แสงระวี... บทที่ 1


.

                แสงระวีเด็กสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ครอบครัวฐานะปานกลาง ชื่อเล่นของเธอคือวี วีไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องให้ชื่อเล่นตนเองชื่อวีเหมือนผู้ชายด้วย เหมือนพระเอกละครชื่อดัง

                 ถามแม่แล้วแม่ก็ตอบแบบภาคภูมิใจทุกครั้งเช่นกันว่า “ชื่อพระเอกที่แม่ชอบไงล่ะ วีรภาพ แม่ไม่ผิดๆที่แกเกิดเป็นผู้หญิงเอง ฮา ” ตามด้วยเสียงหัวเราะพึงพอใจและแววตาอันชื่นชอบภูมิใจในชื่อนี้ของแม่มาก ถ้าตนเองเกิดเป็นผู้ชายชื่อจริงคงหนีไม่พ้นวีรภาพอย่างไม่ต้องสงสัย

                เธอมีรูปร่างผอมบาง ผิวขาว มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อวา และ มีน้องชายชื่อวาย น้องสาวนั้นสูงผอมผิวคล้ำได้พ่อมา น้องชายเองก็ยังได้ความสูงจากพ่อมาเช่นกัน

                 ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก เติบโตมากับวัฒนธรรมคนต่างจังหวัด ทำนา ทำไร่ เปิดเทอมเรียนหนังสือ ปิดเทอมอยู่บ้านเล่นไปวันๆจนกระทั่งเธอเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หก เพื่อน ๆ ต่างหาที่เรียนต่อมัธยมกัน เธอมีความใฝ่ฝันอยากเข้าไปเรียนในตัวจังหวัดมาก

                “แม่วีอยากเข้าไปเรียนต่อในเมือง เจลกับเจนก็เข้าไปเรียนในเมืองด้วย” แสงระวีพูดขณะนำกระเป๋านักเรียนมาวางไว้บนชั้นวางที่พ่อทำให้ เมื่อเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน แม่กำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าวมื้อเย็นในครัว เวลาตอนนี้แค่สี่โมงเย็นกว่า ๆ

                 เจลกับเจนที่พูดถึงเป็นฝาแฝดกัน เป็นญาติของเธอ เวลาไปไหนมาไหนผู้คนมักจะเรียกแฝดสามเสมอ เพราะเป็นญาติกันทำให้ใบหน้าของเธอมีความละม้ายคล้ายกับเจลและเจนอยู่ไม่น้อย

                 “เรียนโรงเรียนประจำตำบลเรานี่แหละ” แม่ตอบมาจากในครัว “พ่อบอกว่าเก็บเงินไว้ให้เข้ามหาลัย เรียนที่ไหนก็เหมือนกันถ้าตั้งใจเรียนซะอย่าง” ตอบมาจากในครัว ไม่ถามเธอสักคำว่าอยากเรียนที่นั่นไหม

               “แต่วีอยากเรียนในเมืองอ่ะ เจลกับเจนก็เรียนนะแม่” พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าปนขัดใจ อยากเข้าไปเรียนในเมืองเหมือนเพื่อน เธอหวังเป็นอย่างมากต้องผิดหวังเพราะแม่ไม่อนุญาต

                “ลุงกับป้าเองเค้ารวย พ่อกับแม่หาเช้ากินค่ำ เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกลูก พ่อแม่พยายามให้ได้เรียนสูงๆกับเค้าก็ถือว่าบุญแล้ว ไหนจะน้องสองคนอีก” แม่อธิบาย ไม่สนใจว่าเธอจะหน้ามุ่ย หน้างอ น้ำตาคลอแต่อย่างไร เธอคงได้เรียนต่อที่โรงเรียนตำบลนั่นแหละ ถึงจะขัดใจมากแค่ไหนก็ไม่คิดจะเถียงแม่

                 แสงระวีเปลี่ยนชุดนักเรียนออก ล้างจานชามให้แม่เรียบร้อย ก่อนปั่นจักรยานคู่ใจไปเล่นบ้านเจลกับเจนเช่นทุกวัน ปั่นจักรยานมาถึงบ้านคู่แฝด จอดรถไว้หน้าบ้าน เห็นรองเท้าของทั้งสองคนหน้าประตู แปลว่าอยู่ในบ้านนั่นแหละ จากนั้นจึงเดินเข้าไป

                 “ลุงจันทร์วัสดีจ้า ป้าก้อยวัสดี” ยกมือไหว้ทักทายลุงกับป้าเมื่อเดินเข้ามาภายในบ้าน ส่วนเพื่อนสองคนกำลังนั่งเล่นเกมในคอมพิวเตอร์อย่างสนุกสนาน เห็นแล้วอิจฉาเหลือเกิน

               “พ่ออยู่มั้ยวี” ลุงจันทร์ถาม

                 “ไม่จ้ะ อยู่แต่แม่” เธอตอบแบบไม่สนใจคนถามนัก สนใจเกมจับภาพในคอมกับสองฝาแฝดมากกว่า “อี่เจนเล่นตายกูต่อนะ” ขอเล่นด้วยคน สองฝาแฝดไม่เคยหวงกับเธอเลยสักครั้ง ทุกอย่างเล่นด้วยกันเสมอ

                 “อีอ้วนวีกูตกใจหมดเลย” เจลหันมาหาเธอพร้อมเอามือทาบอก รอบนี้เป็นตาเจนเล่น “มืงต่อกูดิ อี่เจนเล่นตายแล้วตากู มืงต่อกูเด้อ”

                 “อ่อ เค มืงกูไม่ได้เข้าไปเรียนในเมืองนะ พ่อไม่ให้ไป” บอกข่าวร้ายแก่เพื่อนทั้งสองคน

                 “อ้าว!” เจนอุทานแต่สายตายังจับจ้องหน้าคอมอยู่ “เดี๋ยวไปอ้อนอาปันให้” เจนพูดลอย ๆ เธอลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้าง ๆ เพื่อนทั้งสองคนดูเจนเล่นเกม

                “อีวีกูอยากให้มืงไปเรียนด้วยกันแหมะ” เจลพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง เพราะพรุ่งนี้ต้องไปสมัครเรียนแล้ว พวกเธอทั้งสามคนคาดหวังไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปสมัครเรียนด้วยกัน โรงเรียนเดียวกัน เป็นแฝดสามกันไปจนโต

                “แม่กูไม่ให้ไป กูขอแล้ว” สีหน้าเศร้าลงถนัดตาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อยากไปเรียนกับเพื่อน ๆ สนิททั้งสองคนนี้มาก อยากไป ! อยากไปเหลือเกิน

                 “ไม่เป็นไรมืงเรียนไหนก็เหมือนกันแหละ” เจลปลอบใจ แววตาที่มองมาสื่อถึงความเสียดายเหมือยกัน “เจนเลิกเล่นเกมไปหาซื้อส้มตำมากินดีกว่า ” เจลชวนด้วยรู้สึกหิวขึ้นมา

                 “ก็ได้” เจนตอบรับอย่างว่าง่ายจากนั้นก็ ปิดคอมถอดปลั๊กอะไรเรียบร้อย

                 “พ่อขอตังค์หน่อยจะไปซื้อส้มตำ”เจลพูดและเดินไปหาลุงจันทร์

                 “อยู่กับแม่” ลุงจันทร์ตอบขณะที่เจลแบมือขอ ลุงจันทร์กำลังเตรียมอุปกรณ์กระจายเสียงตามสาย ลุงจันทร์เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านของเธอ ให้เจลไปเอากับป้าก้อย

                “ฮัลโหล เทส เทส หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง หนึ่ง สอง สาม สี่ เทส เทส” เป็นเสียงของลุงจันทร์ลองไมค์ ทุกครั้งที่ลุงจันทร์ได้รับข้อมูลข่าวสารอะไรมา ต้องประกาศบอกลูกบ้านเสมอ ก่อนจะพูดลุงจันทร์จะต้องเปิดเพลงสักสองสามเพลงเสียก่อน จากนั้นค่อยพูดข่าวสารที่ได้รับมา

                 “แม่ขอตังค์หน่อยจะไปซื้อส้มตำ” เจลเดินมาขอตังค์ผู้เป็นแม่

                 “หลังตู้เย็น” ป้าก้อยตอบ ไม่เคยปฏิเสธเลย เป็นแม่ของเธอหน่อยไม่ได้ ต้องบ่นก่อนถึงจะให้

                 เจลเดินไปหยิบเงินจากนั้นพวกเธอก็พากันปั่นจักรยานไปซื้อส้มตำ สองฝาแฝดปั่นซ้อนกันไป ส่วนเธอปั่นคนเดียวตามหลังทั้งสองคนไปร้านส้มตำยายนี เสียงของลุงจันทร์ดังกระจายทั่วหมู่บ้าน ซื้อเสร็จก็รีบกลับมาทานก่อนที่จะมืดค่ำ

                 “เอ้าอีอ้วนมาตั้งแต่เมื่อไหร่” พี่กายทักทายขณะนั่งทานตำป่ากันอยู่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน พี่กายเป็นพี่ชายของสองฝาแฝด พึ่งกลับจากเตะฟุตบอล ทักทายเธอด้วยคำพูดที่เป็นกันเองมาก เธอทำหน้ามุ่ยใส่พี่ชายลูกพี่ลูกน้อง ไม่ชอบคำว่าอ้วนเลย เธออ้วนตรงไหน

                “ใครอ้วนพี่กาย ไอ้พี่ดำ น้องตัวเองสองคนผอมตายแหละชิ” แสงระวีแซวพี่ชายกลับเสียเลย ยอมที่ไหน กายมีผิวคล้ำออกดำได้กรรมพันธุ์ฝั่งพ่อของเธอมาเต็มๆ รวมทั้งสองฝาแฝดด้วยที่สีผิวออกคล้ำ ๆ “มากินตำป่าพวกวีพึ่งไปซื้อมาเมื่อกี้หนิ” ชวนพี่ชายเข้ามาร่วมวงด้วย ทว่าพี่กายปฏิเสธไป

                 พี่กายห่างกับพวกเธอห้าปี เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน เรียนเก่งและมีแฟนแล้ว โชคดีของลุงจันทร์กับป้าก้อยที่ลูกชายเป็นผู้เป็นคนไม่ติดเหล้าเมายา มีสังสรรค์บ้างเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น

                 ทุก ๆ วันหลังเลิกเรียนแสงระวีจะมาเล่นที่บ้านของพี่สาวฝาแฝดเสมอ หลังทำงานบ้านช่วยแม่เสร็จ ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่หลัง แม่ก็ไม่ว่าเพราะเธอไม่ได้ไปเล่นที่ไหนไกล เสียงประกาศของลุงจันทร์จบลง ตามด้วยเพลงฮิตหนึ่งเพลง เป็นอันจบการรายงานข่าวที่ได้รับมา

                 “เตรียมเอกสารไว้ยังพรุ่งนี้จะไปสมัครเรียนน่ะ” พี่กายถามขึ้นพร้อมมองหน้าพวกเธอ คงคิดว่าเธอจะเข้าไปเรียนในเมืองด้วย พี่กายจะเป็นคนพาไปสมัครเรียนเองในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกันกับตนเองนั่นเองนั่นแหละ

                 “เค้าเตรียมไว้หมดแล้ว” เจนพูด

                 “วีล่ะ พรุ่งนี้ออกมาหาพี่แต่เช้าเลยนะให้ทันรถรับส่ง” พี่กายบอกพร้อมมองหน้าเธอ

                 “วีไม่ได้เข้าไปเรียนในเมืองจ้ะพี่กาย วีต่อโรงเรียนตำบลบ้านเรานี่แหละ” แววตาของเธอเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

                 “อ้าว ไหนบอกจะเรียนด้วยกันกับไอ้แฝดไง”

                 “แม่ไม่ให้ไปอ่ะดิพี่กาย” แสงระวีตอบ “ขอแม่แล้วแม่ไม่ให้ไป อยากไปอยู่เหมือนกัน” พูดจบน้ำตาก็พลันจะไหลด้วยความอยากไปเรียนกับสองฝาแฝด อยากเข้าไปเรียนในเมืองด้วยคน

                 “เรียนไหนก็เหมือนกันแหละแค่ตั้งใจเรียน ม.ปลายค่อยมาต่อในเมืองก็ได้” กายพูดปลอบใจน้องสาวลูกพี่ลูกน้อง สัมผัสได้ถึงสีหน้าและแววตาแห่งความเสียใจนั้น

                 “จ้า วีเรียนไหนได้หมดแหละ”

                 “พี่วีแม่เรียกให้กลับบ้าน” วาน้องสาวของเธอเดินมาเรียกให้กลับบ้าน พร้อมอุ้มน้องชายคนเล็กมาด้วย ตอนนี้ห้าโมงเกือบหกโมงเย็นได้ ผู้คนที่ออกไปทำงานทยอยกลับเข้าบ้าน ทุกคนต่างหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน

                 คนที่เลี้ยงวัวควายต่างทอยจูงวัวเข้าบ้านกัน ในหมู่บ้านแต่ละหลังจะมีคอกวัวคอกควายติดกับบ้าน คนที่ไม่เลี้ยงก็มี บ้านของเธอมีวัวแม่ลูกคู่หนึ่ง พ่อของเธอจะเลี้ยงให้แผ่ขยายเป็นฝูงใหญ่ เอาไว้ขายยามจำเป็น

                 วามีอายุห่างกับเธอสี่ปี ตอนนี้อายุได้แปดขวบ วาอุ้มน้องวายมาด้วย อุ้มในท่าคาบเอว ถึงวาจะอายุเพียงแปดขวบแต่ตัวสูงกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน ทำให้อุ้มน้องชายวัยสี่ขวบได้สบาย

                 “เอ่อเดียวไป” แสงระวีตอบไม่สนใจเพราะกำลังกินส้มตำกับเพื่อนๆอยู่ ไม่สนใจน้องวายด้วยที่ร้องจะมาหา

                 “เฮ้ยวายน้อยมาหาป้ามา” ป้าก้อยเมื่อเห็นหลานสาวอุ้มหลานชายคนเล็กมา จึงเดินเข้ามาขออุ้มและฟัดด้วยความเอ็นดูยิ่ง

                 “อาปันน้อยนะแม่” พี่กายพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ เพราะน้องวายมีหน้าตาละม้ายคล้ายพ่อของเธอมาก อย่างกับพิมพ์เดียวกัน

                 วาปล่อยน้องชายให้ป้าก้อยอุ้ม ตนเองเข้ามานั่งเล่นด้วย แต่ ไม่ยอมเข้าไปร่วมวงส้มตำกับพวกพี่ๆ แม่ใช้ให้มาเรียกพี่สาวตัวเองดันเล่นด้วยจนลืมทุกที

                 แม่ไม่เคยมาตามเธอกลับสักที เพราะรู้ว่าลูก ๆ อยู่ที่ไหน พูดถึงแสงระวีก็ไม่เคยไปเล่นบ้านเพื่อนคนอื่นเลยนอกจากบ้านเจลกับเจน ส่วนมากจะเป็นเพื่อน ๆ คนอื่นที่มาเล่นบ้านเธอมากกว่า

                 เมื่อเวลาย่างเข้าหกโมงเย็น ท้องฟ้าเริ่มหม่นค่อย ๆ มืดลง แสงระวีและน้อง ๆ พากันขอตัวกลับบ้านของตน จากที่เล่นอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ป้าก้อยอุ้มน้องวายมาส่งบ้านด้วย

                 ป้าก้อยพูดคุยกับแม่ครู่หนึ่งก็ขอตัวกลับ เมื่อป้าก้อยกลับไปลับตาแล้ว แม่ก็เริ่มเทศนาพวกเธอที่ไปเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลากลับบ้าน เป็นแบบนี้ทุกวัน แสงระวีก็ไม่เคยหลาบจำยังทำเหมือนเดิม

                 “เตรียมเอกสารสมัครเรียนยัง” พ่อถาม แม่คงจะเล่าให้ฟังเรื่องที่เธอมาขอเข้าไปเรียนในเมืองเมื่อหลังเลิกเรียน

                 “เรียนโรงเรียนตำบลไม่เห็นต้องเตรียมอะไรยุ่งยากเลย ไม่ได้เข้าไปเรียนในเมืองสักหน่อย” แสงระวีพูดประชดคนเป็นพ่อ และ พูดด้วยความเศร้าใจ ซึ่งพ่อของเองก็คงรู้และดูออก

                 “เรียนไหนก็เหมือนกันแหละลูก อย่าพึ่งรีบใช้ตังค์เลย ไม่อยากเรียนต่อมหาลัยเหรอ พ่อเก็บตังค์ไว้ให้ต่อมหาลัยนะ” พ่ออธิบาย เธอเข้าใจแต่เธอก็อยากเข้าไปเรียนในเมืองอยู่ดี

                 “จ้าวีเรียนที่ไหนก็ได้ แต่อยากเรียนในเมือง” ฝืนใจตอบพ่อไป ภายในใจร้องไห้อยากเข้าไปเรียนในเมือง

                 “บ้านเราไม่มีตังค์ เอ่อว่าแต่เจลกับเจนเรียนที่ไหน”

                 “โรงเรียนเดียวกันกับพี่กาย”

                 “ช่างเขาเถอะลูก ลุงจันทร์กับป้าก้อยมีตังค์ พ่อไม่มีตังค์ เรียนในเมืองไม่ตั้งใจเรียนก็เรียนไม่จบเหมือนกัน เห็นมั้ยลูกตาสอนเรียนโรงเรียนตำบลพี่เขาสอบได้ปลัดอำเภอ ลูกยายนีเรียนในเมืองตั้งแต่เด็กๆ มีผัวเลี้ยงลูกทำนาที่บ้านเราก็เห็นอยู่ตัวอย่าง”

                 พ่อพูดยืดยาวให้เธอหายเศร้า แต่ด้วยความเป็นเด็กที่อยากได้เหมือนเพื่อนก็ยังเศร้าอยู่ดี ก็ยังอยากไปกับเพื่อนๆอยู่ดี

                 แสงระวีทำใจอย่างไรตนเองก็คงได้เรียนโรงเรียนตำบลแน่นอน พรุ่งนี้ต้องไปสมัครเรียนแล้ว จะว่าไปเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันต่างก็เรียนโรงเรียนตำบลเกือบทั้งรุ่น มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าไปเรียนในเมือง

                 แค่ เจล เจน เพื่อนผู้หญิงกับผู้ชายอีกสองคนแค่นั้น หลังจากคุยกับพ่อเสร็จเธอก็เตรียมตัวเข้านอน รีดชุดนักเรียนเตรียมเอกสารเพื่อไปสมัครเรียนในระดับมัธยมในวันพรุ่งนี้

จบบท



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่