.
หลังจากเพื่อน ๆ กลับไปแล้ว แสงระวีขอตัวกลับมาบ้านของตน รีบทำงานบ้านรอพ่อกับแม่ทุกอย่างเรียบร้อย ความสุขมันเกิดขึ้นชั่วขณะหลังจากนี้มีเพียงความทุกข์ใจเข้ามาแทนที่ล้วน ๆ ระแวงเรื่องเมื่อตอนกลางวันไปหมด พ่อกับแม่จะรู้เรื่องวันนี้ไหม นั่งกลุ้มใจคนเดียวที่เปลใต้ถุนบ้าน
เป็นความรู้สึกผิดอยู่ในใจ คิดมาก ทั้งที่ความจริงพ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องเลย ลุงจันทร์กับป้าก้อยก็เหมือนจะดูไม่ออกด้วยซ้ำ ทำไมต้องเก็บมากลุ้มใจเก็บมาคิดมากด้วย ถอนหายใจแล้วถอนหายใจเล่าระหว่างนั้นมือกดอ่านข้อความเก่า ๆ ที่หนึ่งส่งมาทุกวัน นี่มันคือความสุขท่ามกลางความทุกข์ใจเลย
จะไม่ทำแบบนี้อีก ! แสงระวีสัญญากับตนเอง จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน ขอแค่ได้คุยกันทุกเที่ยงก็พอ หนึ่งจะคุยก็คุยเพราะทำได้เพียงเท่านี้จริง ๆ จะให้ไปเจอไปเที่ยวด้วยกันคงทำไม่ได้ แสงระวีตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์อย่างวันนี้อีก จะคุยกับหนึ่งผ่านโทรศัพท์แค่ตอนเที่ยงก็พอ สัญญากับตนเองคนเดียวเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะกลัวเหลือเกิน กลัวพ่อกับแม่รู้
สักวันต้องมีเวลาที่เหมาะสมของมัน อีกไม่นานก็ขึ้น ม.4 แล้ว เธอก็จะได้เข้าไปเรียนในเมือง ถึงเวลานั้นจะขยับความสัมพันธ์ให้กระชับขึ้นก็ยังได้ นี่อย่างไรล่ะจะให้พ่อกับแม่ทราบเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ให้เธอย้ายโรงเรียนแน่นอน หาว่าเธออยากย้ายเพราะผู้ชาย
คิดไปเรื่อยต่าง ๆ นานาพร้อมถอนหายใจ พูดถึงเธอกับเขาจะคุยกันได้นานแค่ไหน จะคุยกันจนถึงวันนั้นได้หรือไม่ แค่คิดก็เป็นไปไม่ได้ ใครจะอดทนได้นานขนาดนั้น คนที่ทั้งคุยได้ ทั้งเจอหน้าได้ ทั้งได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสบาย ๆ มีตั้งเยอะแยะ เขาจะคุยกับเธอได้นานแค่ไหน
คิดอะไรเพลิน ๆ ได้ไม่นานพ่อก็กลับมาจากนาพร้อมฝูงวัว เธอรีบลุกไปทำหน้าที่เปิดประตูคอกวัวให้พ่ออย่างรู้งาน หกโมงเย็นแม่ถึงจะกลับมาถึงบ้าน แม่เลือกที่จะทำงานช่วยพ่อ อย่างน้อยเงินเดือนของแม่สามารถนำมาใช้จ่ายจุกจิกในบ้านได้
ส่วนเงินที่ได้จากการทำนาทำสวนแม้กระทั่งเงินที่ได้จากการขายวัวในแต่ละปี พ่อกับแม่เก็บเอาไว้เป็นเงินฝาก ท่านทั้งสองเคยปรึกษากันว่าหากผลผลิตในการทำนาและปลูกอ้อยครั้งนี้ได้กำไรดี จะต่อเติมบ้านให้เสร็จ จะได้มีบ้านสวย ๆ กับคนอื่นสักที
คืนก่อนได้ยินพ่อกับแม่ปรึกษากันแสงระวีดีใจมาก คิดว่าจะขอพ่อทำห้องนอนส่วนตัวให้เหมือนสองฝาแฝด เพราะเธอโตแล้วอยากมีห้องนอนเป็นส่วนตัว ที่สำคัญจะได้คุยกับหนึ่งสบายขึ้น
พอคิดไปคิดมาก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ทำ ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ไม่อายเพื่อนหรอก เธออยากเข้าไปเรียนในเมืองมากกว่า อยากให้พ่อกับแม่เก็บเงินไว้เป็นทุนให้เธอเรียนในเมือง เพราะโอกาสมันต่างกันระหว่างเรียนที่นู่นกับที่นี่ ลึก ๆ ความนัยที่แอบแฝงคือ ได้เจอกับหนึ่งด้วย
“น้องยังไม่กลับมาจากบ้านยายเหรอวี” มาถึงพ่อก็ถามหาน้อง ๆ เลย พร้อมนำย่ามไปเก็บไว้ประจำที่ ก่อนจะไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวออกคอยแม่กลับมา
“ยังเลยพ่อ เดี๋ยววีไปตามให้ก็ได้” ตอบผู้เป็นพ่อจบก็รีบเดินตัวปลิวไปบ้านของยายเลย ทำตัวปกติเข้าไว้ ทำไมกระวนกระวายใจเช่นนี้ ตอนพ่อยังไม่กลับมาบ้านก็ระแวงอยู่แล้ว พอพ่อกลับมาถึงบ้านทำไมความระแวงมันถึงเพิ่มทวีคูณขึ้น ถ้าแม่กลับมาหัวใจจะไม่วายเลยหรือ
แสงระวีไปตามน้อง ๆ กลับมาบ้านด้วยใจไม่เป็นสุขนัก ทั้งสามคนพี่น้องขึ้นไปเปิดทีวีดูรอแม่เลิกงานกลับมา ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นหูเข้ามาจอดใต้ถุนบ้าน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่ คนที่ตื่นเต้นเห็นจะเป็นน้องวาย
เธอพาน้องวายลงมาหาแม่ที่ด้านล่าง น้องวายงอแงให้แม่อุ้มด้วยความคิดถึง ตนเองรับข้าวของที่แม่ซื้อมาเอามาเก็บไว้ในครัว แกะกับข้าวออกเตรียมอุ่นเตรียมทานมื้อเย็นกัน เป็นแบบนี้ประจำทุกวัน แม่จะทำกับข้าวมื้อเย็นเองเฉพาะวันที่แม่หยุดเท่านั้น
“วีว่าพ่อกับแม่ไม่ต้องทำบ้านหรอกวีอยากเรียนในเมือง” แสงระวีพูดออกมาลอย ๆ ไม่หวังผลตอบกลับ คุยกับพ่อแม่ขณะนั่งทานข้าวมื้อเย็นที่แคร่ใต้ถุนบ้าน ด้วยความอยากย้ายโรงเรียนมาก มุ่งมั่นและตั้งใจในเรื่องนี้เหลือเกิน เธอตัดสินใจพูดออกมา ไม่รวมว่ามีอย่างอื่นแอบแฝงด้วย
พูดจบมองหน้าพ่อกับแม่ด้วยสายตาอ้อนวอนขอให้เห็นใจ อยากให้พ่อแม่รับรู้ความต้องการของเธอ อยากให้พ่อกับแม่เห็นใจเธอบ้างสักครั้ง เธอเข้าใจว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันแค่เราตั้งใจเรียน มันก็จริงแต่เธออยากเลือกโรงเรียนที่ดีให้กับตัวเองนี่ “แม่ห้ามลืมนะที่แม่บอกจะให้วีเข้าในเมืองตอน ม.4 เรื่องมอเตอร์ไซค์ด้วยแม่ก็ห้ามลืม” พูดย้ำกำชับในเรื่องที่แม่เคยสัญญาเอาไว้ ลืมเรื่องระแวงหนึ่งไปเลย เพราะกลัวว่าแม่จะลืมสัญญาที่ให้ไว้กับตน
เหมือนแม่จะเข้าใจความรู้สึกของเธอ ปรายตามองเธอก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้น “วีไม่อยากมีบ้านสวย ๆ เหมือนสองฝาแฝดเหรอ ไหนบอกอยากมีห้องเป็นของตัวเองไง” แววตาของแม่ในเวลานี้ดูเอ็นดูและเห็นใจเธอนัก พอฟังแม่พูดมันก็อยากได้ทั้งสองอย่าง แต่ถ้าให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเธอขอเลือกเรียนในเมืองดีกว่า “ถ้า ม.4 เข้าไปเรียนในเมืองแม่ไม่ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้นะ” เป็นข้อแลกเปลี่ยนของแม่
แสงระวีเกือบสำลักน้ำแกงเมื่อได้ฟังแม่มัดมือชก ทว่ายอมตอบตกลงแต่โดยดี อย่างไรเสียก็ต้องเลือกเข้าไปเรียนในเมืองไว้ก่อนล่ะ แอบคิดเหน็บแม่ว่าแม่นี่ก็ร้ายเหมือนกันนะ จะให้ทั้งสองอย่างเลยก็ไม่ได้หรืออย่างไร ทำไมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ
“วีไม่เอารถก็ได้จ้ะ วีใช้กับอี่เจนก็ได้ แม่ให้วีเข้าไปเรียนในเมืองจริง ๆ นะ สัญญาแล้วต้องเป็นสัญญาด้วย พอถึงวันห้ามพูดอีกอย่างล่ะ ” พูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงจริงจังปนดีใจ เผยยิ้มออกมาให้พ่อกับแม่เห็นขณะนั่งทานข้าวด้วยกัน พอแม่เห็นแบบนั้นก็มองค่อนขอดเธอเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้
“พูดถูกใจนี่ยิ้มเลยนะ เหมือนพ่อไม่มีผิด !” แม่หันมาแขวะพ่อเบา ๆ
“เอ้า ! ลูกพ่อน้อแม่ !” พ่อพูดปนหัวเราะ ไม่ค่อยพูดค่อยจานั่งฟังเธอกับแม่คุยกัน น้อง ๆ สองคนก็เช่นกัน น้องวายทานข้าวไปด้วยเล่นของเล่นไปพร้อม ๆ กัน แม่ก็ไม่ว่าปล่อยให้น้องเล่นไป รถมอเตอร์ไซค์ไม่เอาก็ได้ อะไรก็ไม่เอาแค่ได้เข้าไปเรียนในเมืองกับพี่สาวฝาแฝดก็พอ ส่วนได้เจอหนึ่งคือผลประโยชน์ทับซ้อนหรือผลพลอยได้
“แต่ต้องสอบได้เท่านั้นนะ แม่ไม่มีเงินจ้างให้” นั่นไง แสงระวีชะงักนิดหน่อย คลี่ยิ้มปนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้แม่
“ได้จ้ะ สบายมาก” แสงระวีดีใจมาก ๆ ลืมเรื่องของหนึ่งไปเลย มีความสุขที่สุด วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะ มันช่างมีแต่ความสุขทั้งวัน ทั้งหนึ่งมาหาและข่าวดีของแม่ตอนนี้อีก
แสงระวีลืมเรื่องที่ทุกข์ใจไปเลย ทำใจให้สบาย ๆ แม่ไม่รู้หรอก ถ้าไม่มีคนเอามาพูด ถึงพูดก็คงสาวไม่ถึงตนเองแน่นอน เพราะนั่นเพื่อนเจน หนึ่งมาหาเจนไม่ได้มาหาตนเองสักหน่อย ระหว่างนั่งทานข้าวก็นึกอะไรเพลิน ๆ ในใจ พอนึกไปถึงหน้าใครบางคนต้องรีบเก็บยิ้มเอาไว้ไม่อยากให้พ่อกับแม่สงสัย ทำตัวให้ปกติที่สุด
เมื่อไหร่จะเช้า เมื่อไหร่จะถึงวันจันทร์อยากเอาข่าวดีไปบอกหนึ่ง จะได้เข้าไปเรียนในเมืองแล้วคงได้เจอกันทุกวัน แอบยิ้มเมื่อนึกถึงบางเรื่อง นั่งทานข้าวอย่างสบายอารมณ์ หลังจากทานข้าวเสร็จ ล้างจานให้แม่เรียบร้อยแสงระวีรีบอาบน้ำแต่หัวค่ำ หยิบหนังสือเรียนมาเปิดอ่านก่อนนอน เธอต้องสอบเข้าเรียน ม.4 ให้ได้ต้องได้เท่านั้น
“หนึ่งมีหนังสือติวเข้า ม.4 โรงเรียนหนึ่งมั้ย” ด้วยความตื่นเต้นกับคำพูดของแม่เมื่อช่วงหัวค่ำ จึงส่งข้อความถามหนึ่งก่อนเข้านอน ฝากเอาไว้ไม่รู้จะเปิดอ่านตอนไหน พิมพ์ไปยิ้มไปฝากข้อความไว้กะว่าให้หนึ่งโทรมาบอกในตอนกลางวัน อย่าเผลอโทรมาบอกตอนนี้เดี๋ยวนี้ล่ะ พิมพ์กำชับไว้ด้วย
ตอนนี้เธอพึ่งจะเรียน ม.3 เทอมแรกเอง เหลืออีกตั้งหนึ่งเทอมกว่าจะปิดเทอมขึ้น ม.4 แต่ว่าเธอตื่นเต้นเหลือเกิน แค่คิดไปถึงวันประกาศผลสอบมีรายชื่อเธอติดอยู่ก็มีความสุขแล้ว
นึกไปถึงการที่จะได้เจอหนึ่งทุกวันที่โรงเรียน นี่ตนเองรักหนึ่งแล้วเหรอ! ถามตนเองคนเดียว ไม่ได้รักหรอกแค่คุย ๆ ไปอย่างนั้นแหละ สลัดความคิดนั้นออกจากศีรษะ ยังไม่ได้รักแค่คุยกันเฉย ๆ ยังไม่ตกลงเป็นแฟนกัน แค่คนคุย ! แค่คนคุยเท่านั้นจำไว้ยายวี นั่งพูดกับตนเองกางหนังสือเอาไว้ยังไม่ได้อ่านเลย มัวแต่คิดอะไรไปเรื่อย
พอขึ้น ม.4 เจอผู้ชายมากหน้าหลายตา เผื่อเจอคนที่ดีกว่าจะทำอย่างไร พอคิดได้แบบนี้อย่าพึ่งตกลงคบเชียวนะวี เก็บไว้เป็นตัวเลือกแล้วกัน นั่งเคาะปากกาเล่นคิดอะไรเกี่ยวกับหนึ่งเพลิน ๆ หนังสือยังไม่ได้อ่านสักตัว อมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้านั้น
สงสัยหนึ่งเปิดอ่านข้อความถึงได้โทรกลับหาเธอ โชคดีที่ปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้ เธอเห็นมือถือสั่นมีสายเรียกเข้าเป็นชื่อของหนึ่ง ขมวดคิ้วมองด้วยอารมณ์หงุดหงิด นี่หนึ่งไม่เข้าใจเลยใช่ไหม หรืออ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่องว่าห้ามโทรมาตอนนี้ มองค้อนหน้างอให้กับชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ
จะโทรมาทำไมก็บอกคุยกันไม่ได้ยังจะโทรมาอีก บนอุบอิบเบา ๆ มองหน้ามองหลังพ่อแม่ยังไม่ขึ้นบ้าน แต่ก็ไม่กล้ารับสายคุยอยู่ดี แสงระวีไม่ได้กดรับทิ้งไว้อย่างนั้น ทั้งที่ในใจอยากรับแทบตาย ทำได้แค่มองโทรศัพท์สั่นเรื่อย ๆ
เธอเอาผ้าห่มมาปิดทับไว้ ไม่อยากให้เสียงสั่นของโทรศัพท์มารบกวนจิตใจ กลัวว่าจะทนใจอ่อนรับสายไม่ได้ ทำมาดีแล้วจะมาเสียในวันนี้ตอนนี้ไม่ได้ อันตรายแก่ชีวิตและการเรียน ต้องบอกหนึ่งให้เด็ดขาดอีกครั้งแล้วว่าห้ามโทรมาตอนกลางคืน หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ห้ามโทร สุดท้ายโทรศัพท์ก็เงียบไป
เวลาในวันหยุดผ่านไปโดยที่พวกเธอทั้งสองคนไม่ได้โทรคุยกันเลย วันอาทิตย์แม่หยุดงานอยู่บ้านทั้งวัน มีเพียงส่งข้อความมาให้อ่าน แค่นี้ก็มีความสุข
“วีจะเข้ามาต่อ ม.4 ในเมืองเหรอ ที่ส่งข้อความมาถามหาหนังสืออ่ะ เค้าโทรกลับก็ไม่ยอมรับสาย” ตอนเที่ยงของวันจันทร์ หลังทานข้าวเสร็จหนึ่งโทรหาเธอเช่นทุกวัน
“อือ ขอแม่แล้วแม่อนุญาตแต่ต้องสอบได้เท่านั้นนะ” ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ปลายสายคงจะสัมผัสได้
“ต้องสอบได้อยู่แล้ววีเก่ง พูดถึงหนังสือก็หนังสือเรียนเรานั่นแหละ ไม่มีหรอกหนังสือติว วีจะติวมั้ยหนึ่งติวให้ เอาไว้เทอมสองก่อนค่อยว่ากัน” หนึ่งยินดีติวให้ แสงระวีทราบจากเจนว่าหนึ่งเป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่งของห้องเหมือนกัน
“เค้าอยากติวอยู่นะ อยากสอบเข้าให้ได้เค้าหวังมาก” ลากเสียงยาว ๆ ทำตลก และคนปลายสายก็หัวเราะตามมาด้วย
“เออน่าเดี๋ยวหนึ่งกับเจนช่วยติวให้ สอบเข้าไม่ยากหรอกวีเก่งอยู่แล้ว โอเคมั้ย เอ่อวีเค้าไปเล่นด้วยอีกได้มั้ยที่บ้านเจน” หนึ่งขอ ปลายสายทำเสียงออดอ้อนน่าใจอ่อนยิ่งนัก
เธอเงียบสักพักก่อนจะตอบปฏิเสธไป ใจจริงก็อยากเจอหน้าอีกครั้ง ทว่ามันจะดูเสี่ยงเกินไป อดใจรออีกหน่อยได้ไหม ระหว่างนั้นก็คงมีโอกาสได้เจอกันบ้างล่ะ
“อย่าเลยหนึ่งเค้ากลัวพ่อแม่จับได้ขึ้นมา เค้าจะไม่ได้เข้าไปเรียนในเมืองเอานะ เล่นกับสาว ๆ แถวนั้นไปก่อนอนุญาต ไม่ว่า” พูดกลั้วหัวเราะ แต่ก็หวังใจว่าหนึ่งจะไม่ทำแบบนั้นจริง ๆ
แสงระวี…บทที่ 7 (รีไรท์)
.
หลังจากเพื่อน ๆ กลับไปแล้ว แสงระวีขอตัวกลับมาบ้านของตน รีบทำงานบ้านรอพ่อกับแม่ทุกอย่างเรียบร้อย ความสุขมันเกิดขึ้นชั่วขณะหลังจากนี้มีเพียงความทุกข์ใจเข้ามาแทนที่ล้วน ๆ ระแวงเรื่องเมื่อตอนกลางวันไปหมด พ่อกับแม่จะรู้เรื่องวันนี้ไหม นั่งกลุ้มใจคนเดียวที่เปลใต้ถุนบ้าน
เป็นความรู้สึกผิดอยู่ในใจ คิดมาก ทั้งที่ความจริงพ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องเลย ลุงจันทร์กับป้าก้อยก็เหมือนจะดูไม่ออกด้วยซ้ำ ทำไมต้องเก็บมากลุ้มใจเก็บมาคิดมากด้วย ถอนหายใจแล้วถอนหายใจเล่าระหว่างนั้นมือกดอ่านข้อความเก่า ๆ ที่หนึ่งส่งมาทุกวัน นี่มันคือความสุขท่ามกลางความทุกข์ใจเลย
จะไม่ทำแบบนี้อีก ! แสงระวีสัญญากับตนเอง จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน ขอแค่ได้คุยกันทุกเที่ยงก็พอ หนึ่งจะคุยก็คุยเพราะทำได้เพียงเท่านี้จริง ๆ จะให้ไปเจอไปเที่ยวด้วยกันคงทำไม่ได้ แสงระวีตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์อย่างวันนี้อีก จะคุยกับหนึ่งผ่านโทรศัพท์แค่ตอนเที่ยงก็พอ สัญญากับตนเองคนเดียวเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะกลัวเหลือเกิน กลัวพ่อกับแม่รู้
สักวันต้องมีเวลาที่เหมาะสมของมัน อีกไม่นานก็ขึ้น ม.4 แล้ว เธอก็จะได้เข้าไปเรียนในเมือง ถึงเวลานั้นจะขยับความสัมพันธ์ให้กระชับขึ้นก็ยังได้ นี่อย่างไรล่ะจะให้พ่อกับแม่ทราบเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ให้เธอย้ายโรงเรียนแน่นอน หาว่าเธออยากย้ายเพราะผู้ชาย
คิดไปเรื่อยต่าง ๆ นานาพร้อมถอนหายใจ พูดถึงเธอกับเขาจะคุยกันได้นานแค่ไหน จะคุยกันจนถึงวันนั้นได้หรือไม่ แค่คิดก็เป็นไปไม่ได้ ใครจะอดทนได้นานขนาดนั้น คนที่ทั้งคุยได้ ทั้งเจอหน้าได้ ทั้งได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสบาย ๆ มีตั้งเยอะแยะ เขาจะคุยกับเธอได้นานแค่ไหน
คิดอะไรเพลิน ๆ ได้ไม่นานพ่อก็กลับมาจากนาพร้อมฝูงวัว เธอรีบลุกไปทำหน้าที่เปิดประตูคอกวัวให้พ่ออย่างรู้งาน หกโมงเย็นแม่ถึงจะกลับมาถึงบ้าน แม่เลือกที่จะทำงานช่วยพ่อ อย่างน้อยเงินเดือนของแม่สามารถนำมาใช้จ่ายจุกจิกในบ้านได้
ส่วนเงินที่ได้จากการทำนาทำสวนแม้กระทั่งเงินที่ได้จากการขายวัวในแต่ละปี พ่อกับแม่เก็บเอาไว้เป็นเงินฝาก ท่านทั้งสองเคยปรึกษากันว่าหากผลผลิตในการทำนาและปลูกอ้อยครั้งนี้ได้กำไรดี จะต่อเติมบ้านให้เสร็จ จะได้มีบ้านสวย ๆ กับคนอื่นสักที
คืนก่อนได้ยินพ่อกับแม่ปรึกษากันแสงระวีดีใจมาก คิดว่าจะขอพ่อทำห้องนอนส่วนตัวให้เหมือนสองฝาแฝด เพราะเธอโตแล้วอยากมีห้องนอนเป็นส่วนตัว ที่สำคัญจะได้คุยกับหนึ่งสบายขึ้น
พอคิดไปคิดมาก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ทำ ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ไม่อายเพื่อนหรอก เธออยากเข้าไปเรียนในเมืองมากกว่า อยากให้พ่อกับแม่เก็บเงินไว้เป็นทุนให้เธอเรียนในเมือง เพราะโอกาสมันต่างกันระหว่างเรียนที่นู่นกับที่นี่ ลึก ๆ ความนัยที่แอบแฝงคือ ได้เจอกับหนึ่งด้วย
“น้องยังไม่กลับมาจากบ้านยายเหรอวี” มาถึงพ่อก็ถามหาน้อง ๆ เลย พร้อมนำย่ามไปเก็บไว้ประจำที่ ก่อนจะไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวออกคอยแม่กลับมา
“ยังเลยพ่อ เดี๋ยววีไปตามให้ก็ได้” ตอบผู้เป็นพ่อจบก็รีบเดินตัวปลิวไปบ้านของยายเลย ทำตัวปกติเข้าไว้ ทำไมกระวนกระวายใจเช่นนี้ ตอนพ่อยังไม่กลับมาบ้านก็ระแวงอยู่แล้ว พอพ่อกลับมาถึงบ้านทำไมความระแวงมันถึงเพิ่มทวีคูณขึ้น ถ้าแม่กลับมาหัวใจจะไม่วายเลยหรือ
แสงระวีไปตามน้อง ๆ กลับมาบ้านด้วยใจไม่เป็นสุขนัก ทั้งสามคนพี่น้องขึ้นไปเปิดทีวีดูรอแม่เลิกงานกลับมา ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นหูเข้ามาจอดใต้ถุนบ้าน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่ คนที่ตื่นเต้นเห็นจะเป็นน้องวาย
เธอพาน้องวายลงมาหาแม่ที่ด้านล่าง น้องวายงอแงให้แม่อุ้มด้วยความคิดถึง ตนเองรับข้าวของที่แม่ซื้อมาเอามาเก็บไว้ในครัว แกะกับข้าวออกเตรียมอุ่นเตรียมทานมื้อเย็นกัน เป็นแบบนี้ประจำทุกวัน แม่จะทำกับข้าวมื้อเย็นเองเฉพาะวันที่แม่หยุดเท่านั้น
“วีว่าพ่อกับแม่ไม่ต้องทำบ้านหรอกวีอยากเรียนในเมือง” แสงระวีพูดออกมาลอย ๆ ไม่หวังผลตอบกลับ คุยกับพ่อแม่ขณะนั่งทานข้าวมื้อเย็นที่แคร่ใต้ถุนบ้าน ด้วยความอยากย้ายโรงเรียนมาก มุ่งมั่นและตั้งใจในเรื่องนี้เหลือเกิน เธอตัดสินใจพูดออกมา ไม่รวมว่ามีอย่างอื่นแอบแฝงด้วย
พูดจบมองหน้าพ่อกับแม่ด้วยสายตาอ้อนวอนขอให้เห็นใจ อยากให้พ่อแม่รับรู้ความต้องการของเธอ อยากให้พ่อกับแม่เห็นใจเธอบ้างสักครั้ง เธอเข้าใจว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันแค่เราตั้งใจเรียน มันก็จริงแต่เธออยากเลือกโรงเรียนที่ดีให้กับตัวเองนี่ “แม่ห้ามลืมนะที่แม่บอกจะให้วีเข้าในเมืองตอน ม.4 เรื่องมอเตอร์ไซค์ด้วยแม่ก็ห้ามลืม” พูดย้ำกำชับในเรื่องที่แม่เคยสัญญาเอาไว้ ลืมเรื่องระแวงหนึ่งไปเลย เพราะกลัวว่าแม่จะลืมสัญญาที่ให้ไว้กับตน
เหมือนแม่จะเข้าใจความรู้สึกของเธอ ปรายตามองเธอก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้น “วีไม่อยากมีบ้านสวย ๆ เหมือนสองฝาแฝดเหรอ ไหนบอกอยากมีห้องเป็นของตัวเองไง” แววตาของแม่ในเวลานี้ดูเอ็นดูและเห็นใจเธอนัก พอฟังแม่พูดมันก็อยากได้ทั้งสองอย่าง แต่ถ้าให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเธอขอเลือกเรียนในเมืองดีกว่า “ถ้า ม.4 เข้าไปเรียนในเมืองแม่ไม่ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้นะ” เป็นข้อแลกเปลี่ยนของแม่
แสงระวีเกือบสำลักน้ำแกงเมื่อได้ฟังแม่มัดมือชก ทว่ายอมตอบตกลงแต่โดยดี อย่างไรเสียก็ต้องเลือกเข้าไปเรียนในเมืองไว้ก่อนล่ะ แอบคิดเหน็บแม่ว่าแม่นี่ก็ร้ายเหมือนกันนะ จะให้ทั้งสองอย่างเลยก็ไม่ได้หรืออย่างไร ทำไมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ
“วีไม่เอารถก็ได้จ้ะ วีใช้กับอี่เจนก็ได้ แม่ให้วีเข้าไปเรียนในเมืองจริง ๆ นะ สัญญาแล้วต้องเป็นสัญญาด้วย พอถึงวันห้ามพูดอีกอย่างล่ะ ” พูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงจริงจังปนดีใจ เผยยิ้มออกมาให้พ่อกับแม่เห็นขณะนั่งทานข้าวด้วยกัน พอแม่เห็นแบบนั้นก็มองค่อนขอดเธอเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้
“พูดถูกใจนี่ยิ้มเลยนะ เหมือนพ่อไม่มีผิด !” แม่หันมาแขวะพ่อเบา ๆ
“เอ้า ! ลูกพ่อน้อแม่ !” พ่อพูดปนหัวเราะ ไม่ค่อยพูดค่อยจานั่งฟังเธอกับแม่คุยกัน น้อง ๆ สองคนก็เช่นกัน น้องวายทานข้าวไปด้วยเล่นของเล่นไปพร้อม ๆ กัน แม่ก็ไม่ว่าปล่อยให้น้องเล่นไป รถมอเตอร์ไซค์ไม่เอาก็ได้ อะไรก็ไม่เอาแค่ได้เข้าไปเรียนในเมืองกับพี่สาวฝาแฝดก็พอ ส่วนได้เจอหนึ่งคือผลประโยชน์ทับซ้อนหรือผลพลอยได้
“แต่ต้องสอบได้เท่านั้นนะ แม่ไม่มีเงินจ้างให้” นั่นไง แสงระวีชะงักนิดหน่อย คลี่ยิ้มปนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้แม่
“ได้จ้ะ สบายมาก” แสงระวีดีใจมาก ๆ ลืมเรื่องของหนึ่งไปเลย มีความสุขที่สุด วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะ มันช่างมีแต่ความสุขทั้งวัน ทั้งหนึ่งมาหาและข่าวดีของแม่ตอนนี้อีก
แสงระวีลืมเรื่องที่ทุกข์ใจไปเลย ทำใจให้สบาย ๆ แม่ไม่รู้หรอก ถ้าไม่มีคนเอามาพูด ถึงพูดก็คงสาวไม่ถึงตนเองแน่นอน เพราะนั่นเพื่อนเจน หนึ่งมาหาเจนไม่ได้มาหาตนเองสักหน่อย ระหว่างนั่งทานข้าวก็นึกอะไรเพลิน ๆ ในใจ พอนึกไปถึงหน้าใครบางคนต้องรีบเก็บยิ้มเอาไว้ไม่อยากให้พ่อกับแม่สงสัย ทำตัวให้ปกติที่สุด
เมื่อไหร่จะเช้า เมื่อไหร่จะถึงวันจันทร์อยากเอาข่าวดีไปบอกหนึ่ง จะได้เข้าไปเรียนในเมืองแล้วคงได้เจอกันทุกวัน แอบยิ้มเมื่อนึกถึงบางเรื่อง นั่งทานข้าวอย่างสบายอารมณ์ หลังจากทานข้าวเสร็จ ล้างจานให้แม่เรียบร้อยแสงระวีรีบอาบน้ำแต่หัวค่ำ หยิบหนังสือเรียนมาเปิดอ่านก่อนนอน เธอต้องสอบเข้าเรียน ม.4 ให้ได้ต้องได้เท่านั้น
“หนึ่งมีหนังสือติวเข้า ม.4 โรงเรียนหนึ่งมั้ย” ด้วยความตื่นเต้นกับคำพูดของแม่เมื่อช่วงหัวค่ำ จึงส่งข้อความถามหนึ่งก่อนเข้านอน ฝากเอาไว้ไม่รู้จะเปิดอ่านตอนไหน พิมพ์ไปยิ้มไปฝากข้อความไว้กะว่าให้หนึ่งโทรมาบอกในตอนกลางวัน อย่าเผลอโทรมาบอกตอนนี้เดี๋ยวนี้ล่ะ พิมพ์กำชับไว้ด้วย
ตอนนี้เธอพึ่งจะเรียน ม.3 เทอมแรกเอง เหลืออีกตั้งหนึ่งเทอมกว่าจะปิดเทอมขึ้น ม.4 แต่ว่าเธอตื่นเต้นเหลือเกิน แค่คิดไปถึงวันประกาศผลสอบมีรายชื่อเธอติดอยู่ก็มีความสุขแล้ว
นึกไปถึงการที่จะได้เจอหนึ่งทุกวันที่โรงเรียน นี่ตนเองรักหนึ่งแล้วเหรอ! ถามตนเองคนเดียว ไม่ได้รักหรอกแค่คุย ๆ ไปอย่างนั้นแหละ สลัดความคิดนั้นออกจากศีรษะ ยังไม่ได้รักแค่คุยกันเฉย ๆ ยังไม่ตกลงเป็นแฟนกัน แค่คนคุย ! แค่คนคุยเท่านั้นจำไว้ยายวี นั่งพูดกับตนเองกางหนังสือเอาไว้ยังไม่ได้อ่านเลย มัวแต่คิดอะไรไปเรื่อย
พอขึ้น ม.4 เจอผู้ชายมากหน้าหลายตา เผื่อเจอคนที่ดีกว่าจะทำอย่างไร พอคิดได้แบบนี้อย่าพึ่งตกลงคบเชียวนะวี เก็บไว้เป็นตัวเลือกแล้วกัน นั่งเคาะปากกาเล่นคิดอะไรเกี่ยวกับหนึ่งเพลิน ๆ หนังสือยังไม่ได้อ่านสักตัว อมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้านั้น
สงสัยหนึ่งเปิดอ่านข้อความถึงได้โทรกลับหาเธอ โชคดีที่ปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้ เธอเห็นมือถือสั่นมีสายเรียกเข้าเป็นชื่อของหนึ่ง ขมวดคิ้วมองด้วยอารมณ์หงุดหงิด นี่หนึ่งไม่เข้าใจเลยใช่ไหม หรืออ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่องว่าห้ามโทรมาตอนนี้ มองค้อนหน้างอให้กับชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ
จะโทรมาทำไมก็บอกคุยกันไม่ได้ยังจะโทรมาอีก บนอุบอิบเบา ๆ มองหน้ามองหลังพ่อแม่ยังไม่ขึ้นบ้าน แต่ก็ไม่กล้ารับสายคุยอยู่ดี แสงระวีไม่ได้กดรับทิ้งไว้อย่างนั้น ทั้งที่ในใจอยากรับแทบตาย ทำได้แค่มองโทรศัพท์สั่นเรื่อย ๆ
เธอเอาผ้าห่มมาปิดทับไว้ ไม่อยากให้เสียงสั่นของโทรศัพท์มารบกวนจิตใจ กลัวว่าจะทนใจอ่อนรับสายไม่ได้ ทำมาดีแล้วจะมาเสียในวันนี้ตอนนี้ไม่ได้ อันตรายแก่ชีวิตและการเรียน ต้องบอกหนึ่งให้เด็ดขาดอีกครั้งแล้วว่าห้ามโทรมาตอนกลางคืน หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ห้ามโทร สุดท้ายโทรศัพท์ก็เงียบไป
เวลาในวันหยุดผ่านไปโดยที่พวกเธอทั้งสองคนไม่ได้โทรคุยกันเลย วันอาทิตย์แม่หยุดงานอยู่บ้านทั้งวัน มีเพียงส่งข้อความมาให้อ่าน แค่นี้ก็มีความสุข
“วีจะเข้ามาต่อ ม.4 ในเมืองเหรอ ที่ส่งข้อความมาถามหาหนังสืออ่ะ เค้าโทรกลับก็ไม่ยอมรับสาย” ตอนเที่ยงของวันจันทร์ หลังทานข้าวเสร็จหนึ่งโทรหาเธอเช่นทุกวัน
“อือ ขอแม่แล้วแม่อนุญาตแต่ต้องสอบได้เท่านั้นนะ” ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ปลายสายคงจะสัมผัสได้
“ต้องสอบได้อยู่แล้ววีเก่ง พูดถึงหนังสือก็หนังสือเรียนเรานั่นแหละ ไม่มีหรอกหนังสือติว วีจะติวมั้ยหนึ่งติวให้ เอาไว้เทอมสองก่อนค่อยว่ากัน” หนึ่งยินดีติวให้ แสงระวีทราบจากเจนว่าหนึ่งเป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่งของห้องเหมือนกัน
“เค้าอยากติวอยู่นะ อยากสอบเข้าให้ได้เค้าหวังมาก” ลากเสียงยาว ๆ ทำตลก และคนปลายสายก็หัวเราะตามมาด้วย
“เออน่าเดี๋ยวหนึ่งกับเจนช่วยติวให้ สอบเข้าไม่ยากหรอกวีเก่งอยู่แล้ว โอเคมั้ย เอ่อวีเค้าไปเล่นด้วยอีกได้มั้ยที่บ้านเจน” หนึ่งขอ ปลายสายทำเสียงออดอ้อนน่าใจอ่อนยิ่งนัก
เธอเงียบสักพักก่อนจะตอบปฏิเสธไป ใจจริงก็อยากเจอหน้าอีกครั้ง ทว่ามันจะดูเสี่ยงเกินไป อดใจรออีกหน่อยได้ไหม ระหว่างนั้นก็คงมีโอกาสได้เจอกันบ้างล่ะ
“อย่าเลยหนึ่งเค้ากลัวพ่อแม่จับได้ขึ้นมา เค้าจะไม่ได้เข้าไปเรียนในเมืองเอานะ เล่นกับสาว ๆ แถวนั้นไปก่อนอนุญาต ไม่ว่า” พูดกลั้วหัวเราะ แต่ก็หวังใจว่าหนึ่งจะไม่ทำแบบนั้นจริง ๆ