยได้เป็นประเทศที่ป้องกันโรคระบาดได้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย เป็นอันดับ 6 ของโลก
เพราะเรามีบุคลากรเก่งๆที่ทำงานเพื่อผู้ป่วยและดูแลประชาชนมีคุณภาพอย่างหน้าชื่นชมค่ะ
⚘มาลาริน/ข่าวดีที่สุด..หมอไทยสุดยอด!“รพ.ราชวิถี” ค้นพบยาปราบไวรัสโคโรนาสำเร็จรายแรกของโลก!
ใช้ยาขององค์การเภสัชกรรม เป็นยาต้านไวรัสเอดส์กับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ในผู้ป่วยชาวจีนที่โคม่าอาการดีขึ้นใน 48 ชม. ผลแล็บเป็นลบ ขณะสธ.เตรียมพร้อมส่งทีมแพทย์ไปร่วมรับ 84 คนไทยกลับบ้าน 4 ก.พ.นี้
เมื่อวันที่ 2 ก.พ.63 กระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงสถานการณ์ของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ได้กล่าวถึงการเตรียมรับคนไทยที่ยังคงอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 4 ก.พ.63 ว่า ได้เตรียมความพร้อม ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ส่งทีมแพทย์ 8 คน ร่วมปฏิบัติการดูแล ซึ่งเมื่อคนไทยทั้ง 64 คน เดินทางมาถึงประเทศไทย จะนำไปกักตัวเพื่อเฝ้าระวังโรค ซึ่งได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ 3-4 แห่ง โดยต้องหารือกับนายกรัฐมนตรีก่อน
ขณะที่น.พ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ล่าสุดมีข่าวดีว่า ทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี ได้ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิธีการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่มีอการในการดูแลผู้ป่วยชาวจีน ทีมแพทย์รพ.ราชวิถี สามารถคิดค้นวิธีการรักษาผู้ป่วยชาวจีนที่ติดไวรัสโคโรน่าที่มีอาการรุนแรง จนอาการดีขึ้นได้ภายใน 48 ชั่วโมง ผลแล็บออกมาเป็นลบ โดยใช้ยาที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม เป็นยาต้านไวรัสเอดส์ควบคู่กับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยทีมแพทย์คือ นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ รพ.ราชวิถี และรศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาว นายแพทย์เชี่ยวชาญ รพ.ราชวิถี
ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.พ.63 เวลา 13.30 น. พบว่ายอดติดเชื้อรวม 14,569 ราย เสียชีวิต 305 ราย โดยสถานการณ์ในไทย มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ 19 ราย หายป่วยกลับบ้านแล้ว 8 ราย และนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 11 ราย
https://siamrath.co.th/n/130206
ด่วน! รพ.ราชวิถี ค้นพบที่แรก สูตรยารักษาผู้ป่วย 'ไวรัสโคโรน่า' ที่อาการรุนแรง
แพทย์ไทยเจ๋งคิดค้น”สูตรยาราชวิถี” รักษาผู้ป่วยติดไวรัสโคโรน่าอาการรุนแรง ดีขึ้นใน 12 ชั่วโมง ผลตรวจเชื้อเป็นลบใน 48 ชั่วโมง ใช้ยาผลิตได้ในไทยโดยอภ. สูตรใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีร่วมกับยาโอเซลทามิเวียร์
เมื่อเวลา14.00 น. วันที่ 2 กุมภาพันธุ์ 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ภายหลังจากการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขว่า วันนี้มีนิมิตหมายที่ดี ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลราชวิถี สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้มารายงานในเรื่องของการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งโรงพยาบาลราชวิถีได้ค้นพบวิธีการรักษาที่ได้ผลรวดเร็ว ผลการฟื้นตัวของคนไข้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่มีคนไข้รายหนึ่งมีอาการค่อนข้างที่จะรุนแรงตอนที่เข้ามารักษา
สำหรับทีมแพทย์ที่ให้การรักษาผู้ป่วย คือ นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช อายุรแพทย์โรคปอด นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลราชวิถี และ รศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาว นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลราชวิถี
นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช อายุรแพทรย์โรคปอด นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลราชวิถี อธิบายว่า หลังจากที่รับการส่งต่อผู้ป่วยชาวจีนจากเมืองอู่ฮั่น อายุ 70 กว่าปี มาจากโรงพยาบาลในอำเภอหัวหิน ประวัติมีโรคประจำตัวเป็นความดัน แต่จากที่ตรวจเข้าใจว่ามีหัวใจโตด้วย ตอนรับคนไข้เข้ามาอาการหนักมากมีภาวะปอดอักเสบ น้ำท่วมปอด และค่าการอักเสบในเลือดเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงขนาดที่อาจจะต้องตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเครื่องช่วยหายใจแบบไม่ใส่ท่อ จึงรีบให้ยารักษาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าภายในไม่ถึง 12 ชั่วโมง จากคนไข้ที่ดูอ่อนเพลีย ลุกไม่ได้ กลับมาลุกนั่งได้และไข้ลดลง
หลังจากนั้นอาการเหนื่อยน้อยลง ถามว่าตอนนี้อาการคนไข้เป็นอย่างไร ยังไม่ได้หาย แต่อาการดีขึ้นชัดเจน และผลตรวจเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในห้องแล็บจากที่ได้รับการรักษาก่อนหน้ามา 10 กว่าวันเป็นบวกมาตลอด หลังจากได้สูตรยาที่พยายามใช้ปรากฏว่าผลตรวจเชื้อเป็นลบภายใน 48 ชั่วโมง โดยเป็นการตรวจยืนยันจากห้องแล็บของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นศึกษาจากข้อมูลที่มีรายงานการรักษาที่ได้ผล คือ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งประเทศไทยมีอยู่แล้ว แต่เมื่อคนไข้ที่มีอาการหนักได้รับยานี้จากรพ.แรกไปแล้วเป็นเวลา 2 วัน อาการไม่ได้ดีขึ้น แย่ลงเรื่อยๆ จึงใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วเช่นกัน โดยใช้ในขนาดที่สูงเพราะเป็นคนไข้ที่มีอาการหนัก โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่ายาตัวนี้ใช้ได้ผลในการรักษาโรคเมอร์ส ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มโคโรน่าเช่นเดียวกัน จึงตัดสินใจว่าในเมื่อคนไข้อาการหนัก ต้องรักษาคนไข้ไว้ก่อน จึงตัดสินใจให้ยาทั้ง 2 ตัว แล้วคอยรักษาผลข้างเคียงและคอยดูคนไข้ทุกวัน โดยให้ยาตั้งแต่วันแรกที่รับเข้ารักษาที่รพ.ราชวิถี เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563
สัดส่วนของการให้ยาทั้ง 2 กลุ่ม โดยยาต้านไวรัสเอชไอวีที่เป็นยาสูตรผสมโลพินาเวียร์ +ลิโทนาเวียร์ ในเม็ดเดียวกัน โดยให้ครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น และร่วมกับการให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ 75 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ทั้งนี้ แนวโน้มการรักษาด้วยสูตรยานี้ทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น แต่ยังต้องรอการศึกษาที่จะบอกว่าการรักษาวิธีนี้เป็นมาตรฐานการรักษา ซึ่งในจีนที่แนะนำการรักษาก่อนหน้านี้ คือใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเดียว ไม่ได้ให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าทางจีนหรือประเทศอื่นๆ มีการรักษาด้วยวิธีการนี้หรือไม่ อาจจะมีก็ได้แต่ยังไม่ได้มีการรายงานออกมา
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า มีอีกหนึ่งรายที่รักษาตามสูตรยานี้เช่นกัน ซึ่งเป็นคนไทย อายุ 33 ปี มีอาการปอดอัดเสบเช่นกัน แต่ติดเชื้อและมีอาการที่ประเทศญี่ปุ่น และไม่ได้มีประวัติสัมผัสคนจีน โดยหลังจากได้รับยาตามสสูตรนี้แล้ว อาการดีขึ้นมาก แต่ยังไม่อยากเปิดเผยเพราะต้องรอให้ผลแล็บตรวจเชื้อระบุเป็นลบก่อน
“ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานในการรักษา เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่อมีใครรายงานว่ารักษาได้ผลก็จะต้องติดตาม และศึกษาทุกวัน ซึ่งแพทย์ทุกคนของกรมการแพทย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ศึกษาและเปิดดูว่ามีรายงานเรื่องการรักษาใหม่ๆขึ้นมากทุกวันหรือไม่ ถ้ามีก็เอามารักษาคนไทยอยู่แล้ว แต่สูตรยาร่วมที่รพ.ราชวิถีใช้ยังไม่เคยมีใครรายงาน ซึ่งอาจจะมีคนใช้แต่ยังไม่มีคนรายงาน" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว
รศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาว นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า วิธีการรักษาในประเทศต่างๆนั้น ทางการจีนและประเทศอื่นมีการรายงานออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือของแพทย์ทั่วโลกจะทำการพัฒนาการรรักษาร่วมกัน โดยไทยจะเป็นประเทศหนึ่งร่วมช่วยกัน
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการรายงานกรณีศึกษาการรักษาผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยใช้รักษาวิธีนี้ 3 ราย แต่ 1 รายแพ้ยาโอเซลทามิเวียร์จึงหยุดการให้ยาที่แพ้ ส่วนอีก 2 ราย เมื่อได้รับสูตรยานี้ก็อาการดีขึ้น โดยหลักแนวทางคำแนะนำในการรักษามาตรฐาน คงจะยึดจากรายงานทั่วโลก โดยเฉพาะของจีนที่ออกมา แต่แพทย์รพ.ราชวิถีได้เพิ่มการให้ยาโอเซลทามิเวียร์ด้วย และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 จะมีการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทย จะมีการนำวิธีการรักษาเช่นนี้เข้าหารือและพิจารณาร่วมกัน ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาหลักเกณฑ์แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อในไทย โดยหากมีอาการไม่หนัก ให้ใช้วิธีการรักษาตามปกติ คือการรักษาตามอาการ ซึ่งที่ผ่านมาแพทย์ไทยก็รักษาหาย แต่หากเป็นคนไข้ที่อาการหนัก จะมีแนวทางการใช้สูตรยาตามของรพ.ราชวิถีเป็นทางเลือกการรักษา และมีการเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ และจะมีการแบ่งปันข้อมูลร่วมกับนานาประเทศด้วย
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/864634
เป็นข่าวดีที่เปิดมาก็อ่านพบในวันนี้เลยค่ะ
ขอปรบมือให้คุณหมอที่ได้ค้นพบยารักษาโคโรนาไวรัสได้ในผู้ป่วยรุนแรง
สมกับที่ไทยได้เป็นประเทศที่ป้องกันโรคระบาดได้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย เป็นอันดับ 6 ของโลก
เพราะเรามีบุคลากรเก่งๆที่ทำงานเพื่อผู้ป่วยและดูแลประชาชนมีคุณภาพอย่างหน้าชื่นชมค่ะ