แสงระวี….บทที่ 14 (รีไรท์)

กระทู้สนทนา

.


                   “ขับตรงไปแล้วก็เลี้ยวซ้ายข้างหน้าน่ะ ขับช้า ๆ หน่อยหนึ่งจะเลี้ยวข้างหน้าเนี่ย จากนั้นตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอภูปอเอง” แสงระวีคอยบอกเส้นทางเรื่อย ๆ นั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับ

                    “ตรงไปเลยใช่มั้ยคะรับ”

                  “อือ” !

                    รถฟอร์จูนเนอร์สีขาววิ่งตามเส้นทางไปยังภูปอ ถนนเป็นเพียงถนนสองเลนเท่านั้น ด้วยความที่เป็นถนนชนบทเชื่อมหมู่บ้านไม่ใช่ถนนใหญ่ จึงขับทำความเร็วไม่ได้มาก รถวิ่งสัญจรเยอะเป็นพิเศษสำหรับวันนี้ ปกติถนนเส้นนี้เงียบมาก สองข้างทางเป็นบ้านเรือนและทุ่งนาไร่มันสำปะหลังและไร่อ้อย

                   วันนี้เป็นวันมาฆบูชาตลอดเส้นทางจึงดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ทั้งรถยนต์ทั้งมอเตอร์ไซค์วิ่งตามกันมา มีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือภูปอ

                   “น้องวาเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วนะ” ปุ้มชวนน้องวาคุย เห็นนั่งเงียบมาตลอดทาง ปุ้มไม่อยากให้เกร็งหรืออึดอัด จึงชวนคุยเพื่อเพิ่มความเป็นกันเองให้มากขึ้น ภายในรถทุกคนพูดคุยกันวางแผนกันว่าจะไปที่ไหนต่อหลังไหว้พระทำบุญเสร็จ

                   “วาเรียนอยู่ ป.6 จ้ะพี่ปุ้ม” น้องวาตอบด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ที่จริงไม่เขินใครเลยแม้แต่หนึ่งแฟนพี่สาวก็ไม่รู้สึกเขิน

                    “อ๋อ อ้าวปีหน้าก็ขึ้น ม.1 แล้วดิ เรียนที่เดียวกับพี่วีป่าว ป.6 เหรอตัวสูงจังเลย สูงกว่าเพื่อน ๆ ในห้องมั้ยเนี่ย” ปุ้มพูดยกมือมาลูบผมอันดำเงาวับของน้องวาเล่นด้วยความเอ็นดู

                   “วายังไม่ได้ขอแม่เลยจ้ะพี่ปุ้ม อาจจะเรียนต่อ ม.1 ที่บ้านกับเพื่อน ๆ ” เสียงใส ๆ ของน้องวาพูดเจื่อยแจ้วกับปุ้มอย่างเป็นกันเอง น้องวายังไม่ได้พูดกับพ่อแม่เรื่องนี้เลย เธอก็พึ่งนึกได้ เดี๋ยวกลับบ้านไปค่อยคุยเป็นที่ปรึกษาให้น้องกับพ่อแม่

                  “โยกเยกอ่ะน้องปุ้ม คนนี้เขามีฉายาว่าโยกเยก ฮา สูงกว่าเพื่อนในห้อง สูงถึกและบึกบึน” พี่มอสพูดแทรกมาจากเบาะด้านหลังสุด ยื่นมือมาดึงผมน้องวาเล่นพร้อมเสียงหัวเราะที่แกล้งน้องวาได้ สองคนนี้คู่กัดกัน

                    “พี่มอสอ่ะว่าน้อง! ไม่จริงเนอะน้องวา หุ่นดีออกหุ่นดีกว่าพี่สาวอีก” ปุ้มหัวเราะหันไปตอบพี่มอส ไม่ได้จะว่าน้องวาหรือคิดตามที่พี่มอสล้อ แถมยังแอบเปรียบเทียบกับพี่สาวอย่างเธอด้วย

                    “นั่งอยู่ข้างหลังเงียบ ๆ ไปเลยไม่ต้องพูดกับเค้า” น้องวาหันไปค่อนขอดพี่มอส “ดึงผมเค้าทำไม พี่เจนพี่มอสแกล้งวาอ่ะ” น้องวาหน้าบึ้งให้พี่มอส ยกมือจะเอื้อมไปตีเอาคืนแต่ทำไม่ถึง ได้แค่สะบัดบ็อบให้อย่างตลก

                    “สะบัดแรงคอเคล็ดไม่รับผิดชอบนะ” พี่มอสยังไม่หยุดตอแยกับน้องสาวของเธอ พี่มอสทำหน้ายียวนกวนประสาทให้น้องวา เพราะรู้ว่าลุกขึ้นมาเอาคืนไม่ได้ ภายในรถอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขของทุกคน

                    “พี่มอส น้องวา...สองคนนี้สงบศึกกันสักวันได้มั้ย ไปทำบุญนะเนี่ย เดี๋ยวจะได้บาป” เจนเป็นคนปรามทั้งสองคนเอาไว้ พี่มอสแกล้งน้องวาได้ตลอดเวลาและทุกที่จริง ๆ

                    แสงระวีไม่มีเรื่องจะคุยอะไร แค่ฟังและหัวเราะตามเพื่อน ๆ คุยกันเท่านั้น นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยคนเดียว คิดไปถึงภาพไหว้พระด้วยกัน ถ่ายรูปคู่กันคิดไปคิดมาเผลอยิ้มที่มุมปาก ไม่ทันเห็นว่าคนข้าง ๆ แอบมองอยู่

                   “วีภูลูกนี้ใช่มั้ยที่อยู่ตรงหน้าเนี่ย ภูปอ” หนึ่งถาม ระหว่างทางข้างหน้าปรากฎเป็นภูเขาสองลูกเรียงซ้อนกัน มีรถรามากมายทยอยเข้าและออกวิ่งสวนกันไม่ขาดระยะ หนึ่งขับช้า ๆ เพราะรถเยอะเหลือเกิน รถติดตั้งแต่ปากทางเข้าหลายกิโลเมตรกันเลย ต้องขับอย่างระมัดระวังที่สุดเนื่องจากถนนเป็นเพียงถนนสองเลน ต้องคอยระวังมอเตอร์ไซค์ด้วย

                    “ใช่ภูลูกนั้นแหละ คนน่าจะเยอะเพราะเทศกาล วันปกติเงียบมาก” แสงระวีหันมาตอบหนึ่ง ลากเสียงยาวด้วยความรู้สึกเซ็งนิดหน่อย สถานที่แห่งนี้มากราบไหว้ทุกปี ทว่าปีนี้เป็นปีที่พิเศษที่สุด หนึ่งยักคิ้วให้เธอก่อนจะตั้งใจขับรถต่อ

                    “จะมีที่จอดรถมั้ยเนี่ยรถเยอะมาก” เขาพูดออกมาลอย ๆ

                    “มีดิที่จอดเยอะแยะ เช่าจอดก็ได้น่าหนึ่งไม่ต้องคิดมากเรื่องจอดรถหรอก” แสงระวีไม่คิดมากเรื่องนี้เลยสักนิด มีเพียงตื่นเต้นและดีใจอยู่ในตอนนี้

                    หนึ่งขับรถมาสักพักก็มาถึงภูปอ ขับวนหาที่จอดรถก็ไม่มีที่ว่างเลย สุดท้ายได้ตรงลานทุ่งนาของชาวบ้านแถวนั้น ต้องจ่ายค่าฝากรถด้วย อยู่ถัดประตูทางเข้าวัดไปหลายเมตร แม้จะไกลไปหน่อยก็ดูเหมือนใกล้เพราะคนเยอะ

                    ทุกคนต่างเดินเข้าและออกสวนกันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เมื่อหาที่จอดรถได้แล้วทุกคนลงมาจากรถยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายกันก่อน เตรียมตัวทาแป้งแต่งหน้ากันให้เรียบร้อย เพื่อนร่วมเส้นทางที่มาถึงพร้อมกับกลุ่มของพวกเธอจอดรถไว้ข้าง ๆ กัน ส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปในวัดก่อน

                    “น้องวามาเดินกับพี่เจนพี่มอสมา” เจนเรียกน้องวามาอยู่ด้วย อาสาเป็นคนดูแลน้องวาเอง อยากให้แสงระวีกับหนึ่งใช้เวลาด้วยกัน ไม่อยากให้น้องวาเกะกะ

                    “วาจะเดินกับพี่วี” ไม่พูดเพียงอย่างเดียวน้องวาเกาะแขนแสงระวีไว้แน่น

                    “เฮ้ย! หวงพี่สาวอะดิวาอ้วน” พี่มอสได้ทีล้อน้องวาเหมือนเดิม หนึ่งหัวเราะเบา ๆ ปรายตามองสองพี่น้อง แสงระวีเองเช่นกัน พอพี่มอสพูดแบบนี้รู้สึกอายขึ้นมาดื้อ ๆ พี่มอสจะล้อน้องวาทำไมก็รู้ แอบมองค้อนว่าที่พี่เขยเบา ๆ

                    ปุ้มหัวเราะคิกคักตามที่พี่มอสพูด แฮ็กเกอร์กับเจลก็เช่นกัน แฮ็กเกอร์ยังเงียบไม่ค่อยพูด นาน ๆ ทีจะพูดขึ้น ถามคำตอบคำ ถึงอย่างไรแฮ็กเกอร์ก็จะร่วมทริปวันนี้กับพวกเธอทั้งวันแน่นอน ไม่งอแงอยากกลับ

                    “พี่มอสไม่ต้องมาพูดกับเค้าได้มั้ย ไปอยู่กับพี่เจนเลย ไม่ได้หวงด้วย” น้องวาไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่พูดหยอกหรือพูดจริง เข้าใจแค่ว่าพี่มอสชอบแหย่ให้อารมณ์เสียแค่นั้น น้องวากัดริมฝีปากให้พี่มอสหลังพูดจบพร้อมกอดแขนแสงระวีไว้

                    “ก็มาด้วยกันนี่แหละ ปะน้องวากับพี่วีเดินนำทางไปเลยครับ พี่หนึ่งเดินตามหลังเอง” หนึ่งยิ้มพูดกับน้องสาวของเธอ วันนี้มาทำบุญต้องอารมณ์ดี ไม่เครียดไม่เอาเรื่องอื่นมาคิด น้องวายังไม่จบหันไปทำหน้ายักษ์ให้พี่มอสที่กำลังเดินตามหลังตนเองกับพี่สาวมา

                    สองพี่น้องเดินนำหน้าทุกคนเข้าไปภายในวัด หนึ่งบอกจะเดินตามหลังแต่รีบเดินขึ้นมาขนานกับแสงระวีอีกข้าง ทั้งสามเดินเคียงข้างกัน ส่วนเพื่อน ๆ ก็ต่างเดินจับมือคู่ของใครของมัน

                  ภายในวัดมีประชาชนมากมายมาเที่ยวงานและไหว้พระ ในงานมีการแสดงหมอลำ มีโรงทาน มีทะเลธุง หรือทะเลธงก็ได้ สำหรับคนที่นี่เรียกธุง ห้อยประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เป็นมุมสำหรับให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป

                    แสงระวีอยากถ่ายรูปคู่เก็บไว้กับหนึ่งบ้างแต่ไม่กล้า น้องวามาด้วยทุกอย่างที่วางแผนเอาไว้ไม่ได้ทำหมดเลย มองในแง่ดีถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าไม่ได้มาด้วยกัน  

                    สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเข้ามาภายในบริเวณวัด คือ ต้องเข้าไปไหว้สักการะพระนอนก่อน พระนอนชั้นล่างสร้างขึ้นในสมัยทวาราวดี รูปนี้คนเฒ่าคนแก่เรียกว่าองค์ปู่ มีที่ให้บูชาดอกไม้ธูปเทียนตามศรัทธา

                    หนึ่งเป็นคนทำหน้าที่นี้เอง หนึ่งหยิบดอกบัวมาสามช่อ พร้อมใส่ธนบัตรใบหนึ่งร้อยบาทลงไปในกล่องสี่เหลี่ยม นำดอกไม้ธูปเทียนมาให้แสงระวีและน้องวาด้วย ทุกคนต้องต่อแถวเรียงคิวกันเข้าไปกราบพระเนื่องจากคนเยอะมาก แออัดเบียดเสียดกัน

                    ขณะเดียวกันก็มียกหินทำนายด้วย ขอให้เบาก็เบาขอให้หนักก็ยกไม่ขึ้นหากคำขอเป็นจริงได้ยินผู้คนที่เคยขอพูดมาแบบนั้น แสงระวีเองไม่ทำไม่กล้าทำกลัวไม่สมหวังและเก็บไปคิดมาก นอกจากนี้ยังมีเสี่ยงเซียมซีด้วย สิ่งนี้แสงระวีก็ไม่ทำเช่นกันไม่ชอบการดูดวง

                    อีกมุมเป็นสถานที่ให้บนบานศาลกล่าวสำหรับคนมาบนขอสิ่งต่าง ๆ แสงระวีได้ยินมาว่าคนแถวบ้านชอบมาบนก็สมหวัง เช่นมาบนให้ลูกชายไม่ติดทหาร

                    หนึ่งและเธอกับน้องสาวนั่งเรียงกัน พนมมือกำลังขอพรอธิษฐานในใจ ถัดไปมีคนกำลังขึ้นไปยืนปิดทองคำเปลวที่องค์พระ ไม่ถือสาเพราะสถานที่คับแคบ บ้างกำลังนั่งขอพรกราบไหว้ บ้างกำลังยืนตรงหน้าติดทองคำเปลว และมีพระสงฆ์คอยพรมน้ำมนต์ให้คนมากราบไหว้ไม่ขาดระยะ

                    ด้านข้างมีกุฏิพระที่คอยปลุกเสกพระเครื่องให้คนที่นับถือ ครอบครัวของแสงระวีก็นับถือและบูชาพระนอนทีนี่ บูชาเอาไปไว้ประจำที่บ้าน ผู้คนละแวกนี้นับถือพระนอนภูปอมากที่สุด

                  เมื่อกราบไหว้พระนอนองค์ปู่เรียบร้อย ทุกคนตกลงกันจะเดินขึ้นไปต่อที่ยอดภู ตรงนั้นจะมีพระนอนองค์ที่สองอยู่ สร้างขึ้นโดยช่างสมัยทวารวดีเหมือนกัน ทั้งสององค์สร้างขึ้นโดยช่างคนเดียวกัน องค์บนยอดภูเรียกว่าองค์ย่า

                    พวกเธอเดินขึ้นบันไดกะจำนวนน่าจะร้อยขั้นขึ้นไป มีศาลาให้พักริมทางหลายหลัง มีแม่ค้าพ่อค้าหิ้วน้ำหวานน้ำอัดลมเดินขึ้นมาขายตามริมทาง มันเหนื่อยมากกว่าจะขึ้นไปถึง พวกเธอพากันพักข้างทางไม่รู้กี่รอบ

                    ผู้คนมาเที่ยวที่นี่มากมาย ทั้งมาเป็นครอบครัวและคู่หนุ่มสาวและกลุ่มเพื่อน มีคนที่รู้จักทั้งโรงเรียนเดิม และโรงเรียนใหม่ คนบ้านเดียวกันก็เจอ แม้กระทั่งญาติ ๆ แสงระวีก็ได้เจอและกล่าวทักทาย

                   พ่อกับแม่รู้เรื่องของเธอแล้ว ไม่ได้แอบมาจึงค่อนข้างสบายใจหลังเจอกลุ่มญาติ ๆ เมื่อสักครู่นั้น เธอไม่ได้แนะนำให้หนึ่งรู้จักกับใคร คิดว่าเดี๋ยวค่อยแนะนำวันหลัง วันนี้เดินขึ้นบันไดเหนื่อยมากไม่อยากแนะนำใคร

                    “วาเหนื่อยมั้ยหิวน้ำป่าว เหนื่อยบอกพี่วีนะ” แสงระวีหันมาคุยกับน้องสาว ทุกคนค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ยิ่งรีบมันยิ่งเหนื่อย แสงระวีถามน้องวาตนเองเริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกัน มองขึ้นไปด้านบนตามบันได้ที่ทอดยาวมันช่างท้อเหลือเกิน หนทางอีกยาวไกลบันไดอีกตั้งหลายขั้นกว่าจะถึง

                    น้อง ๆ หนู ๆ หลายคนเดินสวนผ่านหน้าของเธอไป พวกเด็กเหล่านี้เก่งเหลือเกิน ไม่เหนื่อยเลยไม่ยอมให้พ่อแม่อุ้มด้วย ผิดกับเธอช่างเหนื่อยมาก ตามตัวและใบหน้ามีเหงื่อไหลออกมาเปียกชุ่มไปหมด

                    “หนึ่งเราพักกันก่อนเถอะ ตรงศาลานั่นนะ พี่มอสพัก ปุ้มพักกัน แฮ็กเจลเหนื่อยมั้ยพักก่อน” แสงระวีหยุดเดิน ทนไม่ไหวต่อไปอีกแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้วขาแข็งและเหนื่อยมาก

                    ศาลาไม้หลังเก่าเสาสี่ต้น มีแคร่เล็ก ๆ สองสามตัววางเรียงรายกันอยู่ สำหรับให้นั่งพักระหว่างทาง มันอยู่ใกล้แค่นี้เองแต่ในความรู้สึกของเธอมันช่างไกลแสนไกล ที่พักตรงนี้มองออกไปเห็นวิวด้านล่างสวยงามมาก มองออกไปได้ระยะไกลน่าจะเลยหมู่บ้านของเธอไปด้วย มองเห็นท้องทุ่งนาเป็นลานกว้าง ทำให้เก้าอดเก็บภาพไว้ไม่ได้

                    “เราพักกันตรงนี้ก่อน ค่อยไปต่ออีกไกลมั้ยน้องวา” หนึ่งพูดพร้อมมองหน้าน้องวา
เธอเองก็ปรายตามองหน้าหนึ่งเหมือนกัน หนึ่งดูไม่เหนื่อยเลย น้องวาด้วยดูไม่เหนื่อยเหมือนกัน ส่วนเธอทั้งร้อนและเหนื่อยที่สุด

                    “อีกไม่น่าจะไกลจ้ะพี่หนึ่ง พี่วีวาอยากกินน้ำมะพร้าวเย็น ๆ จังเลยอ่ะ” น้องวาตอบหนึ่งและหันมาขอเธอซื้อน้ำ เมื่อเห็นคนขายกำลังหิ้วใส่ไม้เดินหาบขึ้นมา พ่อค้าแม่ค้าพวกนี้ก็ไม่เหนื่อยเลย หาบของมาขายได้ตลอด เดินขึ้นเดินลงเหนื่อยจะตาย เธอนับถือคนพวกนี้มาก

                    “จัดเลยน้องวา ให้พี่ด้วย เอาน้ำเปล่าด้วยนะ” แสงระวีไม่คัดค้าน เพราะตนเองก็เหนื่อยแทบจะขาดใจ รู้สึกคิดผิดที่ชวนเพื่อน ๆ เดินขึ้นมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่