.
ตั้งแต่ย้ายเข้ามาเรียนในตัวจังหวัด หลังเลิกเรียนกลับมาถึงบ้านแสงระวีไม่ได้คุยกับหนึ่งเหมือนเช่นเคย กว่าจะกลับถึงบ้านพ่อก็กลับมาจากนาก่อนแล้ว ทำให้ยกเลิกการคุยช่วงเวลานี้ไป ถึงแม้อยากคุยมากแค่ไหนต้องจำใจอดทนทั้งสองคน อยากคุยแค่ไหนทำได้เพียงอดทนให้มันผ่านไป ปลอบใจตัวเองเสมอพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว ค่อยไปเจอกันที่โรงเรียน
บ้านของเธอต่อเติมเสร็จเรียบร้อย มีห้องนอนส่วนตัวของใครของมันกับน้อง ๆ ตามที่แม่วางแผนเอาไว้ เธอกับน้องวาได้ห้องที่ชั้นสองของบ้าน ส่วนข้างล่างเป็นห้องพ่อแม่กับน้องวาย ดังนั้นเธอคิดหรือจะแอบแม่คุยตอนดึก ๆ ดี
ให้พ่อกับแม่นอนหลับไปก่อน จากนั้นค่อยโทรคุยกับหนึ่ง ถ้าคุยเบา ๆ ปิดห้องให้สนิทเสียงก็ไม่ลงไปถึงห้องของแม่กับพ่อแน่นอน ห้องแม่อยู่ชั้นล่างก่อด้วยอิฐหินปูนเสียงยิ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้เธอเม้มปากหัวเราะออกมาเบา ๆ ใครบอกว่าปัญหาไม่มีทางออก แค่ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ไตร่ตรองแล้วเราจะเจอทางออกเอง
แสงระวีเก็บคำพูดเมื่อตอนกลางวันของหนึ่งมาคิด สงสารหนึ่งสงสารตัวเองเหมือนกัน ทำไมความรักของพวกเธอมันลำบากขนาดนี้ ทำไมครอบครัวของเธอไม่เหมือนครอบครัวคนอื่น คนอื่นที่หมายถึงก็คือลุงจันทร์กับป้าก้อย ไม่ว่าลูก ๆ จะทำอะไรสนับสนุนทุกอย่าง
เธอลังเลว่าจะแอบคุยดหรือไม่ช่วงก่อนนอน ถ้าพูดเสียงเบาๆพ่อแม่ก็ไม่ได้ยิน การไม่ได้คุยช่วงเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน เท่ากับว่าเธอกับหนึ่งไม่ได้คุยโทรศัพท์กันเลย เจอกันที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียว ยกเว้นวันเสาร์และอาทิตย์ พอคิดได้แบบนี้เธอจึงตัดสินใจโดยไม่ลังเลอีกต่อไปว่า จะแอบคุยตอนดึกก่อนนอน
ละครหลังข่าวจบมันนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอนอันแสนนุ่ม ที่นอนหกฟุตสำหรับนอนคนเดียวมันช่างกว้างแสนกว้างจริง คิดถึงหนึ่งตอนนี้เข้านอนหรือยัง ทำอะไรอยู่ หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูรูปที่ถ่ายคู่กัน เลื่อนดูไปเรื่อย ๆ มันยิ่งเพิ่มความคิดถึงเท่าทวีคูณ
แสงระวีค่อย ๆ แง้มประตูเดินออกมายืนตรงหัวมุมบันได ชะโงกหน้าดูชั้นล่าง แม่ปิดไฟชั้นล่างมืดสนิท น่าจะหลับไปแล้ว ดูนาฬิกากำลังจะเข้าสู่ห้าทุ่ม จะโทรหาหนึ่งดีไหม เห็นข้อความของหนึ่งส่งฝันดีมาให้ เปิดอ่านก็ยิ่งทำให้อยากโทรเข้าไปอีก อยากได้ยินเสียงก่อนนอน ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปเรียนในตัวเมืองไม่เคยได้คุยกันผ่านโทรศัพท์อีกเลย ยกเว้นเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
คิดไปคิดมาตัดสินใจแน่วแน่ กดโทรศัพท์หาหนึ่งทันที รอสายไม่นานหนึ่งก็รับสาย เหมือนว่ารอสายของเธออยู่เช่นกัน พยายามพูดให้เสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้
“รับเร็วจังเลย รอสายใครอยู่อ่ะ” เมื่อปลายสายกดรับ ประโยคแรกก็หาเรื่องเขาซะแล้ว แต่เป็นการพูดเล่น ดีใจต่างหากที่เขายังไม่หลับ
“รอสายวีนั่นแหละ ทำไมโทรมาได้พ่อไม่ว่าเหรอ พ่อดุหนิ” คนในสายพูดจบ เธอก็กลอกตาให้โทรศัพท์ทันทีเมื่อโดนประชด
“จะประชดวีทำไมเนี่ย ไม่อยากคุยไม่โทรก็ได้วันหลัง แต่วันนี้คุยก่อนได้มั้ยโทรมาแล้วอ่ะ” ตอบห้วน ๆ กลับไป นึกหมั่นไส้นัก
“ไม่ได้ประชด พูดจริงเดี๋ยวพ่อแม่ก็ได้ยิน โดนด่าไม่รู้ด้วยนะ” เมื่อรู้สึกว่ากำลังจะโดนหาเรื่องเขาจึงรีบเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ้อนทันที
“แล้วอยากคุยมั้ยล่ะ”
“อยากมาก! รอวันนี้มานานมาก” เสียงสดใสขึ้นทันควัน ทำเอาเธอเบะปากให้โทรศัพท์อย่างตลก เม้มปากยิ้มด้วยความเขิน แม้หนึ่งจะไม่เห็นก็ตาม
ไม่ได้คุยโทรศัพท์กันหลายวันมันย่อมมีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้กันและกันฟัง ถึงจะเจอกันที่โรงเรียนทุกวันก็ตาม หลังเลิกเรียนมันย่อมมีเรื่องราวมาเล่าให้ได้ฟังเสมอ
“เราสลับกันโทรเนอะ หนึ่งคุยกับวีทุกวันเลยได้มั้ย เจอที่โรงเรียนมันไม่พอ” เขาออดอ้อน พูดเสียงงัวเงียนิดหน่อยเพราะความง่วง ทว่าความอยากคุยมันมีมากกว่า
“ได้สิ วีไม่แคร์อะไรแล้ว พ่อแม่รู้วีก็ไม่แคร์วีรักหนึ่ง” สุดท้ายก็ยอม
“หนึ่งก็รักวีครับ หนึ่งวางแผนไว้หมดแล้วว่าในอนาคตจะทำอะไร” เมื่อฟังเขาพูดจบก็ยิ้มให้โทรศัพท์ นึกตลกปนสงสัย จะคิดทำอะไรเหรอ
“หนึ่งจะทำอะไรล่ะ” พูดกลั้วยิ้ม อยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไร พูดให้เสียงออกมาเบาที่สุด
“ถ้าวีกล้าเปิดเผยหนึ่งกับครอบครัวเมื่อไหร่เดี๋ยวรู้เอง หนึ่งอยากให้วีมาบ้านนะ พ่อแม่อยากรู้จักด้วย” ปลายสายเหมือนง่วงเต็มทน พูดด้วยเสียงแผ่วเบา บอกวางสายนอนก็ไม่ยอม
“ยังไม่พร้อมไง”
“ครับหนึ่งก็ไม่เร่งไง” ก่อนที่ทั้งคู่จะหลับไปแบบไม่รู้ตัว ไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์วางสายเองไปตอนไหน
พวกเธอแอบคุยกันก่อนนอนทุกวัน ไม่แน่ใจว่าพ่อกับแม่ได้ยินหรือรับรู้ความลับของเธอหรือเปล่า หากพ่อกับแม่ยังไม่พูดหรือต่อว่าแสดงว่าพ่อกับแม่ยังไม่รู้ เธอจะให้มันเป็นความลับกึ่งไม่ลับแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
พวกเธอสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยในวันเปิดเรียน ทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ชั่วโมงว่างรอโรงเรียนเลิกด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ถึงอย่างไรทั้งสองยังรักเรียนตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ไม่มีใครเสียการเรียน หนึ่งช่วยติวหนังสือให้บ้างในบางวิชา เพราะหนึ่งเรียนพิเศษ ส่วนเธอไม่เรียนและไม่อยากเรียนด้วย
ช่วงเวลาบ่ายสามโมงใต้ต้นดอกเฟื่องฟ้าของโรงเรียน แสงระวีอยู่กับหนึ่งเพียงสองคน พวกเธอปลีกตัวมานั่งคุยกันสองต่อสองอยู่ห่าง ๆ กลุ่มเพื่อน ทว่าอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ ทุกคนในโรงเรียนจะนั่งจีบกันหรือนั่งเล่นอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ แค่ไม่นั่งกับคนที่มีเจ้าของก็พอ
พวกเธอสองคนเริ่มทำตัวติดกันเหมือนเก้ากับปุ้ม ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตัวติดกันตลอดเวลาสำหรับในชั่วโมงว่าง “หนึ่งพรุ่งนี้ไปทำบุญกันเนอะวันมาฆบูชาไง” ชวนหนึ่งไปทำบุญ เธอไม่ได้จะชวนแค่หนึ่งหรือไปกันแค่สองต่อสอง จะชวนเพื่อน ๆ ไปด้วยไปเป็นแก๊งหลาย ๆ คนสนุกดี “ไปไหว้พระที่ภูปอกัน”
“ไปก็ไป ว่าแต่ภูปอคุ้น ๆ นะ ไปทางแถวบ้านวีใช่มั้ย ที่เป็นพระนอนอ่ะคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยิน” หนึ่งทำหน้าครุ่นคิด ขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนไม่เคยรู้จักสถานที่ ๆ เธอพูดเมื่อสักครู่ แอบแปลกใจหนึ่งไม่รู้จัก
“ก็ภูปอไงพุทธไสยาสน์ภูปอ หนึ่งไม่รู้จักเหรอ ใคร ๆ ก็รู้จักนาภูปอเนี่ย” แสงระวีทำหน้าสงสัยออกมาชัดเจน หนึ่งไม่รู้จัก ! ทั้งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาของจังหวัดตนเองแท้ ๆ แต่ว่าก็ ไม่ใช่เรื่องแปลกคนไม่รู้จักก็มี และหนึ่งคงเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น บ้านหนึ่งอยู่ในตัวเมืองคงไปวัดแถวในเมืองทุกปี
“ไม่รู้จริง ๆ “ หนึ่งพูดลากหางเสียง ปรายตามองเธอด้วยรอยยิ้ม “รู้จักแต่ภูที่มีไดโนเสาร์อ่ะ ไปบ่อย ไปตั้งแต่เด็ก ๆ แม่พาไปตลอดกับพี่นิว”
“เค..งั้นเดี๋ยววีพาไปรู้จัก เจนก็จะไปกับพี่มอส หนึ่งชวนเก้ากับปุ้มด้วยนะ อี่เจลก็จะพาแฟนมันไปด้วย” แสงระวีพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ พูดกลั้วยิ้มด้วยความตื่นเต้นเมื่อนึกถึงวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง
เธอวาดภาพไปถึงวันที่ไปทำบุญด้วยกัน กราบพระขอพรด้วยกัน ถ่ายรูปไปเที่ยวด้วยกัน จะเอามาลงเฟซบุ๊กส่วนตัว เธอสมัครเป็นสมาชิกเรียบร้อย เจลและเจนพาไปสมัครที่ร้านอินเทอร์เน็ต แค่คิดมันก็มีความสุข
“แล้วเราจะไปกันยังไง” พูดพร้อมมองหน้าแสงระวี จ้องไปที่ตารูปวงรีคู่หวานนั้น แสงระวีหน้าตาหมวย ๆ ใบหน้ารูปไข่ ตาชั้นเดียวสเปกของเขาที่สุดล่ะ
“ขับมอเตอร์ไซค์ไป วีนั่งไปกับเจนหนึ่งมาบ้านเจนก่อนแล้วเราออกไปพร้อมกัน” เธอชี้แจง
“ไม่เอาเดี๋ยวไปรถหนึ่งดีกว่า ขอถามพ่อก่อนนะว่าใช้รถเปล่า พรุ่งนี้หนึ่งจะยืมรถพ่อมา ขับมอเตอร์ไซค์ไปแดดจะตาย” เขาเสนอ ตอนนี้ขับรถยนต์ได้คล่องแคล่วพอสมควร เพียงแค่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่เท่านั้น
“ก็ได้... เจน! อีเจนมานี่” แสงระวีตะโกนและกวักมือเรียกเจนที่นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนให้มาหา
“อะไรเหรอวี” เจนถาม เมื่อเดินมาหาเธอกับหนึ่ง นั่งลงข้าง ๆ ทำสีหน้าสงสัยที่เรียกให้ตนเองมาหา มีเรื่องอะไรหรือเปล่า “ว่า!”
“พรุ่งนี้เราไปภูปอกัน หนึ่งจะออกมาบ้านมืง บอกอี่เจลกับสองคนนั้นด้วย”
“เออว่าจะชวนอยู่พอดี” เจนตอบ ตนเองก็คิดจะไปที่นั่นอยู่แล้วกับพี่มอสสำหรับพรุ่งนี้
“ว่าจะเอารถยนต์ไปอ่ะเจน เดี๋ยวไปหามืงที่บ้านนะพรุ่งนี้” หนึ่งพูดกับเจน “เก้าพรุ่งนี้ไปภูปอกัน มืงรู้จักมั้ย” หนึ่งหันไปตะโกนถามเก้า
“รู้ดิ เคยไปพ่อกับแม่เคยพาไปสักการะอยู่” เก้าตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ตนเองเคยไปอยู่บ่อย ๆ กับครอบครัว
“เฮ้ยจริงดิ ! มืงรู้จักได้ไงวะ ทำไมกูไม่รู้” หนึ่งพูดทั้งหัวเราะหันมามองแสงระวี ที่มีเพียงตนเองไม่เคยรู้จักกับเขา ก็เป็นคนจังหวัดนี้เกิดที่นี่ทำไมไม่เคยรู้จักเลย
“ใคร ๆ เขาก็รู้จักหมดทุกคนแหละหนึ่ง มีแค่หนึ่งแหละไม่รู้ เกิดที่นี่คนที่นี่ปะทำไมไม่รู้” แสงระวีค่อนขอดให้หนึ่ง หมั่นไส้นักแกล้งไม่รู้จักหรือไม่รู้จริงกันแน่ แล้วที่ผ่านมาไปทำบุญที่ไหน
ตั้งแต่คบกันมาแสงระวีไม่เคยชวนหนึ่งไปเที่ยวด้วยกันแบบนี้เลย หาโอกาสยากมาก วันมาฆบูชาปีที่แล้วก็ไม่ได้ไปทำบุญด้วยกัน ที่ผ่าน ๆ มาเจอกันแค่ในงานลอยกระทง งานกาชาดประจำปี สงกรานต์ และ งานโรงเรียนที่เจนชวนไปเป็นเพื่อน
ที่ผ่านมาเจอกันในความรู้สึกของการเป็นเพื่อนมากกว่า ทว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอชวนหนึ่งเที่ยวด้วยกันแบบแฟนเหมือนคู่อื่น ๆ
“เอ้าก็หนึ่งไม่รู้จริง เดี๋ยวกลับบ้านไปถามพ่อกับแม่ดู ว่าแม่จะรู้ป่าว” พูดพร้อมแกล้งเคาะศีรษะของเธอเบา ๆ ยิ้มอวดฟันขาวให้ คนโดนแกล้งทำหน้าบึ้งกลับไป แต่กลับทำให้หนึ่งขำไปอีก
“รู้ดิเชื่อวีเหอะ เผลอ ๆ อาจจะเคยมากราบไหว้แล้วด้วยซ้ำ” ตอบไปพร้อมทำหน้างอนตุ๊บป่องให้หนึ่ง ทั้งที่หนึ่งไม่รู้จักจริง ๆ เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมต้องไม่พอใจที่หนึ่งไม่รู้จัก ในความรู้สึกของเธอเหมือนหนึ่งแกล้งไม่รู้จักยังไงยังงั้น
“ตกลงไปนะ ปุ้มด้วยก็ต้องไป คู่แฝด วี พี่มอสก็ไป แฟนเจลอาจจะไปด้วย” หนึ่งลองนับจำนวนคนคร่าว ๆ ว่ารถจะพอกับจำนวนสมาชิกไหม
“เราต้องมีแผนสองนะหนึ่ง เผื่อขอรถไม่ได้ไง” แสงระวีออกความคิดเห็นบ้าง หันมามองเจ้าของรถที่จะพาไปพรุ่งนี้ “แผนสองของวีคือมอเตอร์ไซค์ไง ที่จริงไปมอเตอร์ไซค์ก็ได้นะไม่เห็นจำเป็นต้องไปรถยนต์เลย แลดูไฮโซมาก” พูดประชดช่วงท้ายประโยค เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของหนึ่งที่จะนำรถยนต์ไปในวันพรุ่งนี้ เกรงใจพ่อกับแม่ที่เป็นเจ้าของรถ ไปรถมอเตอร์ไซค์กันก็ได้มันจะแดดเท่าไหร่กันเชียว พวกเธอไปไหนมาไหนใช้มอเตอร์ไซค์ตลอด
“เอ้าก็ไปตั้งหลายคนมอเตอร์ไซค์พอเหรอ อีกอย่างบ้านหนึ่งอยู่ตั้งไกล กว่าจะมาถึงบ้านวีอีก กว่าจะขับออกไปอีก มันอยู่ไกลมั้ยล่ะภูที่ว่าน่ะ” ครั้งนี้หนึ่งพูดมีเหตุผลและดูซีเรียสมากพร้อมจ้องหน้าของเธอ “หนึ่งจะขอพ่อดูก่อน รถพ่อคันใหญ่แปดคนนั่งไปคันเดียวเนี่ยถ้าไม่ได้จะเอาเก๋งแม่มา” สองคนเถียงกันถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้ เพื่อน ๆ ต่างพากันอยู่เงียบ ๆ อมยิ้มให้ฟังพวกเธอสองคน นั่งฟังพวกเธอทะเลาะกัน
แสงระวี….บทที่ 13 (รีไรท์)
.
ตั้งแต่ย้ายเข้ามาเรียนในตัวจังหวัด หลังเลิกเรียนกลับมาถึงบ้านแสงระวีไม่ได้คุยกับหนึ่งเหมือนเช่นเคย กว่าจะกลับถึงบ้านพ่อก็กลับมาจากนาก่อนแล้ว ทำให้ยกเลิกการคุยช่วงเวลานี้ไป ถึงแม้อยากคุยมากแค่ไหนต้องจำใจอดทนทั้งสองคน อยากคุยแค่ไหนทำได้เพียงอดทนให้มันผ่านไป ปลอบใจตัวเองเสมอพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว ค่อยไปเจอกันที่โรงเรียน
บ้านของเธอต่อเติมเสร็จเรียบร้อย มีห้องนอนส่วนตัวของใครของมันกับน้อง ๆ ตามที่แม่วางแผนเอาไว้ เธอกับน้องวาได้ห้องที่ชั้นสองของบ้าน ส่วนข้างล่างเป็นห้องพ่อแม่กับน้องวาย ดังนั้นเธอคิดหรือจะแอบแม่คุยตอนดึก ๆ ดี
ให้พ่อกับแม่นอนหลับไปก่อน จากนั้นค่อยโทรคุยกับหนึ่ง ถ้าคุยเบา ๆ ปิดห้องให้สนิทเสียงก็ไม่ลงไปถึงห้องของแม่กับพ่อแน่นอน ห้องแม่อยู่ชั้นล่างก่อด้วยอิฐหินปูนเสียงยิ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้เธอเม้มปากหัวเราะออกมาเบา ๆ ใครบอกว่าปัญหาไม่มีทางออก แค่ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ไตร่ตรองแล้วเราจะเจอทางออกเอง
แสงระวีเก็บคำพูดเมื่อตอนกลางวันของหนึ่งมาคิด สงสารหนึ่งสงสารตัวเองเหมือนกัน ทำไมความรักของพวกเธอมันลำบากขนาดนี้ ทำไมครอบครัวของเธอไม่เหมือนครอบครัวคนอื่น คนอื่นที่หมายถึงก็คือลุงจันทร์กับป้าก้อย ไม่ว่าลูก ๆ จะทำอะไรสนับสนุนทุกอย่าง
เธอลังเลว่าจะแอบคุยดหรือไม่ช่วงก่อนนอน ถ้าพูดเสียงเบาๆพ่อแม่ก็ไม่ได้ยิน การไม่ได้คุยช่วงเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน เท่ากับว่าเธอกับหนึ่งไม่ได้คุยโทรศัพท์กันเลย เจอกันที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียว ยกเว้นวันเสาร์และอาทิตย์ พอคิดได้แบบนี้เธอจึงตัดสินใจโดยไม่ลังเลอีกต่อไปว่า จะแอบคุยตอนดึกก่อนนอน
ละครหลังข่าวจบมันนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอนอันแสนนุ่ม ที่นอนหกฟุตสำหรับนอนคนเดียวมันช่างกว้างแสนกว้างจริง คิดถึงหนึ่งตอนนี้เข้านอนหรือยัง ทำอะไรอยู่ หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูรูปที่ถ่ายคู่กัน เลื่อนดูไปเรื่อย ๆ มันยิ่งเพิ่มความคิดถึงเท่าทวีคูณ
แสงระวีค่อย ๆ แง้มประตูเดินออกมายืนตรงหัวมุมบันได ชะโงกหน้าดูชั้นล่าง แม่ปิดไฟชั้นล่างมืดสนิท น่าจะหลับไปแล้ว ดูนาฬิกากำลังจะเข้าสู่ห้าทุ่ม จะโทรหาหนึ่งดีไหม เห็นข้อความของหนึ่งส่งฝันดีมาให้ เปิดอ่านก็ยิ่งทำให้อยากโทรเข้าไปอีก อยากได้ยินเสียงก่อนนอน ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปเรียนในตัวเมืองไม่เคยได้คุยกันผ่านโทรศัพท์อีกเลย ยกเว้นเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
คิดไปคิดมาตัดสินใจแน่วแน่ กดโทรศัพท์หาหนึ่งทันที รอสายไม่นานหนึ่งก็รับสาย เหมือนว่ารอสายของเธออยู่เช่นกัน พยายามพูดให้เสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้
“รับเร็วจังเลย รอสายใครอยู่อ่ะ” เมื่อปลายสายกดรับ ประโยคแรกก็หาเรื่องเขาซะแล้ว แต่เป็นการพูดเล่น ดีใจต่างหากที่เขายังไม่หลับ
“รอสายวีนั่นแหละ ทำไมโทรมาได้พ่อไม่ว่าเหรอ พ่อดุหนิ” คนในสายพูดจบ เธอก็กลอกตาให้โทรศัพท์ทันทีเมื่อโดนประชด
“จะประชดวีทำไมเนี่ย ไม่อยากคุยไม่โทรก็ได้วันหลัง แต่วันนี้คุยก่อนได้มั้ยโทรมาแล้วอ่ะ” ตอบห้วน ๆ กลับไป นึกหมั่นไส้นัก
“ไม่ได้ประชด พูดจริงเดี๋ยวพ่อแม่ก็ได้ยิน โดนด่าไม่รู้ด้วยนะ” เมื่อรู้สึกว่ากำลังจะโดนหาเรื่องเขาจึงรีบเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ้อนทันที
“แล้วอยากคุยมั้ยล่ะ”
“อยากมาก! รอวันนี้มานานมาก” เสียงสดใสขึ้นทันควัน ทำเอาเธอเบะปากให้โทรศัพท์อย่างตลก เม้มปากยิ้มด้วยความเขิน แม้หนึ่งจะไม่เห็นก็ตาม
ไม่ได้คุยโทรศัพท์กันหลายวันมันย่อมมีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้กันและกันฟัง ถึงจะเจอกันที่โรงเรียนทุกวันก็ตาม หลังเลิกเรียนมันย่อมมีเรื่องราวมาเล่าให้ได้ฟังเสมอ
“เราสลับกันโทรเนอะ หนึ่งคุยกับวีทุกวันเลยได้มั้ย เจอที่โรงเรียนมันไม่พอ” เขาออดอ้อน พูดเสียงงัวเงียนิดหน่อยเพราะความง่วง ทว่าความอยากคุยมันมีมากกว่า
“ได้สิ วีไม่แคร์อะไรแล้ว พ่อแม่รู้วีก็ไม่แคร์วีรักหนึ่ง” สุดท้ายก็ยอม
“หนึ่งก็รักวีครับ หนึ่งวางแผนไว้หมดแล้วว่าในอนาคตจะทำอะไร” เมื่อฟังเขาพูดจบก็ยิ้มให้โทรศัพท์ นึกตลกปนสงสัย จะคิดทำอะไรเหรอ
“หนึ่งจะทำอะไรล่ะ” พูดกลั้วยิ้ม อยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไร พูดให้เสียงออกมาเบาที่สุด
“ถ้าวีกล้าเปิดเผยหนึ่งกับครอบครัวเมื่อไหร่เดี๋ยวรู้เอง หนึ่งอยากให้วีมาบ้านนะ พ่อแม่อยากรู้จักด้วย” ปลายสายเหมือนง่วงเต็มทน พูดด้วยเสียงแผ่วเบา บอกวางสายนอนก็ไม่ยอม
“ยังไม่พร้อมไง”
“ครับหนึ่งก็ไม่เร่งไง” ก่อนที่ทั้งคู่จะหลับไปแบบไม่รู้ตัว ไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์วางสายเองไปตอนไหน
พวกเธอแอบคุยกันก่อนนอนทุกวัน ไม่แน่ใจว่าพ่อกับแม่ได้ยินหรือรับรู้ความลับของเธอหรือเปล่า หากพ่อกับแม่ยังไม่พูดหรือต่อว่าแสดงว่าพ่อกับแม่ยังไม่รู้ เธอจะให้มันเป็นความลับกึ่งไม่ลับแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
พวกเธอสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยในวันเปิดเรียน ทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ชั่วโมงว่างรอโรงเรียนเลิกด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ถึงอย่างไรทั้งสองยังรักเรียนตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ไม่มีใครเสียการเรียน หนึ่งช่วยติวหนังสือให้บ้างในบางวิชา เพราะหนึ่งเรียนพิเศษ ส่วนเธอไม่เรียนและไม่อยากเรียนด้วย
ช่วงเวลาบ่ายสามโมงใต้ต้นดอกเฟื่องฟ้าของโรงเรียน แสงระวีอยู่กับหนึ่งเพียงสองคน พวกเธอปลีกตัวมานั่งคุยกันสองต่อสองอยู่ห่าง ๆ กลุ่มเพื่อน ทว่าอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ ทุกคนในโรงเรียนจะนั่งจีบกันหรือนั่งเล่นอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ แค่ไม่นั่งกับคนที่มีเจ้าของก็พอ
พวกเธอสองคนเริ่มทำตัวติดกันเหมือนเก้ากับปุ้ม ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตัวติดกันตลอดเวลาสำหรับในชั่วโมงว่าง “หนึ่งพรุ่งนี้ไปทำบุญกันเนอะวันมาฆบูชาไง” ชวนหนึ่งไปทำบุญ เธอไม่ได้จะชวนแค่หนึ่งหรือไปกันแค่สองต่อสอง จะชวนเพื่อน ๆ ไปด้วยไปเป็นแก๊งหลาย ๆ คนสนุกดี “ไปไหว้พระที่ภูปอกัน”
“ไปก็ไป ว่าแต่ภูปอคุ้น ๆ นะ ไปทางแถวบ้านวีใช่มั้ย ที่เป็นพระนอนอ่ะคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยิน” หนึ่งทำหน้าครุ่นคิด ขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนไม่เคยรู้จักสถานที่ ๆ เธอพูดเมื่อสักครู่ แอบแปลกใจหนึ่งไม่รู้จัก
“ก็ภูปอไงพุทธไสยาสน์ภูปอ หนึ่งไม่รู้จักเหรอ ใคร ๆ ก็รู้จักนาภูปอเนี่ย” แสงระวีทำหน้าสงสัยออกมาชัดเจน หนึ่งไม่รู้จัก ! ทั้งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาของจังหวัดตนเองแท้ ๆ แต่ว่าก็ ไม่ใช่เรื่องแปลกคนไม่รู้จักก็มี และหนึ่งคงเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น บ้านหนึ่งอยู่ในตัวเมืองคงไปวัดแถวในเมืองทุกปี
“ไม่รู้จริง ๆ “ หนึ่งพูดลากหางเสียง ปรายตามองเธอด้วยรอยยิ้ม “รู้จักแต่ภูที่มีไดโนเสาร์อ่ะ ไปบ่อย ไปตั้งแต่เด็ก ๆ แม่พาไปตลอดกับพี่นิว”
“เค..งั้นเดี๋ยววีพาไปรู้จัก เจนก็จะไปกับพี่มอส หนึ่งชวนเก้ากับปุ้มด้วยนะ อี่เจลก็จะพาแฟนมันไปด้วย” แสงระวีพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ พูดกลั้วยิ้มด้วยความตื่นเต้นเมื่อนึกถึงวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง
เธอวาดภาพไปถึงวันที่ไปทำบุญด้วยกัน กราบพระขอพรด้วยกัน ถ่ายรูปไปเที่ยวด้วยกัน จะเอามาลงเฟซบุ๊กส่วนตัว เธอสมัครเป็นสมาชิกเรียบร้อย เจลและเจนพาไปสมัครที่ร้านอินเทอร์เน็ต แค่คิดมันก็มีความสุข
“แล้วเราจะไปกันยังไง” พูดพร้อมมองหน้าแสงระวี จ้องไปที่ตารูปวงรีคู่หวานนั้น แสงระวีหน้าตาหมวย ๆ ใบหน้ารูปไข่ ตาชั้นเดียวสเปกของเขาที่สุดล่ะ
“ขับมอเตอร์ไซค์ไป วีนั่งไปกับเจนหนึ่งมาบ้านเจนก่อนแล้วเราออกไปพร้อมกัน” เธอชี้แจง
“ไม่เอาเดี๋ยวไปรถหนึ่งดีกว่า ขอถามพ่อก่อนนะว่าใช้รถเปล่า พรุ่งนี้หนึ่งจะยืมรถพ่อมา ขับมอเตอร์ไซค์ไปแดดจะตาย” เขาเสนอ ตอนนี้ขับรถยนต์ได้คล่องแคล่วพอสมควร เพียงแค่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่เท่านั้น
“ก็ได้... เจน! อีเจนมานี่” แสงระวีตะโกนและกวักมือเรียกเจนที่นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนให้มาหา
“อะไรเหรอวี” เจนถาม เมื่อเดินมาหาเธอกับหนึ่ง นั่งลงข้าง ๆ ทำสีหน้าสงสัยที่เรียกให้ตนเองมาหา มีเรื่องอะไรหรือเปล่า “ว่า!”
“พรุ่งนี้เราไปภูปอกัน หนึ่งจะออกมาบ้านมืง บอกอี่เจลกับสองคนนั้นด้วย”
“เออว่าจะชวนอยู่พอดี” เจนตอบ ตนเองก็คิดจะไปที่นั่นอยู่แล้วกับพี่มอสสำหรับพรุ่งนี้
“ว่าจะเอารถยนต์ไปอ่ะเจน เดี๋ยวไปหามืงที่บ้านนะพรุ่งนี้” หนึ่งพูดกับเจน “เก้าพรุ่งนี้ไปภูปอกัน มืงรู้จักมั้ย” หนึ่งหันไปตะโกนถามเก้า
“รู้ดิ เคยไปพ่อกับแม่เคยพาไปสักการะอยู่” เก้าตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ตนเองเคยไปอยู่บ่อย ๆ กับครอบครัว
“เฮ้ยจริงดิ ! มืงรู้จักได้ไงวะ ทำไมกูไม่รู้” หนึ่งพูดทั้งหัวเราะหันมามองแสงระวี ที่มีเพียงตนเองไม่เคยรู้จักกับเขา ก็เป็นคนจังหวัดนี้เกิดที่นี่ทำไมไม่เคยรู้จักเลย
“ใคร ๆ เขาก็รู้จักหมดทุกคนแหละหนึ่ง มีแค่หนึ่งแหละไม่รู้ เกิดที่นี่คนที่นี่ปะทำไมไม่รู้” แสงระวีค่อนขอดให้หนึ่ง หมั่นไส้นักแกล้งไม่รู้จักหรือไม่รู้จริงกันแน่ แล้วที่ผ่านมาไปทำบุญที่ไหน
ตั้งแต่คบกันมาแสงระวีไม่เคยชวนหนึ่งไปเที่ยวด้วยกันแบบนี้เลย หาโอกาสยากมาก วันมาฆบูชาปีที่แล้วก็ไม่ได้ไปทำบุญด้วยกัน ที่ผ่าน ๆ มาเจอกันแค่ในงานลอยกระทง งานกาชาดประจำปี สงกรานต์ และ งานโรงเรียนที่เจนชวนไปเป็นเพื่อน
ที่ผ่านมาเจอกันในความรู้สึกของการเป็นเพื่อนมากกว่า ทว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอชวนหนึ่งเที่ยวด้วยกันแบบแฟนเหมือนคู่อื่น ๆ
“เอ้าก็หนึ่งไม่รู้จริง เดี๋ยวกลับบ้านไปถามพ่อกับแม่ดู ว่าแม่จะรู้ป่าว” พูดพร้อมแกล้งเคาะศีรษะของเธอเบา ๆ ยิ้มอวดฟันขาวให้ คนโดนแกล้งทำหน้าบึ้งกลับไป แต่กลับทำให้หนึ่งขำไปอีก
“รู้ดิเชื่อวีเหอะ เผลอ ๆ อาจจะเคยมากราบไหว้แล้วด้วยซ้ำ” ตอบไปพร้อมทำหน้างอนตุ๊บป่องให้หนึ่ง ทั้งที่หนึ่งไม่รู้จักจริง ๆ เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมต้องไม่พอใจที่หนึ่งไม่รู้จัก ในความรู้สึกของเธอเหมือนหนึ่งแกล้งไม่รู้จักยังไงยังงั้น
“ตกลงไปนะ ปุ้มด้วยก็ต้องไป คู่แฝด วี พี่มอสก็ไป แฟนเจลอาจจะไปด้วย” หนึ่งลองนับจำนวนคนคร่าว ๆ ว่ารถจะพอกับจำนวนสมาชิกไหม
“เราต้องมีแผนสองนะหนึ่ง เผื่อขอรถไม่ได้ไง” แสงระวีออกความคิดเห็นบ้าง หันมามองเจ้าของรถที่จะพาไปพรุ่งนี้ “แผนสองของวีคือมอเตอร์ไซค์ไง ที่จริงไปมอเตอร์ไซค์ก็ได้นะไม่เห็นจำเป็นต้องไปรถยนต์เลย แลดูไฮโซมาก” พูดประชดช่วงท้ายประโยค เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของหนึ่งที่จะนำรถยนต์ไปในวันพรุ่งนี้ เกรงใจพ่อกับแม่ที่เป็นเจ้าของรถ ไปรถมอเตอร์ไซค์กันก็ได้มันจะแดดเท่าไหร่กันเชียว พวกเธอไปไหนมาไหนใช้มอเตอร์ไซค์ตลอด
“เอ้าก็ไปตั้งหลายคนมอเตอร์ไซค์พอเหรอ อีกอย่างบ้านหนึ่งอยู่ตั้งไกล กว่าจะมาถึงบ้านวีอีก กว่าจะขับออกไปอีก มันอยู่ไกลมั้ยล่ะภูที่ว่าน่ะ” ครั้งนี้หนึ่งพูดมีเหตุผลและดูซีเรียสมากพร้อมจ้องหน้าของเธอ “หนึ่งจะขอพ่อดูก่อน รถพ่อคันใหญ่แปดคนนั่งไปคันเดียวเนี่ยถ้าไม่ได้จะเอาเก๋งแม่มา” สองคนเถียงกันถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้ เพื่อน ๆ ต่างพากันอยู่เงียบ ๆ อมยิ้มให้ฟังพวกเธอสองคน นั่งฟังพวกเธอทะเลาะกัน